6. รวมพลคนแบ็งก์เจ๊ง
“พูดไม่ติดคุก ไม่ใช่แกนนำแล้วโว้ย..”
เสียงแกนนำ ขึ้นพูดบนเวทีด้วยน้ำเสียงติดตลก ทำให้ได้รับเสียงปรบมือต้อนรับจากบรรดาพนักงานที่มาร่วมชุมนุมอย่างกึกก้อง
วันนี้เป็นการนัดรวมพลชุมนุมครั้งใหญ่ ที่สำนักงานใหญ่ของธนาคารบีบีซี. เปมิกา พร้อมด้วยสิตาและสุรพล เดินทางมาจากสาขาเพื่อมาร่วมชุมนุมครั้งนี้ด้วย
“นายวสันต์นี่พูดจาใช้ได้น่าจับตามอง..”
สุรพล กล่าวชื่นชมแกนนำบนเวทีให้สองสาวฟัง
“น่าจับไปขังคุกมากกว่า พูดแต่ละอย่างเฉียดคุกเฉียดตะรางทั้งนั้น…โดยเฉพาะข้อหาหมิ่นประมาทนี่ถ้านับดี ๆ หลายกระทงด้วยกันเลยนะ”
สิตา วิจารณ์ด้วยความขบขัน
“แต่เขาเอนเตอร์เทนคนดูดี ทำให้บรรยากาศการชุมนุมคลายเครียดไปได้เยอะ”
เปมิกา พูดเสริม สุรพล รีบพยักหน้าเห็นด้วย และคาดว่าคงจะมีคนเห็นด้วยกับเปมิกาอีกหลายคน โดยดูได้จากเสียงไชโยโห่ร้อง เสียงปรบมือ เมื่อวสันต์ทำหน้าที่ขึ้นพูด โดยเฉพาะลีลาการร้องเพลงที่นำเพลงดัง ๆ มาดัดแปลงให้เข้ากับเรื่องราวความเดือดร้อนของพนักงาน ทำให้ได้รับเสียงกรี๊ดเป็นระยะ ๆ
“พี่น้องทั้งหลาย วสันต์ มีข่าวจะแจ้งให้พี่น้องชาวบีบีซี.ทราบ บ่ายนี้เราจะมีการเดินขบวนไปขอคำตอบจากข้อเรียกร้องที่ได้เสนอไป เพราะเราได้ให้โอกาสท่านนายกมาหลายวันแล้ว ท่านก็ยังไม่มีคำตอบออกมาว่าจะช่วยเหลือพนักงานที่ตกงานยังไง สงสัยว่าจะติดภารกิจสำคัญพาลูกชายไปดูงูเหลือมที่สวนสัตว์ เพราะฉะนั้นพวกเราจึงจำเป็นต้องไปขอคำตอบที่บ้านท่านนายก ดังนั้น พี่น้องท่านใดที่ยังไม่ได้ฉี่ก็รีบไปฉี่ซะให้เรียบร้อย ระหว่างรอพวกท่านฉี่กลับมา ก็มาพบกับนักร้องรูปหล่อเสียงดีที่จะมาขับกล่อมให้ท่านมีพลังใจกับการต่อสู้ชีวิต เขาเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...วสันต์ คนนี้เองคร้าบ…”
เสียงเป่าปาก ปรบมือ ดังสนั่นเมื่อวสันต์พูดจบ และต่อด้วยลีลาการเลียนแบบนักร้องดัง
กระทั่งได้ฤกษ์บ่ายสามโมง ก็มีการประกาศรวมพลกัน เพื่อจัดขบวนนำทัพประหนึ่งจะออกไปรบทัพจับศึก โดยเริ่มจากด้านหน้าสุดเป็นขบวนรถมอเตอร์ไซด์ มีคนนั่งซ้อนท้ายถือธงชาติโบกสะบัดไปมาตามท้องถนน ตามด้วยรถสิบล้อที่บรรทุกเครื่องขยายเสียง และคนที่อยู่บนรถโบกธงชาติอีกจำนวนหนึ่ง ส่วนตรงหลังคาด้านหน้าของรถสิบล้อใช้เป็นเวทีให้แกนนำยืนพูด ซึ่งคราวนี้น้ำเสียงแกนนำแต่ละคนดูจะเข้มแข็งดุดันขึ้นมาก
