ตอนที่ 9 ผู้ใดกันแน่ที่ต้องรู้สึกอับอาย
เดินทางสามวันสามคืนในที่สุดก็มาถึงบ้านเดิมของพวกนางสกุล ลู่ บ้านเดิมของสกุลลู่นั้นอยู่ที่เมืองเหลียงตอนนี้มีเพียงท่านย่าของนาง หรือก็คือฮูหยินหนิงผู้เฒ่าที่อยู่ที่นี่เท่านั้น
ตอนที่มาถึงบ้านเดิมสกุลลู่ทั้งท่านแม่และก็พี่สาวของต่างก็ตกใจที่เห็นนางมาด้วยกันกับท่านพ่อ แต่พอนางอธิบายว่าสามีของนางเป็นผู้อนุญาตให้แวะมาดูท่านย่าให้สบายใจก่อนแล้วค่อยตามไปหาเขา ท่านแม่ของนางก็เอ่ยชมลูกเขยสามของบ้านเสียยกใหญ่ทีเดียว
นางกลับท่านพ่อมาถึงก็เกือบจะเป็นเวลาบ่ายแล้ว ท่านแม่บอกว่าท่านย่านั้นเพิ่งทานยาแล้วหลับไป รอช่วงเย็นก่อนท่านพ่อกับนางคอยเข้าไปเยี่ยมท่านย่า
“ฮูหยิน อาการป่วยของท่านแม่ข้าเป็นเช่นไรบ้าง” เป็นท่านพ่อของนางที่เอ่ยถามออกมา
“ท่านแม่ไม่ได้เป็นอะไรมาก ท่านหมอที่มาทำการรักษาท่านบอกว่าท่านแม่ล้มป่วยเพราะความเครียด ใจนางป่วยจึงพาให้ร่างกายอ่อนแอจนล้มป่วยไปด้วย”
“ท่านย่าอยู่ที่บ้านเดิมที่ท่านชอบมิใช่หรือเจ้าคะ จะมีเรื่องอะไรที่ทำให้ท่านย่าเครียดจนล้มป่วยได้กัน” ลู่เข่อชิงเอ่ยถามท่านแม่นางด้วยความสงสัย ปกติแล้วท่านย่าเล็กที่อยู่จวนติดกันซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆ ของท่านย่าก็มักจะมาคุยเล่นกับท่านย่าของนางเสมอไม่ใช่หรือ ด้านลูกหลานทางท่านย่าเล็กเองก็คอยมาเยี่ยมเยี่ยนดูแลท่านย่าของนางอยู่ตลอด
พี่สาวของนางเองก็เพิ่งกลับไปเยี่ยมท่านแม่ที่เมืองหลวงได้ไม่นานปกติก็อยู่กับท่านย่าที่นี่ ถึงขั้นตั้งใจจะแต่งงานอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนท่านย่าอีกด้วย
“เป็นเรื่องของจี้เทียน” พี่สาวนางเป็นผู้เอ่ยตอบแทนท่านแม่ สีหน้าของนางดูไม่ค่อยดีนักยามเมื่อเอ่ยขึ้น
“จี้เทียน สกุลจี้ ไม่ใช่ว่าเขาคือว่าที่พี่เขยที่เคยได้ยินมาใช่หรือไม่” นางเอ่ยถาม
จี้เทียนผู้นี้ไม่ใช่ว่าเหลือแค่ทำพิธีรับตัวเจ้าสาวเข้าจวนก็เป็นอันเกี่ยวดองกันสำเร็จแล้วหรอกหรือ การหมั้นหมายกันของคนผู้นี้กับพี่สาวนางมีมานานไม่ต่ำกว่าสองปีแล้วนี่นา
“เรื่องอันใดกันหรือฮูหยิน”
