10. ลุ้น ใครได้ไปต่อ
เมื่อใกล้วันหมดสภาพการเป็นพนักงานบีบีซี. เข้ามา
เปมิกา ก็ยิ่งรู้สึกทุรนทุรายมากขึ้น หล่อนได้รับค่าจ้างครั้งสุดท้ายสำหรับชีวิตการทำงาน เป็นเงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งเมื่อเทียบกับระยะเวลาเกือบเจ็ดปีที่ทำงานมาก็ยังถือว่าไม่มากนัก
หลายคนต่างก็บ่นว่าได้รับเงินชดเชยค่าจ้างออกไม่คุ้มกับระยะเวลาที่ทำงานมา เพราะบางคนทำงานมาเกือบสามสิบปี ก็บอกว่าได้รับเงินมาไม่พอกับภาระหนี้สินและอนาคตที่ต้องตกงาน ทำให้มีใบปลิวออกมาให้พนักงานเข้าร่วมชุมนุมเพื่อเรียกร้องในเรื่องนี้
แต่เปมิกา ถอดใจเสียแล้ว เพราะเท่าที่เคยไปร่วมชุมนุมมาก็ไม่เห็นว่าจะได้รับความช่วยเหลืออะไรเลย โดยเฉพาะในเรื่องงานที่หล่อนยังไม่เห็นว่าเพื่อนร่วมงานที่สาขาคนใดคนหนึ่งจะได้รับการช่วยเหลือ
“อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน จริงแท้อย่างที่สุด”
เปมิกา ยึดสัจธรรมข้อนี้เป็นเครื่องเตือนใจ เพื่อจะได้ไม่ฝากความหวังไว้กับใครทั้งสิ้น
หลังจากทุกคนได้รับเงินชดเชยจ้างออกแล้ว ต่างก็หันมาลุ้นรับซองขาวที่จะแจ้งให้ทราบว่าใครคือผู้โชคดีได้รับการคัดเลือกให้เข้าทำงานต่อกับบริษัทติดตามหนี้เสียของบีบีซี. ที่จะจัดตั้งขึ้นหลังจากปิดกิจการธนาคาร
สมุห์บัญชีเป็นคนเดินแจกซองขาวที่มาจากสำนักงานใหญ่ที่จ่าหน้าซองถึงแต่ละคน เพื่อให้ทุกคนนำไปเปิดลุ้นเอาเองว่า ข้อความข้างในจะเป็นคำตอบรับเข้าทำงานหรือปฏิเสธ
“ฉันขอไปเปิดอ่านที่ห้องน้ำก่อนนะป่าน…เวลาร้องไห้จะได้ไม่มีใครเห็น”
สิตา บอกแก่เปมิกา ก่อนจะเดินถือซองขาวเดินลิ่วออกไปด้านหลัง ส่วนเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ก็ไม่แตกต่างกัน ต่างรับซองมาด้วยสีหน้าเหมือนคนรอลุ้นอะไรบางอย่าง ไม่มีเสียงพูดคุยกันเหมือนเช่นทุกวัน เนื่องจากวันนี้ ได้กำหนดให้เป็นวันสุดท้ายสำหรับผู้ที่ไม่ได้รับเลือกให้ทำงานต่อ
เปมิกา เดินถือซองขาว หลบมุมไปที่ห้องเก็บเอกสารเพียงลำพัง หล่อนดึงแผ่นกระดาษออกจากซอง ด้วยการตั้งสติเพื่อให้จิตใจเข้มแข็งพร้อมที่จะยอมรับความจริง
