บทย่อ
ช่วงวิกฤตชีวิตของเปมิกา สาวแบ็งก์ที่ต้องตกงานอย่างกะทันหัน ไม่มีรายได้มาผ่อนคอนโด มิหนำซ้ำยังถูกแฟนทิ้ง ไม่ต่างจากหนุ่มหล่อที่เป็นลูกค้าของธนาคาร ก็ถูกพิษเศรษฐกิจเล่นงาน ถูกครอบครัวของคนรักให้เลิกกัน เมื่อสองหนุ่มสาว ต่างประสบชะตากรรมคล้ายกัน จึงเกิดเรื่องราวขึ้นมากมายที่จะทำให้ทั้งสองได้ร่วมต่อสู้ไปในเส้นทางแห่งความยากลำบากนี้ ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่ต้องร่วมแบ่งปันความทุกข์ ความสุขให้กันและกัน โดยมีหลากชีวิตที่เป็นสีสันในเรื่องราว ติดตามลุ้นชีวิตรักของเขาและเธอ...
1. ไปร่วมประท้วง
ฝนที่โปรยปรายลงมาเพียงเปาะแปะในตอนแรก เริ่มที่จะหนาเม็ดขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ฝูงชนที่มาชุมนุมกันที่หน้ารัฐสภาแตกฮือออกไปคนละทิศคนละทางอย่างไม่คิดที่จะอยู่รวมกลุ่มกันอีกต่อไป
“อย่าเพิ่งกลับบ้านกันนะครับ…พวกเราจะต้องร่วมมือกัน จนกว่าคนของรัฐบาลจะออกมารับข้อเรียกร้อง ขอให้พี่น้องชาวบีบีซี. ทุกคนจงสามัคคีกัน อย่าเพิ่งยอมแพ้ พวกเรายืนรอมาตั้งแต่แดดเปรี้ยง ๆ จนเทวดาท่านเห็นใจส่งน้ำฝนลงมาอวยชัยดับร้อนให้พวกเราในตอนนี้ แล้วพวกเราจะไม่รับคำอวยพรได้อย่างไร จริงไหมพี่น้อง..”
เสียงแหบแห้งที่พยายามตะเบ็งเสียงจนเห็นเส้นเอ็นที่ลำคอปูดโปน เป็นเสียงของแกนนำที่พูดผ่านเครื่องขยายเสียงบนรถหกล้อ เขาถือโอกาสเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสโดยอาศัยฝนที่กำลังตกลงมาว่าเป็นคำอวยพรจากฟากฟ้า ทำให้ผู้รับพรเบื้องล่างต่างก็เปียกปอนตัวสั่นงันงกกันถ้วนหน้า ชุดฟอร์มของสุภาพสตรีที่เป็นผ้าค่อนข้างเบาบางนั้น เมื่อถูกน้ำฝนเข้าไปก็ทำให้ผ้าแนบเนื้อจนบางคนต้องยกมือกอดอกเอาไว้
เปมิกา สวมชุดฟอร์มเต็มยศด้วยการสวมสูทตัวนอกมาด้วย จึงหมดปัญหาเรื่องผ้าแนบเนื้อ และเลือกสวมเป็นกางเกงขายาวแทนกระโปรงมา แต่หล่อนก็ยังยืนกัดฟันรับพรจากฟากฟ้าด้วยความหนาวเหน็บร่วมกับผู้ชุมนุมกว่าห้าร้อยชีวิต
เปมิกา ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะออกมาเดินขบวนเรียกร้องอะไรจากรัฐบาล หล่อนเคยเห็นเพียงในข่าวว่ามีผู้เดือดร้อนจากที่ต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเกษตรกร ที่เดินทางมาชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือ หล่อนได้แต่ดูข่าวประเภทนั้นผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจนัก ต่อเมื่อวันนี้หล่อนต้องมาเป็นฝ่ายเดือดร้อนเสียเอง จึงได้เข้าใจความรู้สึกของคนเหล่านั้น
เปมิกา ทำงานอยู่กับธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ หรือที่คนทั่วไปเรียกกันติดปากว่า บีบีซี. ที่ถูกสั่งปิดในยุคเศรษฐกิจตกต่ำย่ำแย่ที่เรียกว่ายุค ไอ.เอ็ม.เอฟ. ซึ่งรัฐบาลต้องไปกู้หนี้ยืมสินจากต่างประเทศจำนวนมาก และมีสถาบันการเงินประเภทบริษัทเงินทุนหลายแห่งถูกปิดตัวไปก่อนหน้านี้หลายสิบแห่ง แต่ที่เป็นสถาบันการเงินอย่างธนาคาร เพิ่งจะมี บีบีซี. เป็นเจ้าแรก
