7. เล็งหางานใหม่
เปมิกา กลับถึงห้องด้วยความเงียบเหงา น้องชายของหล่อนเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัดตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว เมื่อต้องอยู่ห้องคนเดียวหล่อนก็รู้สึกอ้างว้างอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หล่อนเปิดโทรทัศน์ดูข่าวภาคดึก ได้เห็นข่าวการไปรับฟังข้อเรียกร้องของพนักงานบีบีซี. มีภาพนายกรัฐมนตรีเดินลงมาจากรถตู้ และยิ้มต้อนรับกลุ่มแกนนำที่เดินเข้าไปยกมือไหว้ ข้อความในข่าวบอกแต่เพียงว่านายกฯกำลังพูดคุยอยู่กับตัวแทนผู้ชุมนุม
เปมิกา ปิดโทรทัศน์ด้วยความหดหู่ใจ หล่อนเดินเข้าห้องไปอย่างเงียบ ๆ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตเริ่มมารบกวนจิตใจอีกแล้ว หล่อนไม่ได้คาดหวังว่ารัฐบาลจะช่วยหางานทำให้กับพนักงานทั้งห้าพันกว่าคนได้ เพราะในสภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ บริษัทต่าง ๆ ก็ปิดตัวไปเป็นจำนวนมากเช่นนี้ จะให้มีการจ้างงานเพิ่มนั้นคงเป็นไปได้ยากมาก
เสียงโทรศัพท์ที่ห้องดังขึ้น เปมิการู้สึกแปลกใจที่มีโทรศัพท์เข้ามาในเวลาดึกดื่นเช่นนี้
“ป่าน...นี่ มานพ เองนะ..”
เสียงคนโทรมารีบบอก
เปมิกา ถอนหายใจเฮือกใหญ่ หล่อนไม่มีอารมณ์อยากจะคุยกับมานพ ด้วยรู้ดีว่าเพื่อนเก่าคนบ้านเดียวกันอย่างมานพไม่มีอะไรมาก นอกจากโทรมาพูดเพ้อเจ้อให้หล่อนรำคาญใจเท่านั้นเอง
มานพ ในความรู้สึกของเปมิกา คือชายหนุ่มสติเพี้ยนประจำหมู่บ้าน ที่หลงรักเปมิกา มาตั้งแต่เด็ก กระทั่งโตเป็นหนุ่มแล้วก็ยังรักฝังใจไม่รู้ลืม
ไม่รู้ว่าเปมิกา ทำเวรทำกรรมอะไรไว้กับมานพ ถึงได้ทำให้เขาคลั่งไคล้หลงไหลจนทำให้หล่อนประสาทเสียทุกครั้งที่ต้องรับโทรศัพท์จากเขาเสมอ จนหล่อนต้องเปลี่ยนเบอร์มือถือ แต่เบอร์โทรศัพท์ที่ห้องเปมิกา ยังไม่ได้เปลี่ยน
“มีอะไรยะ โทรมาซะดึกดื่นเชียว...”
“มือถือป่านเสียเหรอ เรากดหาป่านตั้งหลายรอบก็ไม่ติดสักทีก็เลยต้องโทรเบอร์บ้าน”
“มีอะไรสำคัญเร่งด่วนหรือเปล่าล่ะ..ถ้าไม่มีฉันจะวางสายแล้วนะ.”
เปมิกา ไม่พูดอ้อมค้อม เพราะเครียดกับการที่จะตกงาน
“เดี๋ยวสิป่าน...เราจะบอกว่าปอกลับถึงบ้านที่โนนสว่างแล้วนะป่าน” มานพรีบละล่ำละลักพูด
“รู้แล้วย่ะ..น้องชายฉันอยู่กับฉันเขาจะไปไหนมาไหนฉันก็ต้องรู้...ไม่เห็นต้องมาบอกเลย”
“แล้วทำไมป่านไม่กลับมากับปอด้วยล่ะ..รู้ไหมเรารอป่านกลับบ้านทุกปีเลย..”
“งั้นก็รอไปอีกสิบปีแล้วกัน..เพราะฉันยังไม่คิดจะกลับบ้านตอนนี้.....”
“พูดจริงนะป่าน..จะให้เรารอแค่สิบปี..งั้นเราจะเริ่มนับปีนี้เป็นปีแรกนะ อีกเก้าปีป่านก็จะกลับมาแต่งงานกับเราใช่ไหม”
เสียงมานพตื่นเต้น แต่เปมิกา อยากจะร้องไห้
“โอ้ย..พูดกับนายแล้วฉันอยากจะเอาโทรศัพท์โขกหัวตัวเองให้มันปูดโนแก้เซ็งจริง ๆ ฉันพูดประชดยังไม่รู้ตัวอีกหรือเนี่ย..เมื่อไหร่นายจะเลิกคิดเรื่องแต่งงานบ้าบอกับฉันนี่เสียทีนะมาโน้บ...”
