วิธีการเอาตัวรอดของบุตรสาวนางร้าย

207.0K · จบแล้ว
รอรีวัน
119
บท
9.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ใช้ชีวิตอยู่กับมารดาและพี่ชายมาตั้งหลายปี กว่าจะรู้ว่าโลกที่นางอาศัยอยู่ในตอนนี้คือโลกของนิยายและนางเป็นบุตรสาวของนางร้ายในนิยายที่ตัวเองเคยด่าและสาปแช่ง ซ้ำยังเป็นเพียงตัวประกอบที่แทบไม่เคยถูกเอ่ยถึง ก็เป็นช่วงเวลาที่พวกเขาจากไปแบบไม่มีวันหวนกลับเสียแล้ว ฉีหลิงตี้ เด็กสาวที่รอดชีวิตจากการวางยาพิษ จึงตั้งปณิธานเอาไว้ว่านางจะทวงคืนความยุติธรรมให้กับมารดาให้จงได้ แต่โชคชะตาก็เล่นตลกกับชีวิตตัวประกอบเช่นนางนัก เพราะผลกระทบจากการถูกวางยาพิษทำให้นางจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้อีกแค่เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น ยังไม่พอฉีหลิงตี้ยังถูกแม่เลี้ยงที่เป็นนางเอกของนิยายเรื่องนี้ วางแผนส่งนางไปบวชชี เช่นนั้นแล้วก็ต้องเป็นนางแน่ ๆ ที่เป็นคนวางแผนเรื่องราวทั้งหมดนี้ เมื่อเติบโตขึ้นนางก็กลายเป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงาม แต่โฉมงามในยุคโบราณ ใช่ว่าจะมีชีวิตที่ผาสุก และนางก็ยังเข้าไปพัวพันกับเขาและเขาอย่างไม่หยุดไม่หย่อน คนหนึ่งก็คือบุรุษที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้นางมาครอบครอง อีกคนหนึ่งก็คือสหายสนิทที่หลงลืมนางไปแล้ว

เกิดใหม่ในนิยายนิยายจีนโบราณแก้แค้นรักสามเศร้าจีนโบราณโรแมนติกดราม่ารักหวานๆกลอุบายในวังแฮปปี้เอนดิ้ง

1 วางยา

สายลมคิมหันต์อันแสนอบอ้าวพัดผ่าน พร้อมกับนำกลิ่นอายของมวลอากาศร้อนเข้ามาในศาลานั่งเล่น แม้ว่าที่เรือนพักร้อนจะอากาศไม่แตกต่างจากจวนโหวนัก แต่ก็เย็นสบายกว่าการอยู่ในเมืองมาก นางไม่เข้าใจว่าเหตุใด จู่ ๆ มารดาถึงได้หอบข้าวหอบของออกมาจากจวนโหวพร้อมพี่ชายทั้งสองคนของนาง ทั้งที่นางได้ยินว่าท่านพ่อเพิ่งกลับมาจากชายแดนแท้ ๆ เด็กหญิงยังไม่ได้พบหน้าบิดา ก็ถูกมารดาลากให้ออกมาด้วยกัน จนบัดนี้แทบจะจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่า ท่านพ่อของนางหน้าตาเป็นเช่นไร แม้กระทั่งชายแขนเสื้อของท่านพ่อ นางก็ไม่มีโอกาสได้เห็น

เป็นเวลาเกือบสามเดือนแล้วที่นางและมารดาย้ายมาอยู่ที่นี่ ท่านแม่อ้างว่า เพราะจวนโหวร้อนอบอ้าว ฤดูร้อนปีนี้จึงขอพาพวกนางออกมาพักผ่อนนอกเมืองหลวง น่าแปลกที่คนเจ้าระเบียบและบ้างานเช่นท่านแม่กล้าละทิ้งงานในจวนโหว พานางและพี่ชายออกมาเที่ยวเล่นพักผ่อนได้

แต่ไหนแต่ไรมาท่านแม่ของนางจะจัดการดูแลงานบ้านเป็นอย่างดี กิจการร้านค้าของสกุลฉีก็ได้ท่านแม่เป็นผู้ดูแล และทำทุกอย่างได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้กระทั่งการดูแลท่านย่าในวาระสุดท้าย นางก็จำได้ว่า ท่านแม่ของนางวางตนเป็นลูกสะใภ้กตัญญู แม้ท่านย่าจะเป็นผู้เฒ่าเจ้าอารมณ์ บางครั้งก็ตบตีด่าทอ กระนั้นท่านแม่ก็ยังทำหน้าที่โดยมิเคยปริปากบ่น

