11. ลาแล้วชีวิตสาวแบ็งก์
เปมิกา เดินลงมาที่ข้างล่าง เห็นบรรยากาศแห่งความเงียบเหงาไม่ต่างจากข้างบน หล่อนเห็นสีหน้าของสิตาแล้วก็คาดเดาได้ว่าสิตาก็ไม่ได้รับการคัดเลือกให้ทำงานต่อเช่นเดียวกับหล่อน
“ใครเป็นคนที่โชคดี…” เปมิกากระซิบถามสิตา
“พี่แดง กับยัยหนูนา…”
เปมิกา พยักหน้ารับรู้เพื่อจะได้ไปแสดงความยินดีกับผู้ช่วยสมุห์บัญชีสาวใหญ่กับหนูนาซึ่งเป็นพนักงานบัญชี
“น่าจะให้พี่มาลีได้นะ เพราะสามีแกก็ตกงาน” สิตา ออกความเห็น
“สามีพี่มาลีคงจะได้รับเลือกแล้วล่ะมั้ง …”เปมิกา สันนิษฐาน
“พรุ่งนี้ก็ไม่ได้มาทำงานแล้วคงเหงาน่าดู คิดแล้วก็ใจหายนะ เคยอยู่มาตั้งนาน”
สิตา มองไปรอบห้องด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
เปมิกา ก็ใจหายไม่แพ้กัน หล่อนมองเพื่อนร่วมงานที่ไม่ได้รับเลือก และกำลังเก็บข้าวของจากลิ้นชักออกมาวางกระจัดกระจายบนโต๊ะด้วยสีหน้าเศร้าหมอง น้ำตาคลอเบ้า
“สัญญากับฉันได้ไหมป่านว่าเราจะติดต่อกันตลอดไปไม่ทิ้งกัน…” สิตาจับมือเปมิกาแน่น
“แน่นอนเราจะต้องส่งข่าวหากันตลอด..ชีวิตในเมืองของฉันมีเธอเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวเท่านั้นนะยัยตา..”
เปมิกา พูดจบสิตาก็เดินมากอดหล่อนไว้เนิ่นนาน ก่อนจะผละจากกันไปร่ำลาเพื่อนพนักงานคนอื่น ๆ ซึ่งต่างก็โผเข้ากอดกันน้ำหูน้ำตาไหลกันทุกคน
เสียงร้องไห้ดังระงมลั่นสาขา แม้เปมิกาจะก้าวออกมาพ้นชายคาแห่งนั้นแล้ว ทว่าภาพและเสียงเหล่านั้นยังติดตามมาจนถึงที่พัก
.......................................
คืนแรกของการกลายเป็นคนตกงานเต็มตัว เปมิกา นอนไม่หลับทั้งคืน ได้แต่นอนคิดฟุ้งซ่านวิตกกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง หล่อนนึกหวาดกลัวไปสารพัด กลัวไม่มีเงินผ่อนค่าห้อง กลัวห้องชุดจะถูกธนาคารยึด ห่วงน้องชายจะไม่ได้เรียนต่อ กลัวเงินชดเชยที่ได้รับมาจะหมดก่อนที่จะหางานทำได้
พอคิดมาก ก็เริ่มกลายเป็นความเครียด พอเครียดมากหล่อนก็เหนื่อยไปเอง จนผล็อยหลับในตอนใกล้สว่าง แต่พอได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกตอนหกโมงเช้า หล่อนก็รีบลุกอาบน้ำแต่งตัวใส่ชุดฟอร์มพนักงานบีบีซี. ไปรอขึ้นรถเมล์ที่ป้ายทันที
“ลงไหนคะ…”
พนักงานเก็บเงินของรถเมล์ปรับอากาศส่งเสียงถาม
“ลง….” เปมิกา เพิ่งคิดได้ตอนนี้เองว่า
“แบ็งก์เราเจ๊งแล้วนี่หว่า เราไม่ได้ถูกเลือกให้ทำงานต่อแล้ว สาขาที่ทำงานไม่มีแล้ว”
เปมิกา ยิ้มแหย ๆ ก่อนจะบอกไปว่าขึ้นรถผิดสาย ขอลงป้ายหน้า
.........................
“พี่ป่าน…ออกไปไหนแต่เช้า…”
ปัญญา ทักพี่สาวที่หน้าประตูลิฟท์ เขากลับมาจากต่างจังหวัดพอดี มีกระเป๋าข้าวของติดตัวมาด้วย
“บอกแล้วอย่าหัวเราะพี่นะ…”
เปมิกา ทำหน้าเศร้า แต่ปัญญาเริ่มขำไปก่อนแล้ว
“ใส่ชุดฟอร์มแบบนี้…แสดงว่าคงจะไปทำงานอย่างลืมตัวนึกว่าแบ็งก์ยังไม่เจ๊ง.ใช่ไหมพี่..”
