บทที่ 3 สหายเก่าที่รู้ใจ
เรื่องราวก็ผ่านไปเช่นนี้ ท่านหมอรักษาไป๋หลางแต่กลับไม่หาย ไป๋เหม่ยเหมยจึงยกมือตบหน้าพี่ชายทั้งซ้ายและขวา สุดท้ายดวงตาของเขาก็กลับมาเป็นปกติ ไป๋หลางแม้จะเจ็บแต่กลับดีใจที่ตาดำของตนไม่เขแล้ว
เขาเองก็ดื่มสุรา แต่สิ่งที่ท่านแม่เรอออกมามันทำให้เขาทนไม่ไหวจริงๆ
ยามค่ำคืนในช่วงฤดูใบไม้ผลินั้น อากาศค่อนข้างเย็นเล็กน้อย สายลมพัดมาผะแผ่ว ให้ความรู้สึกเย็นสบายไม่น้อยเลย ยามนี้ไป๋เหม่ยเหมยกำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่าง พลางทอดสายตามองดูพระจันทร์เบื้องหน้าที่ส่องแสงสว่าง ท้องฟ้าเบื้องบนเป็นสีดำคล้ายกับถูกน้ำหมึกอาบย้อมเอาไว้ ดูงดงามและลึกลับน่าค้นหาในคราเดียวกัน
นางยกถ้วยชาขึ้นดื่มพลางครุ่นคิดถึงใครบางคนในชาติก่อน
เซวียหงเย่
เซวียหงเย่เป็นบุตรชายตระกูลเซวีย ตอนนั้นอายุยี่สิบห้าปี ท่านป้าของเขาเป็นถึงฮองเฮาผู้สูงศักดิ์ในวังหลวง ตอนเขาอายุสิบห้าปีบิดาพลันมาล้มป่วยตายจากไป เขาจึงสืบทอดตำแหน่งไคกั๋วกงแทนบิดาตน และยังเป็นถึงหัวหน้าสำนักองค์รักษ์เสื้อแพรทำงานใกล้ชิดฮ่องเต้ แต่สุดท้ายเมื่อจินฟานได้อำนาจทหารในมือทั้งหมดไปครอง ก็ลงมือสังหารบิดาตน พี่น้องและคนสนิทของบิดาจนตายหมด เดิมทีตำแหน่งฮ่องเต้ควรเป็นของจินเฉวียนองค์ชายใหญ่ แต่จินฟานฉลาดมากแผนการ เขาแกล้งทำดี แสร้งวางท่าเป็นคนอ่อนโยนเพื่อตบตาผู้คน ใช้วิธีสกปรกโสมมเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนปราถนา สุดท้ายแล้วจึงเป็นฝ่ายกำชัยชนะ
เซวียหงเย่ปักใจรักในตัวนาง เขาถึงกับวิ่งตามนางมาที่จวนเพื่อสารภาพรักกับนาง แต่ว่านางกลับปฏิเสธเขาไปอย่างไม่ไยดี ตอนที่เกิดสงครามฆ่าล้างเมือง เขาและบิดานางถือดาบหันหลังชนกัน ต่อสู้เคียงข้างกัน สุดท้ายก็ตกตายตามกันไปทั้งคู่
เซวียหงเย่เป็นบุรุษที่ดี แต่ออกจะนิสัยป่าเถื่อนไม่สนโลกไปเสียหน่อย นางในยามนั้นมองบุรุษนิสัยเช่นนี้ว่าไม่น่าคบหา สู้จินฟานที่นิสัยอ่อนโยนไม่ได้
แต่แล้วเป็นเช่นไรเล่า ดั่งคำที่มีคนเคยว่าไว้ เราจะมองคนเพียงภายนอกที่เขาแสดงออกไม่ได้
คนที่ภายนอกดูเหมือนจะดุร้ายเนื้อแท้อาจจะเป็นเทพเซียน แต่คนที่ภายนอกอ่อนโยนจิตใจดีเนื้อแท้อาจจะโหดร้ายยิ่งกว่าปีศาจเสียอีก
ไป๋เหม่ยเหมยถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ยามนี้นางได้ย้อนเวลากลับมาแล้ว สิ่งที่นางจะทำก็คือไม่เดินเข้าสู่กองไฟ หาทางช่วยบิดามารดาของนางและพี่ชาย ช่วยคนในตระกูล และนางจะหาทางขัดขวางไม่ให้จินฟานได้สมหวังดั่งใจตนปราถนา
ยามนี้ดึกมากแล้ว นางเองก็รู้สึกง่วงงุนยิ่งนัก จึงผล็อยหลับไป