“เจ้าจี้เทียนผู้นั้นทำสตรีท้องพร้อมกันถึงสองคน หลายวันก่อนคนสกุลจี้ก็มาถึงจวนเพื่อพบท่านแม่ว่าต้องการให้ชิงอี้ของเราเข้าจวนในฐานะภรรยารองคนที่สอง ท่านแม่สามีได้ยินแล้วก็ไล่ตะเพิดคนแซ่จี้นั่นออกไป โมโหเครียดจนล้มป่วยตั้งแต่วันนั้น”
“เป็นเพราะเรื่องของข้าทำให้ท่านย่าต้องล้มป่วยเช่นนี้” พี่สาวผู้ เรียบร้อยเพียบพร้อมของนางก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิด
“นี่ไม่ใช่ความผิดของพี่หญิงเสียหน่อย เหตุใดท่านต้องรู้สึกผิด ด้วย ผู้ที่ควรรู้สึกผิดคือชายชั่วสกุลจี้ผู้นั้นต่างหาก” หญิงสาวเอ่ยอย่างโมโห
ในใจคิดอยากจะไปทวงถามความยุติธรรมให้สกุลลู่ซะเดี๋ยวนี้
“เสี่ยวเข่อชิง เจ้าไม่ต้องโมโหไป เรื่องนี้พ่อจะต้องให้สกุลจี้ชดใช้ ให้ได้”
ท่านพ่อในยามนี้ก็คงไม่ต่างจากนางที่มีความโมโหสุมอยู่ในใจ เพียงแต่ท่านเป็นผู้ใหญ่รู้จักอดทนอดกลั้นได้มากต่างจากนาง
สาวใช้เข้ามาแจ้งว่าท่านย่าของนางตื่นแล้ว เมื่อได้ยินว่านางและท่านพ่อมาก็ให้เร่งมาเรียกพวกนางให้เข้าไปหา
แน่นอนว่าเวลานี้ท่านย่าสำคัญที่สุด นางและท่านพ่อจึงเร่งไปพบท่านย่าในทันที
“ลูกชายข้า หลานชิงเอ๋อร์ พวกเจ้ามาแล้วหรือ” ท่านย่าที่ยามนี้เอนตัวพิงกับเสาเตียงเอ่ยเรียกนางสองพ่อลูกให้เข้าไปหาด้วยรอยยิ้มดีใจยิ่ง
“ท่านแม่…ลูกมาแล้วขอรับ”
“หลานก็มาแล้วเจ้าค่ะท่านย่า”
ลู่เข่อชิงรู้สึกว่านางคิดไม่ผิดที่เลือกมาที่นี่พร้อมกันกับท่านพ่อ ท่านย่านางในเวลานี้ดูแก่ชราลงมากแล้วจริงๆ แม้นางไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ท่านตั้งแต่เด็กอย่างพี่สาวแต่ก็รับรู้ได้ว่าท่านย่านั้นก็รักนางไม่ต่างจากพี่สาว เลย ตอนสนทนากันเมื่อครู่ยังเอ่ยถามถึงเรื่องงานแต่งของ อีกทั้งยังชื่นชมยินดีกับการสมรสของนาง ซ้ำยังกล่าวอีกว่าดีที่ได้แต่งกับบุรุษที่เก่งกาจและมีเกียรติเช่นนี้
หลังจากที่ท่านพ่อออกไปแล้ว ท่านย่าก็บอกให้นางรั้งอยู่พูดคุยต่อเป็นเพื่อนก่อน ยามนี้ภายในห้องจึงมีเพียงท่านย่า แม่บ้านคนสนิทของท่านย่าและก็นางเท่านั้น
“ตอนที่แม่เจ้าบอกว่าเจ้าแต่งงานแล้ว ย่าได้ยินก็ตกใจไม่น้อย ไม่คิดว่าลิงทะโมนอย่างเจ้าจะแต่งก่อนพี่สาวอีกทั้งได้แต่งกับสกุลดีสกุลที่มีเกียรติยิ่ง”