ผู้เข้าร่วมชุมนุมต่างก็เดินตามกันไปเป็นขบวนใหญ่ มีทั้งขบวนเดินเท้าและขบวนรถยนต์ ที่ขับตามกันไปอย่างช้า ๆ ไปตามเส้นทางต่าง ๆ เพื่อมุ่งหน้าไปยังบ้านพักของท่านนายกรัฐมนตรี
ระหว่างทางก็มีทั้งบรรดาช่างภาพสื่อมวลชน และประชาชนทั่วไป ให้ความสนใจมองด้วยความอยากรู้ บางคนก็โบกไม้โบกมือให้กำลังใจ แต่บางคนก็มองด้วยสายตาแปลก ๆ บางคนทำหน้าตกใจ คงนึกว่าพม่าจะเข้ายึดเมืองหลวงก็เป็นได้
“เหมือนยกทัพไปปราบข้าศึกยังไงก็ไม่รู้…”
สิตา หันไปพูดกับ เปมิกา
“ฉันก็นึกว่าตัวเองกำลังเข้าสู่สนามรบ…ยิ่งอีตา วสันต์ชอบร้องเพลงปลุกใจ ก็ยิ่งคล้าย”
ทั้งสองสาวเดินเหงื่อไหลไคลย้อยตามคนอื่น ๆ ไป และเมื่อต้องเดินเข้าซอยเป้าหมาย ก็เกิดความแออัดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เนื่องจากเป็นซอยเล็ก แต่โชคดีที่มีบริเวณลานกว้างอยู่ด้านหน้าถัดมาจากบ้านพักของนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีบรรดาพ่อค้าแม่ขายมาบริการขายอาหารเครื่องดื่มอยู่กันโดยรอบ
“ตั้งแต่นายกคนนี้มาอยู่ในซอย ก็ทำให้พ่อค้าแม่ค้าแถวนี้มีรายได้ เพราะมีบรรดาผู้ชุมนุมกลุ่มต่าง ๆ มาประท้วงกันบ่อย ๆ”
เปมิกา ได้ยินการสนทนาของคนแถวนั้นเข้าโดยบังเอิญ
“ก็นายกคนนี้ชอบพูดแต่ว่ายังไม่ได้รับรายงาน พวกชาวบ้านเขาก็เลยต้องบุกมาที่บ้าน เพื่อรายงานให้ทราบถึงที่ซะเลยแบบนี้แหละ”
เสียงใครคนหนึ่งแสดงความคิดเห็น
แล้วการปักหลักรอคอยนายกรัฐมนตรีก็เริ่มขึ้น โดยตลอดเวลาบรรดาแกนนำก็ผลัดกันขึ้นไปกล่าวสลับกับการร้องรำทำเพลง ทำให้บรรยากาศแถวนั้นดูครึกครื้นขึ้นมาทันที จนกระทั่งถึงเวลามืดค่ำแล้วก็ยังไม่ปรากฏร่างของนายกฯ ทำให้ผู้ชุมนุมนับพันเริ่มอ่อนกำลัง แม้ว่าจะเติมพลังด้วยข้าวเหนียว ไก่ย่าง หรือลูกชิ้นปิ้ง ที่บรรดาพ่อค้าแม่ค้านำมาบริการอย่างพอเพียงแล้วก็ตาม
มันจึงไม่แปลกนักที่ต่อมา เปมิกา เห็นหลายคนหมดความอดทน ชิงพ่ายแพ้แก่สังขารโบกมือลากลับบ้านไปนอนกว่าครึ่ง
เปมิกา ก็ได้ใช้ความอดทนในการยืนขาแข็งอยู่เกือบเที่ยงคืน ระหว่างนั้นหล่อนกับสิตา ก็เดินซื้อของกินอยู่ตลอดเวลา โดยยึดหลักของนักรบอย่างนโปเลียน “กองทัพเดินด้วยท้อง” แต่ลืมหลักต่อมาว่า เมื่อท้องตึงหนังตามักจะหย่อน สุดท้ายก็เลยพ่ายแพ้แก่สังขารไปอีกคน ที่สิ้นความอดทนจนต้องกลับบ้าน