“ก็เรารักป่านนี่นา..จะรอจนกว่าป่านจะเห็นใจยอมแต่งงานกับเรา..รู้หรือเปล่าว่าสาว ๆ ในหมู่บ้านอยากจะเป็นเมียเราทั้งนั้นแหละ...เพราะอะไรป่านรู้ไหม..”
“ไม่อยากรู้...”
“ไม่อยากรู้ก็จะบอก..เพราะเรามีฟาร์มหมูที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านไงล่ะ..ถ้าป่านแต่งงานกับเรานะ จะไม่ให้ป่านลำบากเลยจริง ๆ นะ..ถ้าป่านตกงานก็ไม่ต้องกลัวนะ กลับมาอยู่ฟาร์มหมู กับเราได้เลย”
“ไม่เอาหรอกเหม็นขี้หมู...นี่มานพ..มีอะไรอีกไหมฉันง่วงนอนแล้วล่ะ..พรุ่งนี้ต้องไปออฟฟิศแต่เช้า แค่นี้นะ..”
“ทำไมต้องไปออฟฟิศด้วย ไหนข่าวบอกว่าธนาคารเจ๊งแล้วไม่ใช่เหรอ...”
“แค่นี้นะ..ง่วงแล้ว..”
เปมิกา รีบตัดบทวางสายทันที และไม่ลืมที่จะดึงสายโทรศัพท์ออกด้วย
.......................................................
เปมิกา มาทำงานแต่เช้า ไม่ใช่หล่อนขยันจนวันสุดท้ายของการทำงานแต่อย่างใด ทว่า..วันนี้หล่อนนัดเพื่อน ๆ ที่ทำงานออกไปสมัครงานที่สำนักงานใหญ่ของธนาคารต่าง ๆ ที่ไม่ได้ถูกปิดเหมือนธนาคารบีบีซี.
เปมิกา เห็นเพื่อนร่วมงานมารวมกลุ่มสนทนากันอยู่ที่ห้องครัวด้านหลังสำนักงาน ทุกคนต่างก็รู้ว่าอีกไม่นานก็จะไม่ได้รวมกลุ่มกันเช่นนี้อีกแล้ว จึงใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่า
“อ่านประกาศรับสมัครงานเห็นรับแต่รุ่นใหม่ไฟแรง วัยเอ๊าะ ๆ ไม่เกิน 25 ทั้งนั้น ทำให้คนวัยหมดไฟไร้ฮอร์โมนอย่างเราอ่านแล้วเศร้าจริง ๆ”
มาลี สาวลูกสองปิดหนังสือพิมพ์ลงวางด้วยสีหน้าเซ็ง ๆ
เปมิกา และสิตา อยู่ในวัย 28 ปี ซึ่งถือว่ายังพอมีไฟแรงอยู่ หล่อนจึงนำทีมพาเพื่อนร่วมงานทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องอายุไม่เกิน 35 กระรัต เกี่ยวก้อยออกเดินสายสมัครงานทันทีที่ได้ฤกษ์เก้าโมงเช้า
ส่วนผู้มีวัยเกิน 35 ก็สมัครใจอยู่เฝ้าสำนักงาน โบกมือยอมแพ้สังขารไม่ไปด้วย โดยให้เหตุผลที่น่าเห็นใจอย่างยิ่งว่าใบวุฒิการศึกษาที่ได้รับมาตั้งแต่ยี่สิบสามสิบปีที่แล้วถูกปลวกแทะรับประทานไปหมดแล้ว
เปมิกา ได้แต่แสดงความเสียใจต่อรุ่นพี่ผู้อาวุโสเหล่านั้น ส่วนพวกที่พร้อมลุยมีใบวุฒิการศึกษาอยู่ในมือ ก็ยกขบวนตระเวนวิ่งรอกกรอกใบสมัครตามธนาคารต่าง ๆ ด้วยหวังว่าจะได้งานใหม่ในเร็ววัน
“ดูมือฉันสิยัยป่าน..กรอกใบสมัครหลายที่จนมือฉันหงิกจนจะเหมือนมือชายน้อยในเรื่องบ้านทรายทองที่เคยเห็นในละครทีวีอยู่แล้ว โชคดีปากไม่เบี้ยวเหมือนชายน้อยไปด้วย”
สิตา หันไปพูดกับเปมิกา ที่ก้มหน้าก้มตากรอกใบสมัคร
“แหม..เธอก็พูดเกินไป แต่ฉันว่าก็สนุกดีเหมือนกันนะ ไปสมัครแต่ละแบ็งก์ก็เจอแต่พวกชุดฟอร์มบีบีซี.ด้วยกันทั้งนั้น”