ในทุก ๆ ปีท่านพ่อจะกลับมายังจวนโหวเพื่อเยี่ยมท่านย่า แล้วท่านพ่อกับท่านแม่ก็จะใช้เวลาอยู่ร่วมกันราว ๆ สิบห้าวัน จากนั้นท่านพ่อก็จะออกเดินทางไปยังชายแดนเพื่อทำหน้าที่ของตนเองต่อ แต่หลังจากที่ท่านย่าจากไป ท่านพ่อก็ไม่กลับมาเยี่ยมพวกนางอีกเลย จำได้ว่าพบหน้าท่านพ่อครั้งสุดท้าย น่าจะเป็นตอนที่นางอายุราว ๆ สามขวบ หากนับวันเดือนปีเท่ากับว่า นางไม่ได้พบหน้าบิดามาเป็นเวลาห้าปีแล้ว

ทุก ๆ วันก่อนที่มารดาจะกลับเข้าบ้าน ฉีหลิงตี้มักจะเห็นมารดาขึ้นไปยืนอยู่บนระเบียงชั้นสามของอาคารภัตตาคารที่เป็นกิจการของจวนโหว ดวงตางดงามเศร้าสร้อย ทอดสายตามองยาวออกไปยังทิศทางของประตูเมือง เฝ้ารอวันที่บิดาของนางกลับมาบ้าน เฝ้านับวันเวลาและอธิษฐานให้ชายแดนสงบสุขเสียที

กระทั่งเมื่อสามเดือนก่อน นางได้ยินว่าสงครามจบแล้ว และบิดาก็กลับมาแล้ว พ่อบ้านฉีวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในเรือน กระซิบกระซาบพูดคุยบางอย่างกับมารดาด้วยเรื่องที่นางไม่เข้าใจ มารดาน้ำตาไหลริน ยืนตัวสั่นเทา กำหมัดแน่นและรีบวิ่งออกไป โดยมีพี่ชายคนโตของนางวิ่งตามออกไปด้วย

นางในวัยเจ็ดขวบและพี่รองวัยสิบสองปีกำลังจะก้าวขาออกจากเรือน แต่กลับถูกพ่อบ้านฉีและบ่าวรับใช้ขังเอาไว้ในห้อง ห้ามมิให้ออกมาเด็ดขาด พ่อบ้านชราทำหน้าสุดแสนลำบากใจ สุดท้ายพี่รองกลัวว่านางจะหวาดกลัวจึงเล่านิทานที่ไปได้ฟังจากสำนักศึกษา และทบทวนบทเรียนให้แก่นางในระหว่างที่รอ

“ถึงเจ้าจะเป็นสตรี แต่ก็ต้องเรียนรู้เรื่องการเขียนอ่านเอาไว้นะรู้ไหม”

พี่ชายทั้งสองคนของนางมักจะย้ำเรื่องนี้กับนางอยู่เสมอ นางเองก็เป็นเด็กดีเชื่อฟังคำสั่งสอนของพี่ชายและมารดา มาปีนี้เด็กหญิงสามารถอ่านคัมภีร์คุณธรรมได้ครึ่งเล่มแล้ว ส่วนลายมือก็พัฒนาไปกว่าเมื่อก่อนมาก

โต๊ะกลมตรงหน้าเต็มไปด้วยของว่างและขนม พร้อมสรรพด้วยน้ำลูกแพร์และชาชั้นยอด ฉีหลิงตี้รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ที่ด้านหลังของมารดามีหญิงรับใช้ที่นางไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แต่เพราะขนมและของหวานตรงหน้าดึงดูดความสนใจไป นางจึงเลิกใส่ใจหญิงรับใช้ที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อนคนนั้น

“พี่ใหญ่ พรุ่งนี้ท่านสัญญาแล้วนะเจ้าคะ ว่าจะไปอุ้มเจ้าขาวมาให้ข้า” เด็กหญิงสะกิดแขนของพี่ชายคนโต

