บทย่อ
คราที่หลินซือซือเกิดใหม่อีกครั้ง กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่กับลู่ฉ่างพี่ชายของคู่รักวัยเด็ก...... นางตัดสินใจทิ้งคู่รักวัยเด็กในทันที และตรงไปเข้าพิธีสมรสกับบุรุษผู้ที่บนร่างนางขณะนี้ คู่รักวัยเด็กร้องไห้ เก็บตัวอยู่เงียบ อดข้าวอดน้ำ; แม่ของคู่รักวัยเด็กร้อนรนใจ ไอ้ลูกบุญธรรมบ้านี่ กล้าแย่งผู้หญิงของลูกชายแท้ๆของข้ารึ; น้องสาวของคู่รักวัยเด็กลนลาน แล้วใครจะมาเพิ่มสินสอดให้ข้าล่ะ? หลินซือซือยิ้มอย่างเย็นชา ในชาติก่อนพวกเจ้าได้กลืนกินทุกอย่างของข้าไปหมดสิ้น ชาตินี้ข้าจะให้พวกเจ้าคายออกมาอย่างหมดเปลือก เพียงแต่นางไม่ได้คาดคิดว่า การหมั้นหมายที่นางผิดพลาดไปนั้น ชายผู้นั้นกลับหลงรักนางมาตั้งแต่ชาติที่แล้วโดยไม่เผยตัว......
บทที่ 1
“ซือซือ ตื่นสิ ตื่นเร็วเข้า... เรียกหมอในจวนมา รีบเรียกหมอในจวนมา...”
เสียงสตรีผู้หนึ่งที่โศกเศร้าและร้อนรนดังขึ้น
เมื่อหลินซือซือตื่นมา นางพบว่าตนเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เผยผิวกายครึ่งท่อน เอนพิงอยู่ในอ้อมแขนของฮูหยินอวี๋ ผู้ซึ่งเป็นน้าของนาง และถ้อยคำที่ได้ยินเป็นสิ่งแรก ก็คือที่กล่าวข้างต้น
“อย่าฆ่าข้า อย่าฆ่าข้า…”
หลินซือซือสะดุ้ง พลันกลิ้งหล่นจากอ้อมแขนของฮูหยินอวี๋
“สือสือ น้าเองนะ อย่ากลัวเลย น้าอยู่ตรงนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าทำร้ายเจ้าได้หรอก ลูกเอ๋ย ช่างน่าสงสารนัก ถูกรังแกจนถึงเพียงนี้ บ้านเราช่างอับโชคจริง ๆ ฮือ ฮือ…”
ฮูหยินอวี๋เช็ดน้ำตา พลางคว้ามือของหลินซือซือไว้แน่น ดวงตาแดงก่ำตวัดมองชายที่ยืนหันหน้าเข้ากำแพงอยู่ข้าง ๆ ด้วยแววขุ่นเคือง
หลินซือซือมองตามสายตานั้น เห็นชายผู้หนึ่งรูปร่างสูงสง่า แผ่นหลังตรงดั่งไม้ไผ่ ถึงแม้เสื้อผ้าจะยุ่งเหยิง แต่ก็ยังมองเห็นได้ชัดถึงร่างที่แข็งแกร่งและทรงพลังของเขา
ลู่ฉ่าง?
“ข้ายังไม่ตายหรือ?” หลินซือซือเผลอเอ่ยออกมาโดยไม่รู้ตัว
ฮูหยินอวี๋น้ำตาร่วงลงมาอีกยกใหญ่
“ซือซือ เจ้าจะไม่ตายดอก คนที่สมควรตายมิใช่เจ้า ต่อให้น้าต้องสละชีวิต ก็จะปกป้องเจ้าไว้ให้ได้ น้าผิดต่อพ่อแม่ที่ล่วงลับของเจ้าเสียแล้ว ฮือ ฮือ…”
บรรดาฮูหยินที่ยืนอยู่ในห้องตอนแรกต่างก็มีสีหน้าลำบากใจ พวกนางเพียงแวะมาเยี่ยมเยียนที่จวน มิคาดคิดว่าพอเดินตามนายหญิงของจวนมาถึงเรือนหลัง ก็จะได้พบเหตุการณ์อัปยศเช่นนี้
เมื่อได้ยินเสียงหลินซือซือตะโกนว่า “อย่าฆ่าข้า” นี่นางถูกคนรังแก แล้วยังเกือบจะถูกปิดปากฆ่าตายอีกหรือ?
