4. ปรึกษา
“สั่งอาหารเลยครับคุณป่าน คุณตา…”
ธีรยุทธ ยื่นเมนูให้เปมิกา ขณะนี้พวกเขากำลังอยู่ในห้องวีไอพี ของภัตตาคารแห่งหนึ่ง
“เต็มที่เลยนะยัยป่าน ..นาน ๆ จะมีคนหลงมาเลี้ยงพวกเราทั้งกลุ่มแบบนี้”
สุรพล หันไปพูดสัพยอก เปมิกาและสิตา
“ว่าแต่พี่พลเถอะ ยังไงก็อย่าเมาจนให้พวกเราหามไปส่งบ้านเหมือนทุกทีก็แล้วกัน” สิตาแซว
“ไม่กล้ารับปากว่ะ..”
สุรพล พูดเสียงอ่อย ๆ พลอยทำให้สองหนุ่มหัวเราะไปด้วย
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าเกิดพี่พลขับรถไม่ได้ผมจะอาสาขับไปส่งให้เอง เพราะวันนี้ไม่ได้เอารถมา ผมอาศัยรถนายธีมมาครับ…” ศรชัยรับอาสาอย่างเต็มใจ
“งั้นวันนี้พี่ก็เต็มที่ได้น่ะสิ….” สุรพล กล่าวอย่างอารมณ์ดี
“เต็มที่เลยร้านไม่ปิดไม่เลิก…ว่าแต่คุณป่านกับคุณตา จะอยู่ได้นานหรือเปล่าครับ”
ธีรยุทธ หันไปถามทั้งสองสาวในเชิงเริ่มต้นสนทนาเสียมากกว่า
“โอ้ย..สองคนนี่ไม่มีปัญหาหรอกครับ ไอ้ป่าน เอ๊ย..ยัยป่าน เป็นตัวชงเหล้าชั้นเซียนต้องหนีบให้อยู่นาน ๆ.”
สุรพลพูดเสียงดัง เปมิกาเสียอีกที่หน้าแดงเพราะรู้สึกอายธีรยุทธ ก็หัวหน้าของหล่อนนำเสนอลูกน้องเสียราคาตกตั้งแต่ยกแรกแบบนี้ ไม่รู้ว่าธีรยุทธจะคิดว่าหล่อนเป็นคนอย่างไร อาจจะคิดว่าหล่อนเป็นยัยเมรีขี้เมาเสียก็ได้
“อ้าว..คอเดียวกันก็ไม่บอก…คุณป่านชอบดื่มเหล้าหรือเบียร์ครับ”
ศรชัย ดูกระตือรือร้นขึ้นมาทีเดียว เหมือนกับว่าได้พบคนรสนิยมเดียวกัน
“ดื่มเป็นเสียที่ไหนล่ะคุณชัย…เป็นได้แต่ชงเหล้าเก่ง แต่ยัยป่านกับยัยตาไปที่ไหนกับแกล้มจะวายวอดที่นั่น แล้วก็น้ำเปล่าอีกอย่างพอเช็คบิล ขวดเปล่าน้ำดื่มพอ ๆ กับจำนวนขวดเบียร์ของพวกเรา”
ทั้งสองหนุ่มมองหน้าสองสาวแล้วก็หัวเราะขบขัน
เปมิกา กับสิตาจึงหันไปสั่งอาหารและเลือกกดเพลงร้อง
เปมิการ้องเพลงไทยสากลที่กำลังเป็นที่นิยม หล่อนได้รับเสียงปรบมือจากหนุ่ม ๆ พอเป็นพิธี
ธีรยุทธ กับ ศรชัย หันมาเปิดฉากคุยกับสุรพลด้วยการเกริ่นถึงสภาพเศรษฐกิจ ก่อนจะวกมาถึงเรื่องธุรกิจของเขาที่กำลังเป็นอยู่
“แบ็งก์พี่ไม่ยอมเพิ่มวงเงินสินเชื่อให้ผม ทำให้บริษัทผมขยายงานเพิ่มไม่ได้เลย โครงการต่าง ๆ ที่กำลังทำอยู่ก็พลอยหยุดชะงักกันไปหมด ถูกฟ้องร้องระเนระนาด”
ธีรยุทธบอกสุรพลด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
“ช่วงหลังรู้สึกบริษัทคุณธีมมีปัญหา บัญชีติดลบตัวแดงบ่อยด้วย ก็เลยขอวงเงินเพิ่มยาก” สุรพล บอกตามตรง
“จะไม่ให้มีปัญหาได้ไงครับ ก็ลูกค้าที่จ่ายเช็คมาเด้งกันเป็นทิวแถว บางที่ก็ถือโอกาสจะไม่จ่ายโดยหาข้อผิดพลาดว่าทางบริษัทไม่ทำตามสัญญา ต้องมีการฟ้องร้องกันอีก เฮ้อ..”
