ตอนที่ 11 จดหมายจากภรรยา
[ถึงสามีข้าหนิงเฟยอวี้]
วันก่อนหลังจากกลับจากการพังงานสมรสของสกุลจี้ ข้านั้นถูกท่านแม่ลงโทษโดยการให้คุกเข่าอยู่ที่ศาลบรรพชนหนึ่งชั่วยามโทษฐานที่ทำอะไรไม่ปรึกษานางและท่านพ่อก่อน ซึ่งข้าก็เข้าใจดีจึงยินดีรับการลงโทษอย่างเต็มใจยิ่ง
หลังจากนั้นท่านแม่ก็ลงครัวทำอาหารมากมายให้ข้า แม้นางไม่ได้เอ่ยออกมาแต่ก็ทำให้ข้ารับรู้ได้ว่าท่านแม่เองก็พึงใจกับสิ่งที่ข้าทำลงไปอยู่บ้าง ส่วนด้านท่านพ่อและท่านย่าเองก็เอ่ยชมนางไม่ขาดปาก ว่านางช่างกล้าหาญและกระทำการได้ดี ยิ่งพี่สาวคนโตของข้า นางก็ดูเหมือนว่าจะชอบใจเช่นเดียวกัน ตอนนี้สกุลจี้ถูกนางทำเสียจนอับอายไปทั่วทั้งเมือง
เห็นท่านพ่อและท่านแม่พูดคุยกันว่าหลังจากท่านย่าหายดีแล้วจะพาท่านและพี่สาวกลับไปอยู่ที่เมืองหลวงด้วยกัน
ตอนนี้อาการของท่านย่าดีวันดีคืน ท่านพ่อจะเดินทางกลับไปก่อนเพราะใกล้ครบกำหนดเวลาที่ขอลาเอาไว้ เห็นว่ามอบหมายให้ท่านแม่และพี่ใหญ่ข้าพาท่านย่ากลับไปที่เมืองหลวงแล้วท่านพ่อจะมารอรับครึ่งทาง
อีกไม่เกินหนึ่งเดือนข้าก็คงสามารถเดินทางไปหาท่านพี่ได้แล้ว หวังว่าถึงเวลานั้นท่านพี่จะไม่ลืมฮูหยินของท่านไปแล้วหรอกนะเจ้าคะ
เสี่ยวฉีที่ท่านส่งมารู้หน้าที่และทำงานได้ดีเป็นอย่างยิ่ง ผู้ติดตามของท่านคนนี้ทำเอาข้าไม่ต้องออกแรงที่สกุลจี้ด้วยตนเองเลย สามารถวางท่าเป็นฮูหยินผู้สวยงามหรูหราร่ำรวยได้เป็นอย่างดี
ทุกเช้าโชคดีที่เขายอมมาเป็นเพื่อนข้าฝึกกระบี่พร้อมกัน ข้าได้รับคำชี้แนะจากเขาไม่น้อย กลับไปแล้วคงต้องให้ท่านมอบรางวัลใหญ่แก่เขาสักหน่อย
สุดท้ายนี้อยากบอกท่านว่าข้าสุขสบายดีทั้งร่างกายและจิตใจ ท่านเองก็ดูแลสุขภาพให้มากอย่าได้โหมงานหนักเกินไป จนกระทบต่อสุขภาพได้
[ภรรยาท่านลู่เข่อชิง]
ชายหนุ่มอ่านจดหมายในมือไปก็เผลอยิ้มออกมาพร้อมกัน ด้วย ในจดหมายที่นางเขียนมาเล่าเรื่องราวให้เขาฟัง ตัวอักษรนั้นทำเอาเขาอยากให้นางตัวจริงวิ่งมาเล่าให้ฟังเสียตอนนี้เลย
เกือบสองอาทิตย์แล้วที่เขามาถึงเมืองว่านอัน ในทุกวันก็ขลุกอยู่แต่ที่ค่ายทหารแห่งนี้ไม่ได้ออกไปไหน แต่แม้จะวุ่นวายเรื่องกองทัพตลอดทั้งวันแต่พอถึงเวลาพักผ่อนเขาก็มักจะหันมองที่วางข้างตัวเองอยู่ทุกครั้งและทุกครั้งก็จะคิดไปถึงเรื่องที่เขาให้นางเขียนจดหมายส่งมาหาว่านางจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วหรือไม่หลายวันที่ผ่านมาจึงไม่มีจดหมายจากนางส่งมาถึงมือเขาเลย
วันนี้ตอนที่เขาได้รับจดหมายของนางก็เร่งเปิดอ่านเลยในทันที ด้วยความที่อยากรู้ว่าในจดหมายนี้นางจะเขียนเกี่ยวกับสิ่งใดบ้าง
ไม่คิดว่านางจะเขียนเล่าเรื่องสนุกเป็นวีรกรรมที่นางเพิ่งจะทำมาให้เขาได้รับรู้ หลายวันมานี้นางก็คงจะยุ่งอยู่กับเรื่องวุ่นวายของสกุลลู่ ถึงเพิ่งได้มีเวลาว่างนึกถึงคำเขากระมัง