“หลานเองก็จับพลัดจับผลูไปเจ้าค่ะ รู้ตัวอีกทีก็ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวไปแล้ว”
“หลายเขยสามดีต่อเจ้าหรือไม่ ได้ยินว่าเขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่น่าจะเป็นคนเคร่งครัดไม่เบา”
“เขาดีต่อข้ายิ่งเจ้าค่ะ ไม่ได้เคร่งครัดอะไร ข้ารู้สึกว่าเขาดูจะเป็นคนสบายๆ เสียด้วยซ้ำ”
“ฟังเจ้าพูดมาเช่นนี้ย่าก็ไม่มีอะไรต้องห่วงเจ้าแล้ว แต่กับพี่สาวเจ้าอี้เอ๋อร์นี่สิ”
“พี่สาวของข้าเพียบพร้อมเพียงใดมีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ แต่เดิมพี่สาวข้าก็คู่ควรกับบุรุษชั้นยอด ไม่ได้แต่งกับคนสกุลจี้ก็ไม่ได้ถือว่าเราเสียอะไร ทางสกุลจี้ต่างหากที่ไม่มีวาสนา ท่านย่าอย่าได้เก็บไปคิดให้ไม่สบายใจเลยเจ้าค่ะ”
“เรื่องมันไม่ง่ายอย่างที่เจ้าคิดหรอก พี่สาวเจ้าหมั้นหมายมานานแต่สุดท้ายกลับไม่ได้แต่ง เจ้าจี้เทียนนั้นไปคว้าสตรีอื่นมาแทนที่นางพร้อมกันถึงสองคน เช่นนี้แล้วจะมีผู้ใดคิดว่าพี่สาวเจ้าเพียบพร้อมอยู่อีกบ้าง นี่งานแต่งเจ้าชั่วนั่นก็จะมีมาถึงในอีกสองวันแล้ว ไม่เท่ากับกำลังเหยียบหน้าสกุลลู่เราหรอกหรือ”
“ท่านพ่อบอกจะให้สกุลจี้ชดใช้ ข้าเองก็เช่นเดียวกันเจ้าค่ะ”
“พี่สาว ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” ลู่เข่อชิงเอ่ยถามพี่ใหญ่ของนางอย่างเป็นห่วง “เมื่อครู่ท่านกินข้าวไปไม่กี่คำเท่านั้นอิ่มแล้วแน่หรือ”
“ข้ากินไม่ลงน่ะ”
“ไม่ใช่ท่านเสียใจเพราะไม่ได้แต่งกลับเจ้าคนแซ่จี้นั่นหรอกนะ ท่านรักเจ้านั่นหรือเจ้าคะ”
“ข้าไม่ได้มีความรู้สึกรักใคร่ให้กับจี้เทียนเลย เมื่อก่อนหรือตอนนี้ก็ไม่เคยรัก เพียงแต่ตอนนี้รู้สึกอับอายยิ่งนัก ทุกคนในเมืองต่างรู้ว่าข้าเคยหมั้นหมายจนเกือบจะแต่งเข้าจวนสกุลจี้อยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็กลายเป็นวิวาห์ล่ม เข่อชิงข้าคงไม่อาจสู้หน้าใครได้อีก”
“พี่สาวท่านไม่จำเป็นต้องอาย เรื่องทั้งหมดไม่ใช่ความผิดท่าน จี้เทียนผู้นั้นต่างหากที่ควรอับอายไม่ใช่ท่าน” นางเอ่ยย้ำ “ข้ารู้มาว่าอีก สองวันจะถึงงานแต่งจี้เทียนผู้นั้น ข้าขอสัญญากับท่านเลยว่าจะทำให้จี้ เทียนผู้นี้อับอายจนแทบทรากแผ่นดินหนี!!!”