ธีรยุทธ มีท่าทีหนักใจกับปัญหานี้มาก
“พอจะได้เงินชัวร์ ๆ จากลูกค้าที่เป็นหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ ก็ดันมาติดปัญหาเรื่องเงินทุนหมุนเวียน นี่ถ้าแบ็งก์พี่ไม่มองบัญชีที่ติดลบแต่เพิ่มสินเชื่อให้ บริษัทก็ยังพอมีศักยภาพไปได้ แต่ผมคงไม่พูดถึงอดีตอีกแล้วล่ะ เพราะยังไงแบ็งก์พี่ก็มาถูกสั่งปิดไปซะแล้ว แต่ผมอยากให้พี่ช่วยในเรื่องต่อไป..พี่พอมีลู่ทางที่จะให้บริษัทผมย้ายไปสถาบันการเงินอื่นได้หรือเปล่าครับ…”
ธีรยุทธ พูดเข้าประเด็นทันที ทำให้สุรพลเริ่มเข้าใจถึงการที่ธีรยุทธมาเลี้ยงอาหารในครั้งนี้
“ทางเราได้รับคำสั่งจากสำนักงานใหญ่ให้โอนเฉพาะลูกหนี้ชั้นดีเท่านั้นไปที่แบ็งก์ใหม่…”
สุรพล บอกความจริงให้ทั้งสองรับทราบ
“พี่พลช่วยพวกผมไม่ได้หรือครับพี่…ขอให้บริษัทได้โอนไปแบ็งก์ใหม่..พอจะทำได้ไหมครับ”
ธีรยุทธ ยังมีความหวัง คงไม่เฉพาะบริษัทของเขาเท่านั้นที่อยากจะถูกย้ายไปยังสถาบันการเงินอื่น ๆ เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างราบรื่นเท่านั้น ทว่ายังมีโอกาสในการขอสินเชื่อเพิ่มได้อีกด้วย
สุรพล ถอนหายใจแทนคำตอบ เขาส่ายหัวไปมาช้า ๆ แววตาแสดงความเห็นใจลูกค้าคนสนิท
“ผมพูดตรง ๆ เลยนะพี่พล…พี่พอจะสร้างหลักฐานให้บริษัทสามารถโอนไปได้หรือเปล่า…”
ศรชัย ถามอย่างไม่อ้อมค้อม เมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมธุรกิจของเขาทำท่าอ้ำอึ้งไม่กล้าพูด
“ยากมากครับ…อาทิตย์หน้าก็จะมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานใหญ่มาตรวจเช็คเอกสาร พร้อมกับเจ้าหน้าที่ของแบ็งก์ที่รับโอนลูกค้าก็จะมาตรวจอย่างละเอียด อีกอย่างเอกสารทุกอย่างปริ้นออกมาจากคอมพิวเตอร์ที่บันทึกข้อมูลไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่มีทางเลยครับ..ที่สำคัญผมก็อยากจะออกจากแบ็งก์อย่างสง่างาม ไม่อยากให้มีมลทินในหน้าที่ …”
ทั้งธีรยุทธและศรชัยต่างมองหน้ากันด้วยความหนักใจ
“ยอมรับความจริงดีที่สุดครับ…เหมือนกับที่ผมยอมรับว่าแบ็งก์ถูกปิด พนักงานถูกปลด สถานะของพวกเรากับพวกคุณก็คงไม่แตกต่างกันหรอกครับ..”
สุรพล พูดปลอบใจสองนักธุรกิจหนุ่ม
“สรุปแล้วบริษัทผมมีสถานะที่ไม่เข้าข่ายถูกย้ายไปอยู่แบ็งก์ใหม่”
ธีรยุทธ ถามซ้ำทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว สุรพลพยักหน้าแทนคำตอบ
“แล้วนี่ทางบีบีซี. จะทำยังไงกับบริษัทผมต่อล่ะครับ.”
ธีรยุทธ ถามด้วยความสิ้นหวัง
“ทราบมาว่า ลูกหนี้ที่ไม่ได้โอนไปที่อื่นจะต้องไปอยู่กับบริษัทที่จะเปิดใหม่เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นเพื่อตามหนี้อย่างเดียว ไม่มีการปล่อยสินเชื่อ” สุรพลตอบ
“ตาย..ตายลูกเดียว…ทำไงดีวะธีม.”