ดังนั้น เปมิกา พร้อมเพื่อนพนักงานอีกกว่าห้าพันชีวิตจึงถือได้ว่าเป็นกลุ่มบุคคลสุดซวยรุ่นแรกที่ถูกเชือดเซ่นสังเวยต่อภาวะเศรษฐกิจตกต่ำแห่งยุค
คำสั่งปิดธนาคารเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา มีการจัดแถลงข่าวถ่ายทอดสดทางสถานีวิทยุและโทรทัศน์ โดยตั้งหัวข้อเรื่องว่า “มาตรการ 14 สิงหา” แต่ในความรู้สึกของเปมิกาแล้วมันน่าจะเป็น “มาตรการ 14 สิงหา บ้าทั้งแบ็งก์” มากกว่า เนื่องจากทำให้พนักงานทั้งธนาคาร ต้องช็อกจนแทบบ้ากันไปหมด กับข่าวร้ายที่ประกาศออกมาแบบฟ้าผ่าเปรี้ยงไม่ทันตั้งตัวไว้ล่วงหน้า นั่นเอง
สื่อมวลชนที่ขุดคุ้ยเปิดโปงการล่มสลายของบีบีซี. ต่างก็เสนอข่าวออกมาในทำนองเดียวกันว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นในธนาคารจนยากที่จะเยียวยา และต้องมาพบจุดจบในยุคไอ.เอ็ม.เอฟ.นี้เข้าพอดี
“ฝนหยุดตกแล้วครับพี่น้อง!…”
เปมิกา สะดุ้ง เมื่อได้ยินประกาศดังขึ้น หล่อนเพิ่งจะรู้สึกตัวเดี๋ยวนี้เองว่าฝนหยุดตกแล้ว มือที่กอดอกอยู่เริ่มที่จะคลายออก ก่อนจะใช้มือลูบไปตามส่วนแขนทั้งสองข้างเป็นการรีดน้ำที่แทรกซึมอยู่ตามเนื้อผ้าให้ไหลออกไป
ผู้ร่วมชุมนุมที่หลบฝนอยู่ใต้ต้นไม้เริ่มเคลื่อนไหว หลังจากที่ยืนกอดอกก้มหน้านิ่งอยู่นาน ทุกคนมีสภาพไม่ได้แตกต่างกัน ทั้งเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มน้ำ ผมเผ้าที่ลีบแบนไร้ทรง
“พี่น้องครับ..ทางแกนนำเราได้ปรึกษากันแล้วว่า เพื่อไม่เป็นการทรมานสุภาพสตรีจนเกินไป จึงขอให้คุณผู้หญิงกลับบ้านได้ เราขอแรงเฉพาะผู้ชายที่แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวอยู่เป็นเพื่อนกันก่อน จนกว่าจะได้ข้อสรุปนะครับ…”
สิ้นเสียงประกาศ ก็ได้รับการปรบมือจากสุภาพสตรีที่ระริกระรี้ขึ้นมาทันตา ไม่เว้นแม้แต่เปมิกาที่หันมาสบตากับสิตาเพื่อนร่วมงานด้วยความดีใจที่จะได้รีบกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัว
“เฮ้ย!..ไอ้ป่าน ไอ้ตา อยู่กันตรงนี้เองตามหาแทบแย่…”
สุรพล เดินเข้ามาทักสองสาวเสียงดัง เขาเป็นหัวหน้าแผนกสินเชื่อของเปมิกานั่นเอง
“อุ๊ย! พี่พล…ทำไมผมเผ้า เสื้อผ้าไม่เปียกเลย หลบฝนแถวไหนเหรอพี่..” สิตาสงสัย
“ก็คลานไปอยู่ใต้ท้องรถหกล้อน่ะสิ…”
สองสาวหัวเราะด้วยความขบขัน เปมิกา นึกภาพหัวหน้าคลานกระดึ้บ ๆ เข้าไปใต้ท้องรถ
“ยังนึกขอบคุณความฉลาดของตัวเองเลย ถ้าเปียกเหมือนพวกเธอสองคน พี่คงต้องยืนแฉะต่อไปอีกทั้งคืน แล้วนี่ได้ยินประกาศแล้วใช่ไหมเขาให้พวกผู้หญิงกลับบ้านได้”
สุรพล ถามสองสาวด้วยความใส่ใจ
“รู้แล้วค่ะ..เราสองคนก็กำลังจะกลับกันแล้วล่ะ..” เปมิกาบอก
“งั้นก็รีบไปเถอะเดี๋ยวค่ำมืดกว่านี้จะลำบาก..พี่ขอเป็นตัวแทนสาขาของเราอยู่ร่วมชุมนุมเอง”
“ป่าน…จะกลับยังไง..”
สิตา หันมาถามเปมิกา ด้วยความเป็นห่วง
“สภาพแบบนี้ขืนขึ้นรถเมล์คนคงมองฉันกันทั้งคันรถ ..ไปแท็กซี่ดีกว่า”
“อีตาริน หายหัวไปไหนล่ะ..ไม่มารับเหรอ..”