นี่มัน…ช่างอุกอาจเกินไปนัก
บรรดาผู้คนต่างพากันมองหลินซือซือด้วยแววตาเวทนา แล้วหันไปจ้องชายที่ยืนหันหน้าเข้ากำแพงด้วยสายตาเดือดดาล
ชายผู้นั้นยังคงก้มศีรษะ และหันหน้าเข้าหากำแพงโดยไม่ขยับแม้แต่น้อย
หลินซือซือหันศีรษะไป มองข้ามฮูหยินหลายท่าน ก็พบสาวใช้คนสนิทของตนที่ชื่อชิวอวิ๋น เดินไปถึงหน้าประตูแล้ว กำลังรีบออกไปเรียกหมอในจวนมา
แต่ฉากตรงหน้านี้ มันมิใช่เรื่องราวเมื่อหกปีก่อนหรือ?
นางถูกเสิ่นอวี้เจียวบังคับให้ดื่มยาพิษเย็นจัดติดกันสามวัน จนปวดท้องทรมานตายไปไม่ใช่หรือ?
หลินซือซือบีบต้นขาของตนเอง เจ็บ! เจ็บอย่างแท้จริง!
นี่ไม่ใช่ฝัน?
ตนเองกลับมาเกิดใหม่แล้ว!
ในวันและคืนอันมืดมนที่ถูกจองจำอยู่ในเรือนหลัง ไม่มีวันเป็นอิสระและอยู่อย่างไม่ต่างจากความตาย นางเคยครุ่นคิดถึงเหตุการณ์วันนี้นับครั้งไม่ถ้วนในใจ
นางเคยคิด หากวันหนึ่งสามารถย้อนกลับไปได้ หากรู้เท่าทันเล่ห์กลของคนเหล่านี้ แล้วเลือกหนทางที่ต่างออกไป ชีวิตของนางจะไม่ต้องจบลงอย่างน่าสังเวชเช่นนั้นหรือไม่
ดังนั้นเมื่อย้อนกลับมาสู่วินาทีนี้อีกครั้ง แม้เวลาจะผ่านไปถึงหกปี แต่สัญชาตญาณก็ทำให้นางเอ่ยออกมาโดยไม่ทันคิด
“ชิวอวิ๋น กลับมา!”
ชิวอวิ๋นที่กำลังจะก้าวพ้นประตูไปก็ชะงักฝีเท้าลง
ในดวงตาของฮูหยินอวี๋แวบผ่านแสงเยียบเย็นเพียงชั่วพริบตา ก่อนจะรีบคว้ามือเล็กของหลินซือซือไว้ด้วยท่าทีแสนเอ็นดู
“ซือซือ ให้หมอในจวนมาดูอาการเจ้าสักหน่อยเถิด น้าจะไม่ยอมให้เจ้าเป็นอะไรไปแม้แต่น้อย”
หลินซือซือหัวเราะเย็นชาอยู่ในใจ เจ้าห่วงร่างกายของข้าที่ไหนได้ เจ้าอยากให้เรื่องอัปยศนี้แพร่สะพัดไปทั่ว ให้ข้าและบุตรเลี้ยงของเจ้าตรึงอยู่บนเสาแห่งความอัปยศ เพื่อให้เจ้าชักใยตามอำเภอใจมากกว่าสินะ!
แต่บนใบหน้ากลับไม่ได้แสดงออกมา นางเพียงดึงเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยให้เข้าที่ แสร้งทำสีหน้าลำบากใจ ก่อนเอ่ยอย่างอาย
“ท่านน้าเจ้าคะ เมื่อครู่ข้ากับพี่ฉ่างเกิดเข้าใจผิดกันเล็กน้อย ทำให้ทุกท่านต้องเห็นเป็นเรื่องน่าขันไปเสียแล้ว วันนี้เป็นวันเกิดครบสี่สิบปีของท่านน้าเขย ท่านน้ารีบไปต้อนรับเหล่าฮูหยินที่งานเลี้ยงเถิดเจ้าค่ะ ให้ชิวอวิ๋นอยู่ช่วยข้าจัดการตรงนี้ก่อน เรื่องในเรือนนี้ ข้าค่อยกราบเรียนให้ท่านน้าทราบภายหลังเถิดเจ้าค่ะ”
บรรดาฮูหยินที่ยืนอยู่พลันมีสีหน้าสงสัย อะไรกันนี่?
