บทที่4
อันที่จริงผมก็แค่จะพาเธอไปขับรถด้วยความเร็วสูงวนรอบๆ เมืองเพื่อให้เธอยอมเอ่ยปากขอโทษผมเท่านั้น ไม่ได้คิดที่จะทำอะไรบัดสีกับยัยบ้านี่หรอก สาบานได้
“นายจะทำอะไรฉันฮะ!! ไอ้โรคจิต จอดรถเดี๋ยวนี้นะ!!”
“.....”
“ฉันบอกให้จอดรถยังไงเล่า!!~” ไม่พูดเปล่า ยัยบ้านั่นเอื้อมมือมากระชากพวงมาลัยรถจากผมจนรถเสียหลักเซไปมา
“ทำบ้าอะไรของเธอเนี่ย ปล่อยมือจากพวกมาลัยซะ อยากตายรึไงวะ!!”
“ไม่ปล่อยยยย~”
ดื้อรั้นไม่มีใครเกินเลยจริงๆ เรายื้อยุดฉุดกระชากพวงมาลัยรถกันอย่างเมามัน ท่ามกลางความเร็วของรถที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนลง และทันใดนั้นเอง...
“เฮ้ย!”
“กรี๊ดด!!~” ผมกำลังพยายามดึงแขนเล็กให้หลุดออกจากพวงมาลัยจนลืมไปว่าตัวเองเป็นผู้ควบคุมรถอยู่ ส่งผลให้รถเสียหลักชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ข้างทาง ยัยตัวแสบนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่ข้างๆ คนขับ ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังไม่ยอมปล่อยพวงมาลัยรถ ผมเห็นเลือดสีสดๆ เริ่มไหลอาบร่างบาง ผมจึงรีบลงจากรถไปเปิดประตูข้างคนขับ เพื่อดูอาการเธอด้วยความเป็นห่วง บ้าชิบ!
“นี่เธอ! อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ ยัยงี่เง่า เฮ้! ตื่นสิวะ!” ผมทั้งเขย่าตัว ทั้งตบหน้าเธอเบาๆ เพื่อเรียกสติ แต่สิ่งที่ตอบกลับมาก็คือความเงียบบ้าที่สุดโว้ย! นี่มันวันซวยอะไรของผมกันวะเนี่ย
[โรงพยาบาล]
นี่ก็ผ่านไปราวๆ สามชั่วโมงเห็นจะได้ หลังจากที่ผมโบกแท็กซี่พาร่างบางที่หมดสติมาโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด คุณหมอบอกว่าศีรษะของเธอถูกกระแทกอย่างแรง นั่นก็เพราะเธอไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย ต้องเข้าห้องเอกซเรย์โดยด่วน ส่วนผมไม่เป็นอะไรมาก แต่จะเป็นหนักก็ตรงหัวที่ถูกส้นสูงกระแทกเข้าให้นั่นล่ะ เย็บไปสี่เข็มเต็มๆ ผมยอมรับว่าผมผิดที่อยากจะแกล้งให้เธอหยุดว่าคนอื่นด้วยคำพูดที่เหยียบย่ำนั่น แต่ใครจะนึกล่ะว่ายัยบ้านั่นจะฤทธิ์เยอะ ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับใครง่ายๆ แบบนี้
ประตูห้องไอซียูถูกเปิดออก ก่อนที่คุณหมอจะเดินออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกหนักใจเข้าไปอีกเป็นเท่าตัว
“คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ แต่ว่า...” ทำไมต้องมีแต่ว่าด้วยล่ะเนี่ย ผมเกลียดการมีข้อแม้มากที่สุดเลยในเวลาแบบนี้น่ะ
“แต่อะไรครับคุณหมอ”
“คือว่าคนไข้อาจจะ...”
