4 โชคดีที่รอดมาได้
หลังจากนั้นราว ๆ ห้าหกวันสุขภาพร่างกายของฉีหลิงตี้จึงดีขึ้น แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้ดีอย่างเช่นเมื่อก่อน วันทั้งวันนอกจากท่านพ่อก็มีท่านปู่คอยมาดูแลเอาใจใส่นาง ตลอดเวลาที่ผ่านมานางคิดว่าท่านปู่รักเพียงพวกพี่ชาย แต่ท่าทีที่เขาแสดงออกต่อนางในเวลานี้ไม่คล้ายเป็นการเสแสร้ง
วันนี้ก็เช่นกัน ผู้ที่มาพบหน้านางเป็นคนแรกของวันเป็นผู้เฒ่า ที่มีหนวดเคราและเส้นผมบนศีรษะเป็นสีดอกเลา ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลา โดยปกติท่านปู่จะคนเงียบขรึม แต่ในเวลานี้กลับคลี่ยิ้มอย่างผู้เฒ่าใจดี
“ตี้เอ๋อร์ วันนี้เป็นเช่นไรบ้าง” ผู้เฒ่าฉีถามไถ่อาการ โชคดีเหลือเกินที่นางยังมีชีวิตอยู่
“ข้า...” นางอ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบเช่นไร ก่อนจะตัดสินใจถามคำถามที่นางอัดอั้นมานานออกไป “ท่านปู่ ท่านปู่ไม่ได้เกลียดข้าหรือเจ้าคะ” นางก้มหน้างุด โดยปกติก็เป็นเช่นนั้นมาตลอดไม่ใช่หรือ ท่านปู่ไม่ชอบนาง
“เกลียด?! ผู้ใดเกลียดเจ้ากัน” พอฉีเตียนถูกปรักปรำก็รีบหาทางแก้ตัว “ตี้เอ๋อร์เด็กดี ปู่ไม่เคยเกลียดเจ้า”
“ที่ผ่านมา...ข้านึกว่าท่านรักแต่พี่ชายเสียอีก เพราะเวลาที่ข้าไปพบท่านทีไร ท่านปู่ก็เอาแต่ทำหน้าดุอยู่เสมอ” เด็กหญิงตัดพ้อ เป็นเช่นนั้นทุกครั้ง ก่อนที่นางจะจำอดีตได้ ท่านปู่ในความทรงจำของนางเป็นชายสูงวัยที่สุดแสนจะเข้มงวด ทั้งยังชอบทำหน้าดุอยู่ตลอดเวลา มีเพียงพี่ชายทั้งสองคนของนางเท่านั้นที่สามารถทำให้ท่านปู่อารมณ์ดีได้
นางพูดเช่นนี้ ฉีเตียนพอจะเข้าใจแล้วว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร นั่นเป็นเพราะนางเป็นเด็กผู้หญิง เขาไม่เคยเข้าหาเด็กผู้หญิงมาก่อนจึงไม่รู้ว่าควรจะวางตัวเช่นไร แต่พอเกิดเรื่องขึ้นเขาก็คิดว่า ไม่ได้การแล้ว หลานสาวตัวน้อยของเขายังเด็กมากนัก นางเพิ่งสูญเสียมารดาและพี่ชายไป เขายังจะทำตัวเหมือนเมื่อก่อนได้อย่างไร อย่างไรเสียนางก็เป็นหลานสาวของเขา หากไม่เข้าหานางตอนนี้จะไปเข้าหานางตอนไหน
“ไม่จริงเลยยัยหนู ปู่ไม่เคยไม่รักเจ้า เพียงแต่...เพราะ...ปู่ไม่รู้วิธีการเข้าหาเด็กผู้หญิง ถ้ามันทำให้เจ้าเข้าใจผิด ปู่ขอโทษด้วย” นางเพิ่งเผชิญเรื่องเลวร้ายมา นกน้อยที่น่าสงสารจะปล่อยให้อยู่ตัวเดียวได้อย่างไร
“...” ครั้นเห็นท่านปู่กล่าวเช่นนั้นเด็กหญิงก็เริ่มเบะปาก คิดไม่ถึงว่า การเป็นเด็กจะสามารถร้องไห้ได้ง่ายดายนัก อะไรกระทบกระเทือนจิตใจหน่อยฉีหลิงตี้ก็น้ำตาร่วง ท่านปู่ที่นั่งอยู่ไม่ห่างกันอ้าแขน รับเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบเข้าสู่อ้อมกอด
“ไม่เป็นไรเด็กน้อยเอ๋ย ไม่เป็นไรแล้ว ไม่มีแม่ ไม่มีพี่ชายก็ไม่เป็นไร แต่เจ้ายังมีปู่ ปู่คนนี้จะเป็นคนปกป้องเจ้าเอง” ผู้เฒ่าฉีปลอบเด็กหญิงที่ร้องไห้จ้าในอ้อมแขน จนกระทั่งนางสงบลง ยาที่เตรียมเอาไว้ก็ถูกพ่อบ้านฉียกเข้ามาในห้องพอดี