เขาวางจดมายของนางเอาไว้ใกล้ๆ ก่อนจะหยิบกระดาษขึ้นมาตั้งใจจะเขียนจดหมายตอบกลับไปหานางบ้าง แต่ก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยปากไล่รองแม่ทัพในปกครองทั้งสามคนของเขาที่แอบฟังอยู่ด้านนอกเรือนให้ออกไปเสีย
“พวกเจ้าว่างนักก็ไปดูการฝึกของพวกทหารให้ดี”
รองแม่ทัพทั้งสามถึงขั้นพากันวิ่งออกมาในทันที พอคิดว่าไกลจากห้องทำงานของท่านแม่ทัพใหญ่แล้วจึงได้พากันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันต่อ
“ตั้งแต่ท่านแม่ทัพใหญ่กลับมา ข้าก็รู้สึกว่าท่านแม่ทัพดูเปลี่ยนไปอย่างไรก็ไม่รู้” รองแม่ทัพคังเอ่ย
“เจ้าว่าจะเกี่ยวกับแม่นางที่ท่านแม่ทัพพากลับมาพร้อมกันที่ยามนี้อยู่ที่จวนท่านแม่ทัพหรือไม่” รองแม่ทัพเว่ยเอ่ยขึ้นบ้าง ตอนที่ท่านแม่ทัพกลับมาถึงเขาเป็นผู้รอรับอยู่ที่หน้าประตูเมืองด้วยตัวเอง เห็นกับตาว่าในขบวนมีแม่นางผู้หนึ่งกลับมาพร้อมกันกับท่านแม่ทัพด้วย หน้าตานางดูจิ้มลิ้มน่ารักอยู่ไม่น้อย เขาไม่กล้าถามท่านแม่ทัพใหญ่เกี่ยวกับนางและฐานะของนางจึงได้แต่คิดคาดเดาไปเอง
“ข้าว่าไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น ไม่น่าเกี่ยวกับแม่นางที่จวนท่านแม่ทัพ แต่ต้องเกี่ยวกับจดหมายที่เสี่ยวฉีส่งมาแน่” รองแม่ทัพถังกล่าวเสริม “พวกเจ้าลองคิดดูท่านแม่ทัพไม่เคยค้างที่จวนเลยมิใช่หรือย่อมไม่มีเรื่องลึกตื้นหนาบางกับนางแน่ แต่เสี่ยวฉีที่คอยติดตามท่านแม่ทัพกลับหายไปแทน”
“นั้นสิ เสี่ยวฉีหายไป ที่จวนก็มีแม่นางจากเมืองหลวงกลับมาด้วยพร้อมข้าวของเต็มขบวน” รองแม่ทัพคังกล่าวอีก
“ท่านแม่ทัพใหญ่ถามถึงจดหมายจากเสี่ยวฉีทุกวัน ตอนไม่ได้รับก็มีสีหน้าผิดหวังเล็กๆ ซ่อนอยู่แต่ข้าก็มองออก วันนี้ยามที่ได้รับจดหมายในดวงตาก็แฝงประกายความดีใจอยู่มากทีเดียว” รองแม่ทัพเว่ยกล่าว
“หรือว่า ท่านแม่ทัพใหญ่อาจจะกำลังมีงานมงคล แม่นางที่มาด้วยเป็นคนจากจวนสกุลหนิงเพื่อมาดูแลจวนเตรียมต้อนรับฮูหยินคนใหม่”
“ข้อนี้สันนิษฐานอาจจะเป็นไปได้หรือก็อาจจะเป็นไปไม่ได้ก็ได้นะ”
“นั่นสิ ข้าอยากรู้จริงๆ”
“เช่นนั้นไม่สู้พวกเราทำใจกล้าสักนิดเข้าไปถามท่านแม่ทัพใหญ่ตรงๆ เลยเป็นอย่างไร” รองแม่ทัพคังเสนอ
“ก็เป็นความคิดที่ดีนะ เจ้าก็นำเข้าไปก่อนเลยข้ากับรองแม่ทัพถังคอยตามเจ้าไป” รองแม่ทัพเว่ยเอ่ยออกมาพร้อมกับดันหลังรองแม่ทัพคังไปทางห้องทำงานของท่านแม่ทัพใหญ่
สุดท้ายในพวกเขารองแม่ทัพทั้งสามคนก็ไม่มีผู้ใดใจกล้าพอที่จะไปถามเรื่องที่สงสัยกับท่านแม่ทัพใหญ่เลยสักคน ทำได้เพียงแยกย้ายกันไปดูเหล่าทหารฝึกตามที่ได้รับคำสั่งมา
[ถึงภรรยาข้าลู่เข่อชิง]