ยามเช้าของวันต่อมาอากาศดียิ่งนัก หลังจากกินอาหารมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว นางก็ไปคารวะบิดามารดาตน แม่ทัพใหญ่ไป๋นั้นก่อนจะไปค่ายทหารยังมอบตั๋วเงินให้บุตรสาวสาวหลายใบบอกว่าอยากเอาไปซื้อสิ่งก็ได้ แต่กลับให้บุตรชายเพียงคนละสามสิบตำลึง ไป๋หลงและไป๋หลางกลับไม่รู้สึกโกธรน้องสาวเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมีความคิดว่าวันนี้ต้องเกาะติดน้องเล็กเอาไว้จะได้มีเงินซื้อของ
ไป๋เหม่ยเหมยรู้สึกเอ็นดูพี่ชายทั้งสองไม่น้อยเลย
เมื่อบิดาออกจากจวนไปแล้ว นางจึงชวนพี่ชายทั้งสองไปเดินเล่นที่ตลาดด้วยกัน เพราะยามนี้ยังไม่ถึงช่วงเปิดเรียนของสำนักศึกษา เหล่าคุณชายและคุณหนูต่างยังคงเที่ยวเล่นได้ตามใจชอบ
ไป๋หลงและไป๋หลางเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ารับด้วยความดีใจ พวกเขาชมชอบความสำราญอยู่แล้วจึงรับปากน้องสาวตนทันที
ไป๋เหม่ยเหมยมองพี่ชายทั้งสองของตนด้วยแววตาที่อบอุ่น ในชาติก่อนนั้นพี่ชายของนางได้เป็นขุนนางทั้งสองคน ไป๋หลงพี่ชายคนโตได้เป็นถึงหัวหน้าสำนักฮั่นหลิน ส่วนไป๋หลางพี่ชายคนรองรั้งตำแหน่งรองแม่ทัพผู้มากความสามารถ อนาคตไกล แม้จะดูเหมือนไม่สนใจสิ่งใด แต่ยามที่ตั้งใจพี่ชายของนางทั้งสองคนกลับทำได้ดียิ่ง
ชาตินี้พวกเขาทุกคนจะต้องมีชีวิตอยู่ไปจนแก่เฒ่า
สามพี่น้องนั่งรถม้าออกจากจวนมุ่งหน้าไปยังตลาด อยู่ๆไป๋เหม่ยเหมยก็บอกให้คนขับรถม้าเปลี่ยนเส้นทางไปยังที่หนึ่ง ไป๋หลงและไปหลางหันมามองหน้ากัน เป็นไป๋หลงที่เอ่ยถามน้องสาวด้วยความสงสัย
"น้องเล็ก ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าจะไปเดินเล่นที่ตลาด เหตุใดจึงเปลี่ยนเส้นทางไปที่โรงน้ำชาหงลู่แทนเล่า"
ไป๋เหม่ยเหมยเพียงยิ้มเล็กน้อยไม่ได้เอ่ยตอบอันใด
เพราะเหตุใดนางจึงไปที่โรงน้ำชาหงลู่น่ะหรือ เพราะที่นั่นมีตลาดมืดอย่างไรเล่า ชาติก่อนนางตามจินฟานไปที่นั่น และยังรู้ว่าเขาและคนตระกูลจวงลอบติดต่อกับคนของตนอย่างลับๆผ่านตลาดมืดแห่งนั้น โรงน้ำชาหงลู่นั้นภายนอกดูคล้ายร้านน้ำชาทั่วไป แต่กลับมีห้องลับใต้ดิน ขอเพียงมีเงินมากพอก็สามารถเข้าไปได้ ผู้คนที่เข้าไปล้วนไปเพื่อซื้อของหายากและของผิดกฎหมายที่ทางการสั่งห้าม นางไม่รู้ว่าเจ้าของที่แท้จริงของโรงน้ำชาหงลู่คือผู้ใด คาดว่าคงจะเป็นคนที่มีอำนาจไม่น้อยเลย
และที่สำคัญ นางมาตามหาสหายรู้ใจของนางในชาติก่อน สหายที่เคยปกป้องนางด้วยชีวิต
ไม่นานนักคนทั้งหมดก็มาถึงโรงน้ำชาหงลู่ ไป๋เหม่ยเหมยใช้ผ้าปิดบังใบหน้าตน และยังบอกให้พี่ชายอีกสองคนทำตามนาง ไป๋หลงและไป๋หลางเพียงพยักหน้ารับคำทั้งที่ในใจสงสัยเป็นอย่างมาก
ไป๋เหม่ยเหมยจ่ายเงินให้คนเฝ้าประตู ก่อนจะเดินเข้าไปพร้อมพี่ชายทั้งสองคน เมื่อเดินลงมาชั้นล่างก็พบว่ามันอับชื้นไม่น้อยเลย ไป๋หลงและไป๋หลางเดินขนาบข้างน้องสาวเพื่อคอยระวังภัย แต่ไป๋เหม่ยเหมยไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอันใด ที่นี่เพียงขายสินค้าที่ทางการไม่ได้อนุญาต และเป็นที่นัดพบของขุนนางอย่างลับๆ นอกนั้นก็ไม่ได้มีอันตรายใด เพียงแค่ระวังตัวให้มาก อย่าให้ใครเห็นใบหน้าตนก็พอ
