บทที่ 6
ได้เกิดใหม่ทั้งที นางย่อมไม่ถูกอวี๋ซื่อจูงจมูกอีกต่อไป
เมื่อเห็นเหล่าฮูหยินทั้งหลายถูกอวี๋ซื่อปลุกเร้าความชอบธรรมขึ้นมา จะออกหน้าแทนตน หลินซือซือก็หลุบตาลง ปกปิดรอยเย้ยหยันในดวงตาไว้
เพียงแต่สถานการณ์ตอนนี้กลับไม่เป็นคุณแก่ตนเลย
นางกับลู่ฉ่างมีความสัมพันธ์กันกลางวันแสก ๆ ชื่อเสียงย่อมป่นปี้ไม่มีเหลือ สิ่งที่พอทำได้ก็เพียงไม่ให้เรื่องราวลุกลามไปสู่หายนะยิ่งกว่าเดิมเท่านั้น
“ท่านน้าเจ้าคะ เหล่าฮูหยินทั้งหลาย โปรดช่วยซือซือด้วยเถิด ตอนที่ข้าถูกพี่ขายซวี่เรียกมายังเรือนนี้ พอดีสาวใช้คนสนิทของข้าถูกเหริ่นตงที่อยู่ข้างท่านน้าเรียกตัวไปพอดี ข้าเพิ่งก้าวเข้าเรือน ยังไม่ทันจะทำสิ่งใด ประตูก็ถูกล็อกจากด้านนอก แล้วข้าก็ได้พบพี่ชายฉ่างที่ถูกคนวางยาเข้าเสียแล้ว จนบัดนี้ข้ายังไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ฮือ ฮือ ฮือ…”
หลินซือซือเมื่อระลึกถึงชาติก่อนของตน ความโศกก็ถาโถมขึ้นในอก น้ำตาร่วงพรูราวลูกปัดที่สายขาด เป็นการร่ำไห้อย่างแท้จริง
แต่ภายในใจของนางกลับคิดพลิกแพลงไปมานับร้อยหน ว่าควรกล่าวถ้อยคำเช่นใด จึงจะสามารถกู้สถานการณ์นี้กลับมาได้บ้าง
นางมิได้พูดว่ามีสาวใช้จากจวนเป็นคนให้ตนมาหา หากแต่บอกว่าเป็นพี่ขายซวี่ที่เรียกตนมาเอง
ส่วนสาวใช้ที่เรียกชุนอวี่ไปนั้น แท้จริงเป็นสาวใช้อื่นในจวน ทว่าในตอนนั้นนางผู้นั้นพูดว่าเหริ่นตงหาชุนอวี่ หลินซือซือจึงละขั้นตอนนั้นเสีย แล้วพูดเสียเลยว่าเป็นเหริ่นตง
เมื่อรวมกับการที่ประตูเรือนถูกล็อกจากด้านนอก และลู่ฉ่างยังถูกวางยาอีก ดูก็รู้แล้วว่าเบื้องหลังเรื่องนี้ ย่อมมีผู้ใดผู้หนึ่งวางแผนลอบเล่นงานอยู่แน่แท้
เหล่าฮูหยินทั้งหลายล้วนรู้เรื่องในจวนกันดีอยู่แล้ว คุณชายใหญ่หาใช่บุตรแท้ของอวี๋ซื่อไม่ หากเป็นเพียงบุตรเลี้ยงต่างหาก
ทุกคนล้วนคลุกคลีอยู่ในเรือนหลังมานาน ย่อมเดาได้ไม่ยาก จึงต่างคิดในใจโดยมิได้นัดหมาย ว่าผู้บงการเรื่องนี้คืออวี๋ซื่อ
อย่างที่คิด สีหน้าของเหล่าฮูหยินก็เปลี่ยนไปในบัดดล
แม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจาออกมา แต่แววตาที่มองไปยังอวี๋ซื่อนั้น กลับเต็มไปด้วยความหมิ่นแคลน
อวี๋ซื่อถึงกับชะงักไปชั่วขณะ เห็นได้ชัดว่านางเองก็คาดไม่ถึงว่า หลินซือซือจะเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ออกมา แต่ก็หาได้จับผิดถ้อยคำของนางได้ไม่
“ซือซือ เจ้าคงถูกหลอกไปแล้วกระมัง พี่ขายซวี่ของเจ้ากำลังวุ่นวายกับการรับรองแขก จะมีเวลาที่ไหนมาเรียกเจ้ามาที่นี่กันเล่า เด็กโง่ เจ้าช่างไม่รู้เลยว่าตัวเองงามเพียงใด ชายบางคนนั้นมีจิตใจสกปรก ถึงกับยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนปรารถนา”
อวี๋ซื่อพยายามจะโยนความผิดทั้งหมดไปให้ลู่ฉ่างแบกรับไว้
ในเวลานี้ ลู่ฉ่างเองก็ไม่อาจแก้ต่างให้ตัวเองได้เลย
ในชาติก่อน เขาก็เช่นเดียวกัน เงียบงันไม่เอ่ยวาจาสักคำ แม้แต่เรื่องที่ตนถูกวางยาก็ไม่พูดออกมา เพียงยอมรับทุกข้อกล่าวหาอย่างเงียบ ๆ
“ท่านน้า แล้วตกลงเป็นผู้ใดกันแน่ที่คิดปองร้ายข้า? ให้ท่านน้าเขยได้โปรดไปแจ้งทางการเถิด หากไม่จับตัวคนร้ายออกมาให้ได้ ซือซือก็กลัวนัก ฮือ ฮือ ฮือ...”