เปมิกา พยักหน้าแทนคำตอบ ปัญญารู้สึกสงสารและเป็นห่วงพี่สาวรวมทั้งคำสิงห์กับอุ่นแก้วบิดามารดาของเขาที่เป็นห่วงเปมิกา เช่นกัน จนต้องบอกให้เขากลับกรุงเทพฯก่อน
กำหนด โดยบิดาให้เหตุผลว่า
“กลัวพี่สาวเอ็งมันคิดมากจนเผลอไปกระโดดระเบียงห้องที่คอนโดตาย…”
เมื่อปัญญากลับมาเห็นสภาพพี่สาวเผลอไปทำงานแล้วก็อดคิดมากตามคำพูดของบิดาไม่ได้ เห็นทีเขาต้องจับตามองพี่สาวไม่ให้คลาดสายตาเสียแล้วในช่วงนี้
เปมิกา จมปลักอยู่ในห้องเพียงคนเดียว หล่อนได้ประจักษ์ชัดด้วยตัวเองแล้วว่า โรคเครียดวิตกกังวลนั้น มันร้ายแรงดั่งโรคเอดส์ บวกมะเร็งเลยทีเดียว เพราะมันส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ทำให้จิตใจหดหู่ สิ้นหวัง ท้อแท้ทุกอย่าง คิดมากจนหน้าเหี่ยวย่น ทำให้ความงามที่เคยมีลดลงไปกว่าครึ่ง
เปมิกา พยุงร่างที่คิดว่าเหมือนผีดิบของตัวเองไปนั่งหน้ากระจกแล้วก็แสยะยิ้มให้ตัวเอง
“ทำไมนะ..คนสวยจึงอาภัพ..ดูสิ ทั้งเก่งทั้งสวยอย่างนี้แต่มีกรรม มีแฟนก็เหมือนไม่มีหายหัวไปไม่ติดต่อมาให้กำลังใจกันเลย รู้ว่าเรากำลังตกงานไม่มาเหลียวแลสักนิด งานก็ไม่มีทำ ที่สมัครงานไว้ก็ไม่มีติดต่อให้ไปสัมภาษณ์สักที่ …ได้แต่รอ รอ รอ จะให้รอไปถึงศตวรรษไหนกัน”
เปมิกา จ้องหน้าตัวเองพร้อมกับพูดกับกระจกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“แต่ฉันไม่มีวันแพ้แกหรอกเจ้าโชคชะตาบ้า ฉันจะต้องชนะเพราะฉันคือ แม่เปมิกาจอมอึดเนฟเวอร์ไดน์ ถึงโชคชะตาจะกลั่นแกล้งให้ฉันตกงาน ไร้อนาคตแต่อย่าหวังเลยว่าจะแกล้งฉันได้ตลอดไป สักวันต้องเป็นของฉัน ฮ่า ๆๆ”
และแล้วเปมิกา ก็ไม่ต่างจากคนเสียสติ เสียงหัวเราะของหล่อนดังก้องอยู่ในห้อง และเล็ดรอดออกไปถึงห้องของน้องชาย
ปัญญา ได้ยินเสียงหัวเราะของพี่สาว เขาจึงเดินไปเอาหูแนบกับประตูห้องของเปมิกา
“พี่ป่าน…พี่อยู่กับใครน่ะ…”
ปัญญา ตัดสินใจเคาะประตูพร้อมส่งเสียงถามเข้าไปแต่ไม่มีเสียงตอบ เขาเองก็รู้สึกแปลกใจกับพฤติกรรมของพี่สาวอยู่เหมือนกัน นอกจากจะชอบเก็บตัวแล้วยังชอบพูดคนเดียวอีกด้วย
“ระวังอย่าปล่อยให้พี่สาวเอ็งอยู่คนเดียวนะ มันจะคิดสั้น หรือไม่ก็อาจจะคิดมากจนเป็นบ้าไปเลยก็ได้ รู้จักชวนพี่เอ็งพูดคุยบ้างนะ..”
คำเตือนของบิดาทำให้ปัญญาเริ่มกังวลว่าพี่สาวอาจจะเครียดจนเพี้ยนแล้วก็ได้
“โธ่..พี่ป่าน..นี่พี่บ้าไปแล้วจริง ๆ หรือเนี่ย..ทำไงดีวะ..”
ปัญญา ใช้ความคิดแล้วเขาก็ตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาสิตา เพื่อนรักของพี่สาว โดยหวังว่าสิตา จะเป็นที่พึ่งช่วยพูดคุยให้เปมิกาคลายเครียดได้ดีกว่าเขาเป็นแน่
“พี่ก็มีอาการไม่ต่างจากยัยป่านนักหรอกนะปอ...” สิตา สารภาพ
“คนตกงานต้องมีอาการแปลก ๆ เก็บเนื้อเก็บตัวพูดอยู่คนเดียวแบบนี้ทุกคนเหรอครับ”
“ก็ไม่ทุกคนหรอก..แต่พวกพี่มันตกงานแบบจู่โจมก็เลยทำใจลำบากนิดหนึ่ง..พี่เองก็แค่ซึม ๆ คิดถึงอดีตที่เคยทำงานน่ะไม่ถึงกับพูดเพ้อเจ้อคนเดียวแบบยัยป่านหรอก..”
“ผมเป็นห่วงพี่ป่านจริง ๆ นะพี่ตา..กลัวพี่ป่านจะเครียดจนสติแตกไปเสียก่อนน่ะสิครับ..”
“ความจริงการพูดคนเดียวก็เหมือนกับการระบายความอึดอัดในใจน่ะแหละ..ไม่มีอะไรหรอกเดี๋ยวพี่ก็ว่าจะโทรไปชวนยัยป่านไปปฏิบัติธรรมอยู่พอดี..”
“ตอนนี้พี่ตาอยู่กรุงเทพฯหรือเปล่าครับ..”
“พี่เพิ่งกลับบ้านที่สุพรรณ…แต่ไม่ต้องห่วงนะปอ เดี๋ยวพี่อาบน้ำเสร็จจะรีบโทรไปหายัยป่านทันที…”
สิตา รับปากทำให้ปัญญา รู้สึกสบายใจขึ้น
