22. หาทางช่วย
เปมิกา รออยู่เพียงครู่เดียวบุรินทร์ก็มาพูด
“ป่านเหรอ…นึกว่าจะไม่โทรมาง้อเสียแล้ว…”
“ทำไมรินไม่เป็นฝ่ายโทรหาป่านล่ะ.. ต้องให้ป่านโทรหาก่อนทุกทีเลยเชียว”
“ก็ป่านอยากจะเห็นยัยตานั่นสำคัญกว่าผมทำไมล่ะ” บุรินทร์ ทำเสียงเง้างอด
“ไม่พูดถึงคนอื่นแล้วนะคะริน…ที่โทรมาหาก็เพราะป่านมีเรื่องอยากจะปรึกษา.”
“ทำไมไม่ปรึกษายัยเพื่อนรักปากปีจอของป่านล่ะ..คงให้คำปรึกษาได้ดีกว่าผม”
น้ำเสียงของบุรินทร์ คล้ายยังโกรธเปมิกา อยู่ที่หล่อนให้ความสำคัญเพื่อนมากกว่าเขา
“โธ่ริน..ยังไม่หายงอนป่านอีกเหรอคะ..อุตส่าห์โทรมาง้อแล้วนะ..”
“เออ..ป่าน..ตอนนี้ผมไม่สะดวกคุยนะพอดีงานผมยุ่งน่ะ เอาไว้อาทิตย์หน้าจะรับไปทานข้าวด้วยกันนะ แค่นี้นะป่าน..”
น้ำเสียงตอนท้ายของบุรินทร์ดูร้อนรนชอบกล แต่เปมิกา ก็เข้าใจว่าเขาคงจะรีบออกไปทำงาน
“พี่ป่าน...ปอไปก่อนนะ..”
ปัญญา เดินออกมาจากห้องของเขา ในชุดเสื้อกางเกงยีนส์ทั้งชุด
“อ้าว...จะไปเที่ยวหรือไงถึงได้แต่งชุดยีนส์ทั้งชุดแบบนี้” เปมิการู้สึกแปลกใจ
“ปอรู้ว่าพี่ป่านเครียดที่หางานทำไม่ได้ แล้วพี่ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายทุกวัน ปอก็เลยต้องออกหางานพิเศษทำเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระให้พี่ป่านไงครับ..”
“ปอ…”
เปมิกา รู้สึกซาบซึ้งใจที่น้องชายของหล่อนคิดเป็น
“ไม่ต้องร้องไห้ซึ้งใจกับน้องชายก็ได้พี่ป่าน…” ปัญญา แซวพี่สาว
“ก็นายรู้จักคิดอะไรดี ๆ แบบนี้ก็ต้องซึ้งกันหน่อยล่ะ..แล้วนี่กำลังจะออกไปหางานทำใช่ไหม แต่เอ๊ะ..ใส่ชุดแบบนี้มันจะเหมาะเหรอปอ”
“ไม่ได้ออกไปหางานทำครับ..แต่ออกไปทำงาน…ปอได้งานแล้วเขาให้เริ่มงานวันนี้…”
ปัญญา ทำท่ายืดอกอย่างภาคภูมิใจ
“จริงเหรอ…แต่อีกไม่กี่เดือนปอก็จะเรียนจบแล้วนะ”เปมิกา รู้สึกตื่นเต้นแกมกังวลไปด้วย
“ไม่ต้องห่วงครับ…งานนี้ไม่กระทบการเรียนหรอกครับ เพราะทำเป็นจ๊อบ ๆ เสร็จเมื่อไหร่ก็รับงานชิ้นใหม่ต่อ…ต้องทำกันเป็นทีมครับ…”
เปมิกา ไม่ทันที่จะอ้าปากถามว่าเป็นงานอะไร ปัญญาก็บอกว่าต้องรีบไปแล้ว หล่อนรู้สึกสบายใจที่น้องชายรู้จักรับผิดชอบช่วยเหลือตัวเองได้บ้างแล้ว
..........................................
นภาพร โทรศัพท์หาธีรยุทธ หล่อนบอกเขาว่าจะต้องพาครอบครัวของสมรไปเที่ยวที่เชียงใหม่ ซึ่งครั้งนี้นภาพร ไม่ได้รบเร้าให้ธีรยุทธ ร่วมเดินทางไปด้วยทั้งที่หล่อนรู้ว่ามารดาของธีรยุทธออกจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นที่บ้านแล้ว
“เอาไว้แมวกลับจากเชียงใหม่ จะมาหาธีมที่บ้านพร้อมข่าวดีของเรานะคะ…”
“ข่าวดีของเราเหรอ…ข่าวอะไรบอกธีมก่อนได้ไหม..” ธีรยุทธ อยากรู้
“บอกตอนนี้ก็ไม่เซอร์ไพรส์ ซิคะ..รอแมวกลับมาก่อนนะคะธีม..”
“ก็ได้ครับ…แล้วแมวจะไปกี่วัน”
“คงหกเจ็ดวันค่ะ..แต่ถ้าพี่หมอนเกิดติดใจอยากอยู่ต่อก็อาจจะมากกว่านั้นแต่ไม่น่าจะเกินหนึ่งเดือนนะคะ แล้วแมวจะโทรหาธีม อีกทีนะคะ…”
“เดินทางดี ๆ นะ รักษาตัวให้ดีด้วย ธีมเป็นห่วง…”
นภาพร เงียบไป เมื่อได้ยินประโยคนี้ของเขา
“แมว…ทำไมเงียบไป..ฟังธีม อยู่หรือเปล่า คิดถึงนะ..”