ไป๋เหม่ยเหมยก้าวเดินอย่างรวดเร็วจนมาหยุดอยู่หน้าสถานที่แห่งหนึ่ง
ไป๋หลงและไป๋หลางไม่คิดเลยว่า น้องสาวจะพาตนมาที่ลานแข่งสุนัข
พวกเขาเคยได้ยินว่าในตลาดมืดมีการแข่งสุนัขอยู่ พวกเขาจะเอาสุนัขมาต่อสู้กัน ตัวไหนแพ้ก็ตาย ตัวไหนชนะแข็งแกร่งก็มักจะสุขสบาย แต่จะสุขสบายจริงหรือไม่นั้นพวกเขาไม่ทราบ เพราะการแข่งขันสุนัขสู้กันไม่เคยให้สุนัขที่ชนะได้พักเลยสักครา ชีวิตของสัตว์เหล่าช่างนี้น่าสงสารเป็นอย่างมาก
เสียงผู้คนโห่ร้องดังลั่น บางคนถึงกับวางเงินจำนวนไม่น้อยเพื่อเดิมพัน
ไป๋เหม่ยเหมยค่อยๆเดินเข้าไป ก่อนจะมองไปโดยรอบและพบกับสุนัขสีดำตัวใหญ่ตัวหนึ่งที่กำลังนอนอยู่ในกรง ดวงตาของมันเหม่อลอยพลางมองไปโดยรอบคล้ายกับกำลังรอคอยการมาของใครบางคน
อยู่ๆมันก็หันมองมายังทิศทางที่ไป๋เหม่ยเหมยยืนอยู่ ดวงตาของมันพลันเปล่งประกายพลางส่ายหางไปมา ท่าทางของมันดูลุกลี้ลุกลนเป็นอย่างมาก
ชั่วขณะนั้นดวงตาของไป๋เหม่ยเหมยพลันแดงก่ำ หัวใจเต้นแรงอย่างไม่อาจอดกลั้น
มันคือเจ้าลูกหมีน้อยของนาง นางซื้อมันมาจากตลาดมืดแห่งนี้เพราะชอบขนของมัน ชาติก่อนเพราะปกป้องนาง มันจึงถูกจินฟานแทงกลางลำตัวจนตาย
ตอนที่พบกันในชาติก่อนมันดื้อนัก นางต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะปราบพยศมันลงได้
แต่ยามนี้มันกลับมองนางด้วยแววตาเป็นประกาย ราวกับกำลังรอคอยเจ้าของ
ไป๋เหม่ยเหมยเดินตรงไปหาคนขายสุนัขทันที
"ข้าต้องการซื้อสุนัขสีดำตัวนั้น ให้ราคาหนึ่งร้อยตำลึง"
คนขายสุนัขถึงกับดวงตาลุกวาว เดิมทีเจ้าสุนัขสีดำตัวนั้นเป็นเพียงสุนัขจรจัดตัวหนึ่งเท่านั้น เขาไม่คิดเลยว่าจะมีคนโง่มาซื้อมันไปในราคาสูงถึงเพียงนี้
เมื่อเงินถึงย่อมได้ของ เถ้าแก่รีบนำสุนัขตัวนั้นมามอบให้ไป๋เหม่ยเหมย ไป๋หลงและไป๋หลางเมื่อได้เห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ไป๋หลงรีบเอ่ยปรามน้องสาวทันที
“น้องเล็ก มันตัวโตถึงเพียงนี้ จะเลี้ยงให้เชีื่องไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าคิดดีแล้วหรือ"
ไป๋หลางเองก็เห็นด้วย แต่ไป๋เหม่ยเหมยกลับยิ้มตาหยี
"พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านไม่ต้องกังวล มันไม่ทำร้ายคน"
เอ่ยจบนางก็เดินเข้าไปหาเจ้าลูกหมีน้อยของนาง เจ้าลูกหมีน้อยเมื่อเห็นนางก็หมอบลงแทบเท้าพลางครางหงิงๆ ไป๋เหม่ยเหมยยื่นมือไปลูบหัวมัน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
"ข้าจะตั้งชื่อเจ้าว่าเจ้าลูกหมีน้อย เจ้าลูกหมีน้อย พวกเรากลับบ้านกันเถอะนะ"
คล้ายว่ามันจะรับรู้ในสิ่งที่นางเอ่ย จึงเดินตามนางกลับไปอย่างว่าง่าย
หนึ่งสตรีน้อยกับหนึ่งสุนัขตัวใหญ่มหึมาที่เดินเคียงข้างกัน กลับดูเข้ากันได้อย่างน่าประหลาด ราวกับผูกพันกันมานานแสนนาน