เด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีมองหน้าเด็กหญิงตัวน้อย แล้วคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้แก่นาง พวงแก้มของน้องสาวเป็นสีแดงระเรื่อ ดูแล้วไม่ต่างอะไรจากผลมะเขือเทศสุก เขาอดไม่ได้ที่จะจิ้มแก้มนุ่มนิ่มของนางไปหนึ่งครั้ง

“แน่นอน ข้าสัญญาเอาไว้แล้ว” เขาตอบ เจ้าขาวที่นางหมายถึงคือลูกสุนัขที่มีขนสีน้ำตาลตัวอวบอ้วน มันเพิ่งจะเกิดได้แค่เพียงไม่กี่เดือน แต่ก็ตัวหนักจนนางอุ้มไม่ไหว เลยต้องมาขอร้องให้เขาไปอุ้มมาให้ ตอนนั้นฉีฮั่นบอกว่า ถ้าลายมือของเด็กหญิงสวยขึ้น เขาจะยอมขอร้องท่านแม่และไปขอเจ้าขาวจากโรงค้าม้ามาให้แก่นาง

“เจ้าขาวคือ?” ผู้เป็นมารดานึกสงสัย เซียวหยาหลานมองหน้าบุตรชายคนโตและบุตรสาวคนเล็กสลับกันไปมา

“ลูกสุนัขของป้าจางที่เป็นเจ้าของโรงค้าม้าน่ะขอรับ พวกเราสัญญากันเอาไว้ว่า ถ้าตี้เอ๋อร์คัดลายมือได้สวยกว่าครั้งที่แล้ว เราจะไปอุ้มมาให้ ตอนนี้นอกจากจะลายมือสวยขึ้น นางยังสามารถอ่านคัมภีร์คุณธรรมได้ถึงครึ่งเล่มแล้วด้วยนะขอรับ” บุตรชายคนรองกล่าวตอบพลางชื่นชมน้องสาว ก่อนจะยกน้ำลูกแพร์ที่หญิงรับใช้เพิ่งจะรินให้ดื่มรวดเดียวจนหมด

พอเด็กหญิงพอได้ยินพี่รองกล่าวชื่นชม ก็ยืนขึ้นยืดอกผ่าเผย

“เป็นอย่างไรเจ้าคะท่านแม่ ข้าเก่งและฉลาดใช่หรือไม่” ในระหว่างที่นางพูดอยู่นั้น ลำคอก็รู้สึกร้อนผ่าวประดุจถูกน้ำร้อนลวก ก่อนจะกระอักโลหิตกองใหญ่ออกมา เด็กหญิงรีบใช้สองมือปิดปากของตนเองเอาไว้ พยายามรักษามารยาทของกุลสตรี

นางกำลังจะอ้าปากร้องขอความช่วยเหลือจากพี่ชายและท่านแม่ แต่กลับพบว่าพวกเขาก็อยู่ในสภาพที่ไม่ได้แตกต่างจากนางสักเท่าใดนัก

เพียงชั่วพริบตา ท่านแม่และพี่ชายใหญ่ก็ล้มลงนอนกับพื้น ส่วนพี่รองที่ยังประคองสติได้ หยิบบางสิ่งบางอย่างออกมาจากอกเสื้อ

“ตี้เอ๋อร์” เขาเรียกชื่อนางพร้อมกับกระโดดเข้าไปหานางด้วยเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้าย ก่อนจะยัดยาเม็ดนั้นใส่ปากของน้องสาว

“พี่รอง ข้าเจ็บ”

“ไม่เป็นไร ไม่เจ็บแล้ว” เมื่อยัดยาเม็ดนั้นให้นางแล้ว ผู้เป็นพี่ชายรั้งร่างเล็กของเด็กหญิงมากอดเอาไว้แน่น “ไม่เป็นไร ตื่นมาก็ไม่เจ็บแล้ว”

“แต่ข้ายังเจ็บอยู่เลยพี่รอง” นางร้องไห้ เด็กหญิงหลับตาลงในอ้อมแขน เสียงลมหายใจของพี่ชายคนรองแผ่วเบาลงไปเรื่อย ๆ อ้อมแขนที่กอดนางเอาไว้แน่นค่อย ๆ คลายออก

ภาพสุดท้ายที่นางเห็นคือ พี่ชายทั้งสองคนและมารดานอนจมกองโลหิต