ช่วงสายวันต่อมานางตั้งใจไปที่ร้านอาภรณ์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเพื่อเลือกหาชุดสวยๆ ที่เหมาะแก่การให้นางสวมไปร่วมงานมงคลของสกุลจี้ที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้
โชคดีที่มีชุดตัวหนึ่งที่เพิ่งตัดเย็บเสร็จตรงตามกับความต้องการของนางพอดี หลังจากวัดตัวแล้วก็เหลือเพียงปรับแก้เล็กน้อยเท่านั้นชุดก็พร้อมให้สวมใส่ได้แล้ว
ไม่เท่านั้นร้านเครื่องประดับขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างๆ กันพอดีก็คือสิ่งที่นางหมายใจเอาไว้เช่นเดียวกัน หญิงสาวเข้าไปภายในร้านเพียงไม่นานก็ได้เครื่องประดับติดมือกลับมาอีกชุดหนึ่ง
“เสี่ยวฉี พรุ่งนี้ข้าจะไปที่หนึ่งเจ้าตามข้าไปด้วยก็แล้วกัน”
“ขอรับฮูหยินน้อย”
ลู่เข่อชิงตั้งใจขอยืมตัวสาวใช้คนสนิทของพี่สาวนางอย่างอาลั่วมาช่วยนางแต่งหน้าทำผมตามที่คิดเอาไว้นั่นก็คือแต่งแต้มใบหน้าให้ดูฉูดฉาดโทนชมพูหวาน และก้าวผมทรงสำหรับสตรีที่ออกเรือนแล้วเท่านั้นที่ทำได้พร้อมกับใส่เครื่องประดับหรูหราครบชุด ปิ่นปักผมระย้าด้ามเป็นทองคำแท้ทั้งหมดอีกทั้งตกแต่งปิ่นให้สวยงานด้วยอัญมณีหลากหลาย
ชุดที่นางสวมก็เป็นอาภรณ์ที่ตัดอย่างประณีตเนื้อผ้าอย่างดีเป็นของแพงหายากล้ำค่านัก สีส้มสดงดงามตามอาภรณ์ปักเป็นดอกโบตั๋นราวกับมีชีวิตหลายสิบดอกบานสะพรั่งอยู่บนอาภรณ์ตัวงาม
เมื่อทุกอย่างถูกสวมลงบนตัวของคุณหนูสามลู่เข่อชิงแล้วนั้นสาวใช้อย่างอาลั่วถึงกับตะลึงอยู่ครู่หนึ่งเลยทีเดียว
ปกติแล้วคุณหนูสามมักไม่ชอบแต่งหน้ามีเพียงทาแป้งเติมชาดเพียงเล็กน้อย เสื้อผ้าที่สวมก็มักเป็นแบบเรียบง่าย เน้นสะดวกในการเคลื่อนไหวเป็นที่สุด ยามนี้เมื่อความงามได้ถูกแต่งเติมจนครบครั้นเหมือนเช่นในวันวิวาห์ก็ทำให้บังเกิดหญิงงามที่หาตัวจับได้อยากอีกหนึ่งคน
อาลั่วนั้นสามารถพูดออกมาได้เต็มปากเลยว่าคุณหนูสาวลู่เข่อชิงนั้นงดงามไม่ต่างจากคุณหนูใหญ่และฮูหยินเลย
“อาลั่วประเดี๋ยวเจ้าออกนอกจวนไปพร้อมข้า วันนี้ข้าขอยืมตัวเจ้าจากพี่หญิงเอาไว้แล้ว วันนี้ให้เจ้าติดตามเป็นสาวใช้ของข้า”
“เจ้าค่ะคุณหนูสาม บ่าวทราบแล้ว” อาลั่วแม้จะมีเรื่องสงสัยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามออกไป นางทำเพียงรับคำสั่งและออกไปเพื่อไปจัดการเปลี่ยนชุดของตัวเองบ้างเพื่อที่จะได้เตรียมพร้อมออกไปข้างนอกตามคำสั่งของคุณหนูสามที่วันนี้นางต้องตามไปรับใช้