ธนาคารที่ทั้งคู่มากรอกใบสมัครอยู่นี้เป็นแห่งสุดท้ายแล้วสำหรับวันนี้ ซึ่งแต่ละที่ก็จะมีแต่พนักงานบีบีซี.แห่กันมาสมัครงาน ทั้งมาจากสำนักงานใหญ่และสาขาต่าง ๆ ที่ทยอยกันมาเป็นกลุ่มก้อน ดูแล้วให้รู้สึกคึกคักประดุจเข้าร่วมงานมหกรรมสินค้าราคาถูกก็มิปาน
ข้างฝ่ายเจ้าหน้าที่ ฝ่ายการพนักงานที่รับสมัครก็ทำหน้าที่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส คอยบริการแจกใบสมัครให้กรอกอย่างทั่วถึงชนิดไม่กลัวเปลืองกระดาษเพราะเห็นถ่ายเอกสารหลายรอบ จนเครื่องถ่ายเอกสารแทบไหม้ เพื่อให้เพียงพอต่อชาว บีบีซี. ตกยากทั้งหลาย
“สมัครงานหลายที่ รูปถ่ายที่เตรียมมาก็เลยหมดแล้ว”
เปมิกา บอกกับเจ้าหน้าที่ผู้รับสมัครอย่างกังวลใจ เมื่อไปยื่นใบสมัครแล้วพบว่ารูปถ่ายไม่มี
“ไม่เป็นไรค่ะ ค่อยเอามาให้วันหลังก็ได้”
คนรับสมัครงานบอกเปมิกา อย่างใจดี ซึ่งความจริงแล้วไปสมัครงานที่ไหนถ้าหลักฐานไม่ครบมักจะถูกตัดสิทธิ์ แต่เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้นก็ทำให้เปมิกา สุดแสนจะซาบซึ้งใจในบริการ ถึงแม้ในใจจะอดเข้าไปเดาความคิดของเธอคนนั้นไม่ได้ว่า
“โถ…แม่คุณผู้น่าสงสาร ไม่ต้องลำบากส่งรูปมาหรอก ใบสมัครพร้อมกับหลักฐานทุกแผ่นของพนักงานบีบีซี. ที่มากรอกไว้เราจะทำการรวบรวมขนใส่รถขยะ กทม. ไปทิ้งอยู่แล้ว”
ถึงแม้จะรับรู้อยู่เต็มอก ซึ้งอยู่ในใจว่าโอกาสที่จะได้งานนั้นน้อยเพียงใด แต่ในสภาวะจิตใจที่ตกต่ำย่ำแย่ตามภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ หลายคนก็ไม่คิดจะอยู่นิ่งเฉยปล่อยไปตามเวรตามกรรม เพราะผลจากการออกสมัครงานนั้นช่วยให้จิตใจได้ผ่อนคลายจากความกดดัน
การที่ได้ไปสมัครงานในแต่ละแห่ง เปมิกาจึงรู้สึกว่าเหมือนเป็นการได้ปลดปล่อยความเครียดออกจากใจได้ทีละนิดทีละหน่อย ทำให้มีกำลังใจและเกิดความหวัง แม้ว่าจะเป็นความหวังที่อยู่ท่ามกลางความสิ้นหวัง แต่ก็ยังดีที่ให้โอกาสหวัง
“พี่ป่าน! บริษัทนี้รับนิติศาสตร์ สาขาที่พี่จบมาด้วยล่ะ”
ไกรสิทธิ์ เพื่อนรุ่นน้องแต่หน้าตารุ่นพี่ ตะโกนบอกด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นเปมิกาผลักประตูห้องสินเชื่อเข้ามาทำงานในตอนบ่าย
“ไหนดูสิ..”
เปมิกา รับหนังสือพิมพ์ที่ไกรสิทธิ์นำมายื่นส่งให้ด้วยความตื่นเต้น
“ว้า!..นี่แค่คุณสมบัติข้อแรกอายุไม่เกินยี่สิบห้าปีพี่ก็ไม่ผ่านแล้ว.. ต่อไปจะหางานอะไรมาให้ ช่วยดูตรงอายุก่อนนะไกรสิทธิ์ ถ้าประเภทอายุไม่เกินยี่สิบห้านี่ขอร้องว่าอย่าเอามาบอกให้พี่ต้องแสลงใจเลย เพราะปีนี้พี่กำลังย่างเข้ายี่สิบแปด”
เปมิกา ต่อว่าไกรสิทธิ์ โชคดีที่หล่อนพูดจบไกรสิทธิ์ไม่คิดที่จะม้วนหนังสือพิมพ์ทิ่มปากหล่อนเข้าให้ โทษฐานหวังดีกลายเป็นหวังร้าย
“โธ่พี่… นึกว่าอายุไม่เกินยี่สิบเห็นหน้าเด้กเด็ก” ไกรสิทธิ์ ปากหวานเข้าใส่