ผมยืนมองร่างบางที่กำลังหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงความรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ‘สมองส่วนกลางถูกกระแทกอย่างแรง ส่งผลให้ผู้ป่วยอาจจะนอนหลับเป็นเจ้าหญิงนิทรา หรือไม่ถ้าฟื้นก็อาจจะความจำเสื่อมชั่วคราว มีเวลาแค่เพียงคืนนี้เท่านั้น คุณต้องทำใจดีๆ ไว้นะครับ แฟนคุณต้องปลอดภัย!’
นี่ผมทำร้ายผู้หญิงอีกครั้งแล้วเหรอเนี่ย คนอย่างผมนี่มันมือหนาค่อยๆ เอื้อมไปกุมมือบางที่มีสายน้ำเกลือเอาไว้เบาๆ อย่างทะนุถนอม พระเจ้า ทำไมต้องส่งผู้หญิงคนนี้ให้มาเจอกับผมด้วยนะ เธอปากร้าย นิสัยแย่ เอาแต่ใจ แต่ทำไมผม...ถึงได้มีความรู้สึกอยากจะปกป้องเธอมากมายขนาดนี้ มันเพราะอะไรกัน
“คะ...คุณ...” เสียงหวานของเจ้าของใบหน้าซีดขาวดังขึ้นขณะที่ผมกำลังนั่งคิดถึงอนาคตต่อไปที่ไม่อาจจะคาดเดาอะไรได้เลยอยู่เงียบๆ เปลือกตาเธอค่อยๆ เปิดออกช้าๆ ก่อนที่ริมฝีปากบางจะเอ่ยถาม...
“คุณเป็นใครเหรอคะ”
คำพูดอ่อนหวาน รอยยิ้มอ่อนโยน ทำไมมันถึงได้แตกต่างจากในตอนแรกที่เจอกันคนละขั้วแบบนี้นะ
“เธอจำฉันไม่ได้อย่างงั้นเหรอ”
“เรารู้จักกันเหรอคะ แล้วนี่ฉันอยู่ที่ไหน ฉันเป็นใคร แล้วทำไม โอ๊ยยย~ ปวดหัวจัง!” ผมต้องรีบคว้าร่างบางที่ดิ้นไปมาอย่างทรมานมาซุกเอาไว้ในอ้อมกอด พร้อมทั้งลูบหัวเธอเป็นการปลอบโยน ผมควรจะบอกเธอว่าผมเป็นใครดีนะ คนที่เธอเอาส้นสูงขว้างใส่หัว คนที่เธอจอดรถเพื่อถามทาง หรือว่าคนที่เป็นตันเหตุทำให้เธอต้องสูญเสียความจำไป ผมควรตอบอะไรออกไปดี?
‘เหอะ! ที่แท้ก็อกหักมาเหรอเนี่ย ให้ตาย ฉันล่ะดีใจกับผู้หญิงคนนั้นซะเหลือเกิน ที่เลิกๆ กับคนอย่างนายไปซะได้ ผู้ชายนิสัยแย่ปากร้ายอย่างนายน่ะ ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่มีวันมีความรักได้หรอก’ จู่ๆ ประโยคที่ถูกตะโกนใส่หน้าเพิ่มความเจ็บช้ำในหัวใจของยัยตัวแสบก่อนหน้านี้ก็ดังก้องในหัวผม นั่นสินะ! ผู้หญิงคนนี้คงจะไม่เคยถูกใครขัดใจมาก่อนเลย พอไม่พอใจอะไรก็ใส่อารมณ์ทำร้ายผู้อื่นโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ปากร้าย เอาแต่ใจแบบนี้ สั่งสอนสักหน่อยดีมั้ยนะ...
“ฉันเป็นแฟนของเธอยังไงล่ะเวนิส!” สำหรับผู้หญิงที่สวย เซ็กซี่ แต่ทว่าปากร้ายไม่มีใครเกินแบบนี้ เหมาะสมกับชื่อนี้มากที่สุดแล้ว...เวนิส!
ชื่อที่เป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเน โต ประเทศอิตาลี ที่สวยงามเกินคำบรรยายเหมือนกับใบหน้าของผู้หญิงปากร้ายคนนี้มากที่สุด