“ค่ะ..แมวก็…ก็คิดถึงธีมเหมือนกัน..”
ธีรยุทธ วางสายไปแล้ว แต่นภาพร ยังถือโทรศัพท์ค้างอยู่อย่างนั้นด้วยความเลื่อนลอย กระทั่งปรางทองทักขึ้น
“ไปเก็บเสื้อผ้าได้แล้วยัยแมว…พ่อมาร์ค เขามารอนานแล้วเดี๋ยวไปขึ้นเครื่องไม่ทันหรอก”
นภาพร สะดุ้ง หล่อนจึงรีบขึ้นไปที่ห้องทันที
การที่หล่อน ยอมรับปากมารดากับพี่สาวว่าจะยอมแต่งงานกับมาร์ค ก็เพื่อเป็นการลดแรงกดดันของมารดากับพี่สาวที่เร่งรัดหล่อนกับมาร์ค
หล่อนจึงต้องวางแผนบอกปรางทอง ไปว่า จะขอเดินทางไปเที่ยวเชียงใหม่กับมาร์ค เพื่อสร้างความสนิทสนมให้มากขึ้นก่อนที่จะแต่งงานกัน
ทว่า..ความจริง หล่อนมีข้อตกลงกับมาร์ค ไว้แล้ว โดยหล่อนยินดีที่จะอยู่กับมาร์คตลอดเวลาในช่วงที่ไปเที่ยวด้วยกัน แต่มาร์ค จะต้องให้ความช่วยเหลือคนรักของหล่อนตามที่หล่อนเรียกร้อง
................................
นวลพรรณ ทราบเรื่องบริษัทของลูกชายประสบปัญหาแล้ว และนางยอมรับการตัดสินใจของธีรยุทธ ที่ตัดใจขายรถบีเอ็มดับบลิวที่เขาเพิ่งซื้อมาได้ไม่นานนั้นไป เพื่อนำเงินไปจ่ายค่าจ้างพนักงาน
“ต่อไปนี้แม่ก็จะย้ายที่รักษาตัวจากโรงบาลเอกชนไปที่โรงบาลรัฐบาล…จะได้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายอีกทางหนึ่ง แม่พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง ต่อไปนี้ค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวแม่จะจ่ายเอง รวมทั้งค่าจ้างของสมจิตรด้วย ส่วนธีมก็รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนอื่น ๆ ไป”
นวลพรรณ จัดแจงให้ลูกชายเสร็จสรรพ
ธีรยุทธ รู้สึกสบายใจมากขึ้นที่มารดายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาได้ โดยที่อาการป่วยไม่ได้ทรุดหนักลงไปอย่างที่เขากังวลแต่แรก อีกทั้งยังสามารถแก้ไขปัญหาบางส่วนให้เขาอีกด้วย
“ถ้าคุณธีมไม่บอกคุณแม่..ป่านนี้ปัญหาทุกอย่างก็จะยิ่งแย่ สุมหนักให้ต้องกลุ้มกว่านี้นะคะ..”
สมจิตรบอกแก่ธีรยุทธ ซึ่งเขาก็เห็นด้วย แต่สิ่งที่เขาคัดค้านมารดามีเพียงเรื่องเดียว คือ มารดาแนะนำให้เขาขายบ้านหลังนี้แล้วไปซื้อทาวเฮ้าส์หลังเล็ก ๆ อยู่ ที่เขาต้องคัดค้านเพราะรู้ว่าบิดามารดาเคยต่อสู้กันมาด้วยความยากลำบากกว่าจะได้บ้านหลังงามในเนื้อที่ 200 ตารางวาหลังนี้ ซึ่งบิดาเป็นคนคิดออกแบบก่อสร้างเอง ควบคุมงานด้วยตัวเอง มันจึงเป็นบ้านแห่งความรักความผูกพัน ถ้าเขาขายไปคงจะรู้สึกเศร้าใจมากกว่าขายรถอีกหลายเท่านัก
“เงินทองเป็นของนอกกายนะธีม…วันนี้เราล้มเราต้องแก้ปัญหาให้รอดก่อน อะไรที่ขายได้แล้วทำให้ชีวิตเราอยู่ต่อไปได้ ก็ต้องทำ..เราต้องจมให้ลงนะลูกอย่ายึดติดอยู่กับอะไร”
นวลพรรณบอกให้เขาตัดสินใจเรื่องที่จะขายบ้านเพื่อนำไปชำระหนี้สินและเริ่มต้นในการทำธุรกิจใหม่
“ขายบ้านได้เงินก้อนมา เราก็หาที่อยู่ใหม่ อาจจะซื้อตึกแถวทำมาค้าขายก็ได้”
นวลพรรณ พูดต่อเมื่อเห็นว่าลูกชายกำลังฟังอยู่ โดยไม่ได้คัดค้าน
“ใช่ค่ะคุณธีม..ป้าพอมีฝีมือทำอาหารอยู่บ้างเราเปิดขายข้าวแกงก็ได้นะคะ..” สมจิตรเสนอ
“เอาเถอะครับ..เราอย่าเพิ่งพูดเรื่องขายบ้านกันตอนนี้เลยผมขอจัดการเรื่องที่จะขายรถก่อนก็แล้วกัน”
เขาสรุป ทำให้นวลพรรณพยักหน้ายอมรับการตัดสินใจของลูกชาย