ข้าได้อ่านเรื่องที่เจ้าเขียนมาทั้งหมดแล้ว รอให้เจ้ามาเล่ารายละเอียดให้ฟังเพิ่มเติมในภายหน้า เห็นว่าเจ้าอยู่ที่บ้านเดิมสบายดีไร้ซึ่งความกังวลข้าเองก็เบาใจ อีกครึ่งเดือนที่เมืองว่านอันก็จะเข้าสู่หน้าหนาวแล้ว อาการศที่นี่ค่อนข้างเย็นกว่าเมืองอื่นๆ นัก หิมะก็ตกมากกว่า
ในจดหมายเจ้าเขียนมาว่าอีกหนึ่งเดือนจึงจะเดินทางมาหาข้าที่นี่จึงอยากจะบอกให้เจ้าได้รับรู้เอาไว้ก่อนจะได้เตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินทางมา
เสี่ยวฉีคุ้นเคยเส้นทางอยู่แล้ว ข้าไม่ห่วงว่าพวกเจ้าจะหลงทางหรือเจอปัญหาระหว่างเดินทางก็มั่นใจว่าเจ้ากับเสี่ยวฉีจะแก้ปัญหาได้ดี ในยามที่เจ้าเดินทางมาไม่ต้องเร่งรีบเดินทางนักให้เห็นความปลอดภัยของเจ้ามาก่อนเป็นอันดับแรก
ใกล้เปลี่ยนฤดูแล้วหวังว่าเจ้าจะดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีเช่นกัน อย่าได้โหมฝึกกระบี่มากจนเกินไป ถ้าภรรยาเชื่อฟังเป็นอย่างดี ข้าก็จะ มอบตำราเกี่ยวกับการรำกระบี่โบราณที่เพิ่งได้มาแก่เจ้า
รอที่จะได้พบกันอีกครั้งในเร็ววัน
[สามีเจ้าหนิงเฟยอวี้]
“จดหมายจากน้องเขยส่งมาหรือ” เป็นพี่สาวของนางที่เอ่ยขึ้น ก่อนจะวางจานของว่างลงที่โต๊ะเบื้องหน้านางและนั่งลงที่เก้าอี้ใกล้ๆ “คงเขียนมาถามกำหนดเดินทางไปเมืองว่านอันของเจ้าน่ะสินะ”
“ไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ข้าเขียนจดหมายไปเล่าให้ฟังถึง เรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเราที่นี่ เขาจึงเขียนกลับมาตามมารยาทคงกลัวว่าข้า จะก่อเรื่องที่นี่มากจนเกินไป” นางเอ่ยอย่างขบขัน “เขายังบอกอีกว่า อากาศหนาวที่เมืองว่านอันหนาวกว่าที่นี่กับเมืองหลวงมากนัก ตอนข้า เดินทางไปก็ควรเตรียมตัวไปดีๆ ด้วยเจ้าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเล่า
“เสื้อคลุมกันหนาวเจ้าเห็นควรต้องซื้อใหม่สักตัวสองตัวแล้วกระมัง ไปที่อากาศเย็นจัดเช่นนั้นจะได้วางใจว่ามีพอใส่”
“ข้าไม่ได้ขี้หนาวสักหน่อยที่มีอยู่ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
“จะพอได้อย่างไร ข้าจะไปบอกท่านแม่ก่อน ไม่แน่ท่านแม่ อาจจะออกไปที่ร้านอาภรณ์พร้อมกันกับพวกเราเลย”
“อาลั่ว…เจ้าอยู่ที่นี่ช่วยคุณหนูสามเตรียมตัวออกไปข้างนอกก็แล้วกัน” ลู่ชิงอี้หันไปสั่งสาวใช้ของนาง
“เจ้าค่ะ…คุณหนูใหญ่” อาลั่วรับคำสั่งคุณหนูของนาง ก่อนจะหันมาทางคุณหนูสาม “คุณหนูสามไปเถอะเจ้าค่ะ บ่าวจะช่วยท่านเปลี่ยนชุด”
ลู่เข่อชิงจำต้องยอมให้อาลั่วช่วยนางเปลี่ยนชุดแต่งตัวใหม่ เพราะหากไม่ทำ นางในตอนนี้ออกไปเจอผู้คนในเมืองก็จะถูกจับได้ว่าตั้งใจแต่งไปข่มคนสกุลจี้ ทั้งๆ ที่จริงๆ ก็ตั้งใจแต่งไปข่มสกุลจี้จริงๆ ก็เถอะ แต่เพื่อชื่อเสียงสกุลลู่ที่มีบุตรสาวที่เพียบพร้อมจะเสื่อมเสียไม่ได้