เมื่อครู่คุณหนูหลินยังร่ำไห้คร่ำครวญ ราวหญิงผู้บริสุทธิ์ที่ถูกย่ำยีร่างกายจนคิดสั้น และสลบไปต่อหน้าต่อตาจริง ๆ
แต่พอฟังถ้อยคำนางตอนนี้ กลับเหมือนเรื่องมันไม่เป็นอย่างที่คิดเสียแล้ว
แถมยังพูดว่าเป็นเรื่องภายในเรือน ความหมายนั้นชัดอยู่ในทีว่า พวกเราซึ่งเป็นคนนอก ควรถอยหลีกไปไม่ใช่หรือ
ว่าไปแล้ว มันก็จริงอยู่ เป็นเรื่องของคนในเรือนหลังเขา
“ซือซือ เจ้าอย่าได้กลัวเลย ไม่ว่ามันจะเป็นใคร น้าต่อให้ต้องสละชีพ ก็จะต้องช่วยเจ้าทวงความยุติธรรมให้ได้ หากพี่ขายซวี่ของเจ้ารู้เข้า คงเสียใจยิ่งนัก ช่างน่าสงสารเจ้ายิ่งนัก เจ้ากับเขา…แค่ก ๆ …”
ฮูหยินอวี๋พูดพลางสะอื้นร่ำไห้ ราวกับผู้ถูกย่ำยีคือนางเองเสียอย่างนั้น
หลินซือซือมองท่าทางของนาง พลันรู้สึกขยะแขยงจริง ๆ
เหล่าฮูหยินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พอได้ฟังคำพูดนั้น ก็พลันเปลี่ยนใจจากที่คิดจะจากไป
ในหมู่พวกนาง มีฮูหยินผู้หนึ่งวัยราวห้าสิบ ผมขมับแตะสีขาว รูปร่างสมบูรณ์สง่างาม ก้าวออกมาข้างหน้าแล้วกล่าวว่า
“คุณหนูหลิน เจ้าหากมีเรื่องอันใดไม่เป็นธรรม ก็พูดออกมาเถิด ใต้ฟ้ากลมกลืนนี้ ยังมีความยุติธรรมอยู่ ข้าในฐานะฮูหยินหลู่กั๋วกง วันนี้จะไม่ยอมให้เรื่องนี้จบลงง่าย ๆ แน่”
“ข้าก็ด้วย!”
“ข้าด้วยอีกคน!”
...
เหล่าฮูหยินที่เหลือต่างก็มีสีหน้าโกรธแค้นแทนนางอย่างเห็นได้ชัด
หลินซือซือก้มหน้าลง ซ่อนรอยยิ้มเยียบเย็นในดวงตาไว้ น้าของนางนี่ช่างสูงมือจริง ๆ ถึงกับเชิญฮูหยินหลู่กั๋วกง ผู้มีชื่อเสียงและมีหน้ามีตาในเมืองหลวง แถมยังเป็นผู้คบค้ากว้างขวาง มาร่วมเป็นพยานในเหตุการณ์นี้ด้วย
ไม่น่าแปลกใจเลยว่า ในชาติก่อนลู่ฉ่างถึงได้ถูกบีบบังคับให้สละตำแหน่งผู้สืบทอดของตระกูล และต้องสละยศแม่ทัพกลางในองครักษ์อวี่หลิน แล้วหนีไปยังชายแดนซีเป่ยอย่างสิ้นท่า
ส่วนตัวนางเอง ชื่อเสียงพังพินาศไปหมด ได้รับความ “เมตตาเกื้อหนุน” จากน้า แล้วนำทรัพย์สมบัติมหาศาลที่ท่านพ่อท่านแม่เหลือไว้ ไปแต่งเป็นอนุภรรยาของพี่ขายซวี่-ลู่ซวี่
นางถูกขังอยู่ในเรือนหลัง สมบัติทั้งหลายถูกน้าล่อลวงไปหมด และน้ายังปล่อยให้เสิ่นอวี้เจียว ภรรยาหลวงของลู่ซวี่ทรมานนางจนแทบสิ้นชีพ...
หลินซือซือนึกถึงฉากภาพในชาติก่อนได้ชัดเจน ชีวิตสั้น ๆ ของนางที่เปื้อนเลือด สลดสังเวชและโศกเศร้าเกินบรรยาย
และเคราะห์ร้ายทั้งปวง ก็ล้วนเริ่มต้นจากวันนี้เป็นต้นไป...