ศรชัย หันมาถามเพื่อนร่วมหุ้นธุรกิจ
“จะทำอะไรได้ดีไปกว่าทำใจล่ะวะ…” ธีรยุทธ ตอบอย่างคนเซ็งชีวิต
“เอาน่า..คุณธีม..คุณชัย มันต้องมีทางออกเชื่อพี่..ตัวพี่เองยังไม่อยากจะคิดมากเลย”
สุรพล ปลอบใจทั้งสองหนุ่มรวมทั้งตัวเขาเองด้วย
“ออ..ผมก็เกือบลืมถามพี่ไป ดูสิมัวแต่จะพูดเรื่องของตัวเอง พี่พลก็ต้องถึงคราวลำบากเหมือนกัน คิดหรือยังครับว่าจะทำอย่างไงต่อไป..คุณป่าน คุณตา ด้วยครับ”
ธีรยุทธ หันไปถามสองสาวด้วย เมื่อเห็นว่าทั้งคู่หยุดร้องเพลงคาราโอเกะชั่วคราว
“พี่ก็คงจะอยู่เกาะสักพักหนึ่งครับ..” สุรพลพูดหน้าเศร้า
“เกาะแถวไหนหรือพี่ ผมไปด้วยคน” ศรชัย ถามด้วยความอยากรู้
“คุณไปไม่ได้หรอกเพราะยังไม่มีเมีย…” สุรพล บอกยิ้ม ๆ
“ไปอยู่เกาะนี่ต้องมีเมียด้วยหรือพี่”
ศรชัยยังไม่เข้าใจ แต่คนอื่น ๆ เริ่มมีรอยยิ้มกันแล้ว
“เกาะเมียกินน่ะสิครับ”
สุรพลเฉลย ศรชัยหัวเราะเสียงดัง
“เออ…ความคิดพี่พลเข้าท่าแฮะ…ธีม..ฉันว่านายรีบขอคุณแมวแต่งงานเถอะว่ะ จะได้เกาะเมียกินไง อย่างน้อยว่าที่แม่ยายของนายก็ออกเงินกู้ นายก็ยืมมาหมุนที่บริษัทก่อน”
ศรชัย ถือโอกาสผสมโรงหันไปเสนอแผนเกาะผู้หญิงให้กับเพื่อน
“พูดเป็นนิยายไปได้..บริษัทยิ่งแย่ ๆ อยู่ จะเอาเงินที่ไหนไปเป็นค่าสินสอดวะ” ธีรยุทธพูดล้อเล่น
“อ้าว..คุณธีมกับคุณแมวมีแผนจะแต่งงานกันหรือครับ…”
สุรพล ถามขึ้นอย่างสนใจ ไม่คิดว่านภาพรที่มาติดต่องานกับ เปมิกาบ่อย ๆ นั้นเป็นคนรักของธีรยุทธ แต่เขาก็เห็นว่าเลขากับนายคู่นี้เหมาะสมกันไม่น้อย ผู้ชายก็หล่อผู้หญิงก็สวยเปรี้ยวดี
“คู่นี้เก่าเก็บแล้วล่ะพี่…จีบกันมาตั้งแต่เรียนมหาลัยปีหนึ่งโน่น …” ศรชัยเล่าเพียงคร่าว ๆ
เปมิกา จึงได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของธีรยุทธกับ นภาพร ซึ่งภาพของนภาพรในความรู้สึกของเปมิกานั้น เป็นสาวสวยปราดเปรียวแต่งตัวเก่งแต่งหน้าเข้ม ก็น่าจะเหมาะสมกับผู้ชายที่ดูเก๋ทันสมัยอย่างธีรยุทธอยู่หรอก เปมิกา นึกในใจ
“คุณป่าน คุณตา เลือกเพลงสิครับ..ต่อไปนี้ผมจะไม่พูดเรื่องงานแล้วมันปวดหัว ขอร้องเพลงแล้วก็ฟังเพลงจากสาว ๆ ดีกว่า…”
ศรชัยเป็นคนพูด ทั้งสองสาวช่วยกันเลือกเพลงอีกครั้ง คราวนี้ทั้งศรชัยและธีรยุทธก็หันมาจับไมค์ร้องเพลงบ้าง มีเพียงสุรพลที่ไม่สนใจจะร้องเพลงแต่อาศัยฟังเพลงแกล้มเหล้าที่เขาดื่มมากกว่าสองหนุ่ม