อวี๋ซื่อถึงกับชะงักอีกครั้ง แจ้งทางการงั้นหรือ?
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา มีหญิงใดกันที่เสียความบริสุทธิ์แล้วจะกล้าให้ทางการเข้ามาสอบสวนเอง วันนี้หลินซือซือเป็นอะไรกันแน่?
หากถึงขั้นแจ้งทางการจริง ๆ ด้วยวิธีของกรมลาดตระเวนหลวงแล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่อาจปิดบังได้แน่
“ซือซือเอ๋ย อย่าโง่นะ หากให้ทางการเข้ามาในเรื่องนี้ ชื่อเสียงของเจ้าก็จะเสียหายไม่เหลือแล้วนะ”
“ท่านน้า แล้วจะให้ข้าทำอย่างไรเล่า? ตอนนี้คนตั้งมากมายก็เห็นกันหมด หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ข้าจะมีหน้าอยู่ต่อได้อย่างไร ซือซือไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ฮือ ฮือ ฮือ…”
หลินซือซือโผเข้าซบอกอวี๋ซื่อ ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด
อวี๋ซื่อถึงกับรู้สึกปวดหัวจนแทบระเบิด
ในหมู่ฮูหยินทั้งหลายที่อยู่ ณ ที่นั้น ฮูหยินหานแห่งจวนหลู่กั๋วกงถือว่าอาวุโสสูงสุด อีกทั้งยังเป็นผู้มีเกียรติและชื่อเสียงที่สุด
นางขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเอ่ยสั่งชิวอวิ๋นไปปิดประตูเสียที สาวใช้ผู้นี้ช่างไม่รู้จักดูสถานการณ์จริง ๆ เลย
จากนั้นนางก้าวเข้ามาใกล้อีกนิด พลางเอ่ยขึ้นว่า
“แม่นางหลิน เรื่องในวันนี้ มีเพียงคนในห้องนี้เท่านั้นที่ล่วงรู้ ชื่อเสียงของสตรีนั้นสำคัญยิ่ง ข้าอายุก็มากแล้ว ข้าขอสัญญาไว้ตรงนี้เลย ว่าเมื่อออกจากที่นี่ไป ข้าจะไม่ปริปากพูดถึงเรื่องนี้แม้แต่ครึ่งคำ”
ฮูหยินใหญ่คนอื่น ๆ เห็นดังนั้น ก็รีบกล่าวขึ้นตาม ๆ กันในทำนองเดียวกัน
อวี๋ซื่อถึงกับโกรธจนสีหน้าเปลี่ยนไปแทบไม่เหลือเค้าเดิม แต่ก็ยังจำต้องแสร้งทำท่าทีเป็นผู้ใหญ่ใจดี แสดงความอาทรออกมา พลางปลอบใจหลินซือซือว่า
“ซือซือไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ เรื่องชื่อเสียงของเจ้าคือสิ่งสำคัญที่สุด ท่านน้าย่อมจัดการให้ดี จะสั่งปิดปากเหล่าคนรับใช้ไว้ให้หมดเอง”
แต่ในยามนี้ ฮูหยินหานกลับเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองต่ออวี๋ซื่อเสียแล้ว นางเชื่อแน่ว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้ เป็นอวี๋ซื่อนั่นเอง
หญิงผู้นี้ยอมสละหลานสาวของตน เพื่อใส่ร้ายบุตรเลี้ยง แถมยังลากพวกนางที่เป็นแขกรับเชิญของเรือนเข้ามาเกี่ยวด้วยให้จมลงในน้ำขุ่นนี้
เมื่อครู่ นางเกือบตกเป็นเบี้ยลาของอวี๋ซื่อ กลายเป็นดาบปลายปืนให้อวี๋ซื่อเสียเอง
ฮูหยินหานจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ด้วยถ้อยคำที่ไม่เกรงใจเลย
“ฮูหยินอวี๋ เจ้าเป็นนายหญิงของเรือน พอมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ไม่ว่าคนบงการเบื้องหลังจะเป็นผู้ใด เจ้าเองก็หนีพ้นความรับผิดชอบไปมิได้ ข้าเป็นคนนอกจริงอยู่ ไม่สมควรยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในจวนแม่ทัพเจิ้งกั๋วมากนัก แต่เจ้าก็ควรเรียกข้าว่าท่านน้าตามลู่หวยสี่ วันนี้เจอเรื่องเข้าตา ข้าก็ขอถามฮูหยินอวี๋สักคำว่า ปกติแล้วเจ้าจัดการเรือนเช่นนี้หรือ? คราวนี้กลับทำลายเด็กทั้งสองคนเสียสิ้น ชนะได้ร่วมชื่น ชอกช้ำได้ร่วมรับผล หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ลูกทั้งสองของเจ้าเองก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย”
ในใจของหลินซือซือเต็มไปด้วยความซาบซึ้งต่อฮูหยินหาน เพราะนางไร้ผู้ใหญ่หนุนหลัง ด้วยฐานะของตนแล้ว ย่อมไม่อาจเอ่ยคำตำหนิอวี๋ซื่อได้โดยตรง คำพูดไม่กี่ประโยคของฮูหยินหานเมื่อครู่นี้ เท่ากับตบหน้าอวี๋ซื่อเข้าเต็ม ๆ
ฐานะของฮูหยินหานสูงกว่าอวี๋ซื่อไม่รู้กี่ขั้น ที่นางยอมมาที่นี่ในวันนี้ ก็เพราะเห็นแก่ไมตรีระหว่างสองตระกูลที่เคยมีต่อกันในอดีต
อวี๋ซื่อจะกล้าพูดอะไรได้อีกเล่า จึงได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ แล้วเอ่ยว่า
“ท่านน้าว่าถูกแล้วเจ้าค่ะ เป็นเพราะหลานสะใภ้สะเพร่าไป เรื่องนี้ ข้าจะสืบให้กระจ่างแน่แท้ เพื่อคืนความบริสุทธิ์ให้เด็กทั้งสอง”
ฮูหยินหานหาได้เชื่อคำกล่าวลวงของนางไม่ แต่เมื่ออีกฝ่ายยังรู้จักให้เกียรติตนต่อหน้า นางก็ไม่คิดจะเอาความต่ออีกให้มากความนัก ไหน ๆ ก็ไม่เคยรู้จักกับเด็กสองคนนี้มาก่อนอยู่แล้ว
หลินซือซือย่อมไม่ยอมปล่อยให้โอกาสทองเช่นนี้หลุดมือไป แม้จะเป็นเพียงการอาศัยบารมีของผู้อื่นก็ตาม นางรีบลุกขึ้นจากเตียง คุกเข่าลงเบื้องหน้าฮูหยินหานด้วยน้ำตาคลอเบ้า เอ่ยเสียงสั่นสะอื้นว่า
“ฮูหยินหานเจ้าคะ ท่านเพิ่งเอ่ยปลอบข้าว่าอย่าได้กลัว และจะเป็นที่พึ่งให้ข้า ซือซือสำนึกในพระคุณนั้นเหลือเกินเจ้าค่ะ ข้าฟังถ้อยคำของท่านแล้ว ก็พลันระลึกถึงท่านยายผู้ล่วงลับ นางเคยพูดกับข้าเช่นนี้ไม่ต่างกัน เพียงแต่ข้าชะตากรรมอาภัพนัก ท่านพ่อท่านแม่ก็จากไปหมด วันนี้ยังต้องประสบเหตุอัปยศเยี่ยงนี้ เกรงว่าหนทางชีวิตต่อไปคงมืดมน แต่ในวันนี้ ซือซือขอกราบขอบพระคุณท่านจากใจจริง ขอท่านโปรดรับการคารวะของข้าเถิดเจ้าค่ะ”