ได้ยินท่านปู่บอกว่า สาเหตุที่นางรอดชีวิตในครั้งนี้เป็นเพราะพี่ชายคนรองมอบยาหยาดน้ำค้างสวรรค์ให้นางกินต้านพิษ คนของจวนโหวรายงานว่า เมื่อไปถึงเรือนพักร้อนนอกเมืองก็พบว่า พี่ชายคนรองกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน ข้าง ๆ กันมีขวดกระเบื้องตกอยู่ เมื่อตรวจสอบแล้ว คล้ายกับเป็นขวดยาอะไรสักอย่าง การที่ฉีหลิงตี้ยังมีชีวิตอยู่นั้นน่าจะเป็นเพราะพี่รองของนางมอบยาวิเศษให้นางกินได้ทันเวลา หากช้าไปกว่านี้นางคงมีจุดจบไม่ต่างจากพวกเขา
หลังจากดื่มยาเสร็จแล้ว พ่อบ้านฉีก็ถอยหลังออกไป ภายในห้องนอนของนางเหลือเพียงนางกับท่านปู่ สิ่งที่นางจะต้องรู้ให้ได้นั่นคือ...ในวันนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
“ท่านปู่เจ้าขา...บอกตี้เอ๋อร์ได้หรือไม่ว่า วันนั้นเกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ” ที่นางกล้าเปิดปากถามเป็นเพราะนางรู้แล้วว่า ท่านปู่ใจดีกับนาง ไม่มีสิ่งใดที่ต้องเหนียมอายกันอีก
“เรื่องนั้น...” ผู้เฒ่าชราอึกอักคล้ายน้ำท่วมปาก ไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือไม่
พอเห็นสีหน้าและแววตาของท่านปู่ดูลังเลใจ นางจึงเป็นผู้เริ่มต้นเล่าเรื่องในวันนั้นออกมาก่อน สิ่งผิดปกติเดียวที่นางเห็นก็คือหญิงรับใช้ที่นางไม่เคยเห็นหน้า
“ท่านปู่ วันนั้นวันที่เกิดเรื่อง ตี้เอ๋อร์นั่งดื่มน้ำชากับท่านแม่และพี่ชายทั้งสองคน อากาศก็เป็นอย่างเช่นวันนี้เจ้าค่ะ ท้องฟ้าแจ่มใส สายลมพัดผ่าน หอบเอาความร้อนเข้ามาในศาลาที่พวกเรานั่งเล่น ท่านแม่เข้าครัวทำขนมให้พวกเราทั้งสามคน วันนั้นข้ากินขนมที่ท่านทำไปตั้งหลายชิ้น” นางเริ่มต้นเล่าเรื่องตั้งแต่แรกพลางหันไปมองปฏิกิริยาของท่านปู่ เพื่อดูว่าเขาคิดเห็นเช่นไรต่อคำพูดของนาง
“แล้วอย่างไรต่อ” วันนั้นเขาไม่ได้ไปที่เรือนพักร้อน รู้อีกทีศพของสามแม่ลูกก็ถูกนำพามาที่จวนโหวแล้ว
“ขนมฝีมือท่านแม่อร่อยมากเจ้าค่ะ วันนั้นพวกเราพูดคุยเล่นกัน ข้าขอร้องให้ท่านพี่ทั้งสองคนไปช่วยอุ้มเจ้าขาวมาจากโรงค้าม้า แต่ว่า...ระหว่างที่ข้าและพวกพี่ชายสนทนากันนั้น ด้านหลังของท่านแม่มีหญิงรับใช้ที่ข้าไม่เคยพบหน้ามาก่อน” พอพูดมาจนถึงประโยคนี้ฉีหลิงตี้กำมือแน่น ภาพท่านแม่และพี่ชายกระอักโลหิตออกมายังชัดเจนมาก บนใบหน้าเล็ก ๆ ของนางพลันมีเม็ดเหงื่อผุดพราวตามกรอบหน้า
“ตี้เอ๋อร์ ถ้าเจ้าเหนื่อยยังไม่ต้องเล่าวันนี้ก็ได้” ฉีเตียนเห็นหลานสาวอาการไม่สู้ดี เขาไม่อยากให้นางฝืนจนเกินกำลัง เขาเองก็สงสัยเรื่องนี้อยู่ ลูกสะใภ้ของเขาเป็นสตรีที่แสนดี ฉลาดเฉลียว เขาไม่คิดว่านางจะสามารถลงมือเช่นนั้นได้
“ไม่ได้เจ้าค่ะท่านปู่” นางมองซ้ายมองขวาเพื่อดูว่ามีผู้ใดแอบฟังการสนทนานี้หรือไม่ ถึงจะไม่เห็นสิ่งผิดปกติ แต่ก็ควรระมัดระวังเอาไว้ก่อน เด็กหญิงลดเสียงลง “หากช้ากว่านี้ร่องรอยหลักฐานจะค่อย ๆ ถูกวันเวลาทำลายหายไป ท่านปู่ ท่านแม่ไม่ได้วางยาพวกเราจริง ๆ นะเจ้าคะ วันที่เกิดเรื่องขึ้นมีหญิงรับใช้ที่ตี้เอ๋อร์ไม่รู้จักอยู่ด้วย วันนั้นนางรับหน้าที่เป็นผู้รินน้ำลูกแพร์ให้พวกเราดื่มแทนน้ำชาเจ้าค่ะ” เด็กหญิงพยายามทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ตอนที่ดื่มน้ำชาและขนมก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น กระทั่งพวกเราเปลี่ยนจากน้ำชาเป็นน้ำลูกแพร์”