สิตา เอ่ยถึงบุรินทร์ซึ่งเป็นคนรักของเปมิกาด้วยความรู้สึกหมั่นไส้
“รินเขางานยุ่ง..…” เปมิกาพูดเสียงอ้อมแอ้ม
“เป็นแฟนประสาอะไร้ไม่เคยดูดำดูดีเธอสักนิด อ้างงานยุ่งทั้งปี ที่แท้คงกลัวเปลืองน้ำมันรถ”
สิตา พูดประชดไปถึงบุรินทร์ด้วยน้ำเสียงเจือด้วยความเยาะหยัน
“เอาน่าตา…เดี๋ยวฉันจะไปเรียกแท็กซี่แล้ว..แยกกันตรงนี้นะ” เปมิการีบตัดบท ไม่ให้อีกฝ่ายได้พูดต่ออีก
“ป่าน..เดี๋ยวสิ..ฉันกลับไปเอารถที่แบ็งก์แล้วจะไปส่งเธอที่คอนโดเอง” สิตารีบท้วงไว้
“ไม่ล่ะ…ขี้เกียจย้อนไปย้อนมา…”
เปมิกา รีบเดินออกไป หล่อนรู้ดีว่าสิตาไม่ชอบคนรักของหล่อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งถ้าบุรินทร์กับสิตา มีอันต้องเผชิญหน้ากัน สิตาก็จะหาเรื่องแขวะประชดประชันบุรินทร์ทันที
ในขณะที่บุรินทร์ ก็ใช่ย่อย มีคำพูดเหน็บแนมให้สิตาเจ็บใจไม่แพ้กัน ทำให้คนกลางอย่างเปมิกา ได้แต่มองตาปริบ ๆ ด้วยคนหนึ่งก็เป็นเพื่อนซี้ อีกคนหนึ่งก็เป็นคนรัก ไม่รู้จะเข้าข้างใครดี หล่อนจึงได้แต่ปล่อยให้ทั้งคู่เป็นขมิ้นกับปูนกันอยู่อย่างนั้นมาเกือบจะสามปี เท่า ๆ กับที่เปมิกา คบหากับบุรินทร์
“พี่ป่าน!..ทำไมเหมือนลูกหมาตกน้ำเลยพี่..”
ปัญญา อดขำไม่ได้ เมื่อโผล่หน้ามาเปิดประตูห้องให้เปมิกา ผู้เป็นพี่สาว
“มันดูแย่มากใช่ไหม…”
เปมิกา ถามน้องชายหน้าละห้อยน้ำเสียงเซ็ง ๆ
“เหมือนถูกใครไล่ปล้ำมามากกว่า..”
ปัญญา พูดกลั้วหัวเราะก่อนจะปิดประตูห้องและกลับไปนั่งดูโทรทัศน์ต่อ ปล่อยให้พี่สาวเดินเข้าไปที่ห้องส่วนตัวของหล่อนซึ่งอยู่ติดกับห้องของเขา
ห้องที่เปมิกา อยู่กับปัญญา เป็นห้องชุดที่มีห้องนอน 2 ห้อง ห้องน้ำ 1 ห้อง พร้อมห้องโถงที่ไม่กว้างนัก สำหรับทำเป็นมุมรับแขกและกั้นส่วนทำครัวเล็ก ๆ และยังมีระเบียงขนาดเล็กยื่นออกไป ซึ่งเปมิกาใช้สำหรับปลูกต้นไม้กระถางไว้จนเต็ม
เปมิกา ซื้อห้องชุดนี้ต่อจากเจ้าของห้องคนเก่าเมื่อสามปีที่แล้ว แม้หล่อนจะรู้ประวัติว่ามีการฆาตกรรมกันเกิดขึ้น แต่เปมิกา ก็สามารถข่มความกลัวเอาไว้ได้เมื่อเจ้าของห้องพร้อมที่จะขายให้ในราคาถูกกว่าปกติ หล่อนจึงยอมเป็นหนี้ก้อนโตด้วยการกู้เงินธนาคารมาซื้อห้องนี้เอาไว้ และคาดหวังว่าภายในยี่สิบปีข้างหน้าหล่อนจะต้องผ่อนหนี้หมด
แต่เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้น ที่ทำงานของเปมิกา ถูกสั่งปิด หล่อนจะต้องตกงาน ในขณะที่ยังผ่อนห้องชุดไปได้ไม่ถึงครึ่ง และยังมีภาระต้องส่งเสียปัญญาเรียนอีกด้วย น้องชายของหล่อนกำลังเรียนอยู่ปีสุดท้ายใกล้จะจบปริญญาตรีเสียด้วย หล่อนจึงวิตกกังวลกับเรื่องนี้ไม่ใช่น้อย