ฮูหยินหานวัยแก่แล้ว หลานในเรือนของนางก็มีอายุพอ ๆ กับหลินซือซือ ครั้นเห็นเด็กสาวกำพร้าผู้หนึ่งต้องมาอยู่ในจวนแม่ทัพเจิ้งกั๋วเช่นนี้ แล้วยังต้องประสบเคราะห์ร้ายราวลูกแกะพลัดเข้าถ้ำเสือ ใจของนางก็อดอ่อนโยนขึ้นมาไม่ได้
เดิมทีนางไม่คิดจะยุ่งเรื่องของผู้อื่นนัก แต่เมื่อเห็นเด็กผู้นี้ทั้งน่าสงสารและรู้ความดีนัก ครั้นรับการคารวะนั้นแล้ว ก็ย่อมมิอาจรับไว้เฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรได้
นางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะประคองหลินซือซือลุกขึ้น แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“เด็กดี ต่อไปเมื่อเจอเรื่องใด ก็จงรู้เท่าทันผู้คนไว้ให้มากหน่อย เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว เจ้าก็ควรตริตรองให้ถี่ถ้วน ว่าจะตัดสินใจอย่างไร หากวันใดเจ้าพบเรื่องลำบากเกินแรงตัว ต้องการให้ข้าช่วย ก็ให้คนไปส่งข่าวที่จวนหลู่กั๋วกง มาบอกข้าไว้เถิด”
คำพูดนี้เองคือสิ่งที่หลินซือซือต้องการที่สุด นางพยักหน้าทั้งน้ำตา “ฮือ ฮือ” ไปด้วย พลางคว้ามือฮูหยินหานไว้ แล้วซบหน้าลงกับแขนนาง ถูเบา ๆ
หลินซือซือลุกขึ้นยืน แล้วหันไปก้มหัวไหว้ขอบคุณฮูหยินคนอื่น ๆ ว่า : ขอบพระคุณที่พวกนางทั้งหลายยอมเก็บเรื่องวันนี้ไว้เป็นความลับ
เพราะมีท่าทีของฮูหยินหานอยู่เบื้องหน้า ฮูหยินท่านอื่น ๆ ก็แสดงความเห็นใจหลินซือซือด้วยความกรุณา และรับปากว่าจะปิดปากเก็บเรื่องนี้ไว้
แล้วหลินซือซือจึงหันไปมองชิวอวิ๋น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ชิวอวิ๋น เรื่องวันนี้ที่เกิดขึ้น หากเจ้ากล้าปล่อยข่าวออกไป ข้าจะเอาเจ้าไปขายยังแดนลำบาก”
ชิวอวิ๋นรีบก้มหัวลงกราบ พลางโขกหัวยืนยันว่าไม่กล้าทำเช่นนั้นเด็ดขาด
ในเรือนเหลือเพียงลู่ฉ่าง อวี๋ซื่อ และแม่นมจวงในเรือนของนาง
ลู่ฉ่างเองย่อมไม่มีทางไปแพร่ข่าวเรื่องอัปยศของตนออกไป
อวี๋ซื่อรู้สึกถึงแรงกดดัน พลางมองแม่นมจวงสักหน่อย แล้วมีแต่ต้องเอ่ยว่า
“แม่นมจวงคือคนของข้า รู้ว่าควรพูดหรือไม่ควรพูดอะไร ซือซือ เจ้าสบายใจได้ น้าจะหาทางคุ้มครองเจ้าให้ปลอดภัยเอง”
“ขอบพระคุณท่านน้าเจ้าค่ะ!”
หลินซือซือก็ทำความเคารพต่ออวี๋ซื่อเช่นกัน
หลินซือซือมิได้คาดหวังว่าทุกคนจะปิดปากได้ทั้งหมด แต่นางเชื่อว่า หากมีใครอยากพูด ก็คงทำได้เพียงกระซิบอยู่เบื้องหลัง ไม่อาจสร้างความวุ่นวายยิ่งใหญ่ได้อีกแล้ว