การคัดเลือกจะใช้การประเมินผลงานหรือจับสลากก็สุดจะเดาได้ เพราะมีมาหลายกระแส บางคนก็บอกว่ามีพวกที่วิ่งเต้นที่สำนักงานใหญ่ ซึ่งอาจจะหมายถึงต้องใช้เส้น ใช้เงินทอง แต่เปมิกาก็ได้แต่รับฟังคนอื่นพูดต่อ ๆ กันมาอีกที ความจริงเป็นเช่นใดหล่อนก็มิอาจจะรู้ได้ แต่ที่หล่อนรู้มาคือ ที่แผนกสินเชื่อจะได้รับเลือกเพียงคนเดียว
เปมิกาได้วิเคราะห์ก่อนหน้านี้แล้วว่า นิกร น่าจะได้รับเลือกเพราะข้อแรก นิกรเป็นผู้ชาย เปมิกายอมรับความจริงในข้อนี้เสมอ จากประสบการณ์ที่สังคมส่วนใหญ่มักจะเลือกเพศชายไว้ก่อน ดังนั้น ก็ป่วยการที่เปมิกา จะคิดไปแปลงเพศในตอนนี้ ไม่ทันการเสียแล้ว
ข้อสอง นิกร มีประสบการณ์ทำงานพอสมควรและอายุยังน้อย เหมาะแก่การทำงานที่ต้องอาศัยความคล่องแคล่ว ยังถือว่ามีไฟในการทำงานสูงกว่าคนที่อายุมากกว่า
สุดท้าย นิกร อายุการทำงานน้อยทำให้ฐานเงินเดือนน้อยกว่าทุกคนในแผนก ซึ่งเป็นผลดีต่อเขา ทำให้บริษัทใหม่ได้ประหยัดงบการจ้างงาน
จบคำวิเคราะห์ของตัวเองแล้ว เปมิกา ก็ค่อย ๆ คลี่กระดาษแผ่นนั้นออกมาช้า ๆ
เปมิกา เริ่มอ่านตั้งแต่หัวกระดาษ ที่บอกแหล่งที่มาของจดหมายจากสำนักงานใหญ่ก่อนจะไล่มาที่วันเดือนปีที่ออกจดหมาย แล้วก็ตามด้วยมุมซ้ายมือ
เรื่อง แจ้งผลการคัดเลือกพนักงานเพื่อเข้าทำงานกับ บริษัทบริหารสินทรัพย์ บีบีซี.
เรียน นางสาวเปมิกา ประสงค์ดีเด่น
ย่อหน้าแรกเป็นข้อความที่กล่าวถึงสาเหตุการสั่งปิดธนาคารบีบีซี. กระทั่งมาถึงประโยคสำคัญที่เปมิกา รอคอย
“ธนาคารยังไม่สามารถรับท่านเข้าทำงานได้”
อ่านได้ถึงประโยคนี้ หัวใจของเปมิการู้สึกชาวูบ ทั้ง ๆ ที่ทำใจไว้ก่อนแล้ว
“แต่หาก บบส. มีอัตราว่าง ฝ่ายการพนักงานจะติดต่อมายังท่านตามที่อยู่ที่ให้ไว้…..”
มีการให้ความหวังแบบริบหรี่ ทิ้งท้ายไว้พอเป็นยาหอมกันเป็นลมล้มพับเสียด้วย
เปมิกา สูดลมหายใจลึก ๆ เข้าปอด ก่อนจะเดินเข้าไปยังห้องสินเชื่อ เพื่อแสดงสปิริตลูกผู้หญิงด้วยการแสดงความยินดีกับคนที่ได้รับเลือก ซึ่งปรากฏว่าเป็นไปตามคำวิเคราะห์ของเปมิกา
“นิกรได้รับเลือกว่ะป่าน”
สุรพล หันไปบอกเปมิกาทันทีที่หล่อนก้าวเท้าเข้ามาในห้องสินเชื่อ
“ดีใจด้วยกร…”
เปมิกา เดินไปจับมือเพื่อนร่วมแผนกรุ่นน้องด้วยความรู้สึกยินดีจากใจจริง
“เสียใจกับทุกคนด้วยครับ…”
นิกร ไม่กล้าแสดงสีหน้าดีใจมาก ด้วยเกรงว่าจะสะเทือนถึงเพื่อนร่วมงานอีกสามคน
“เฮ้ย…นายได้รับเลือกจะทำหน้าเศร้าอยู่ทำไมวะกร..ยิ้มสิวะไอ้น้อง..”
สุรพล พูดทำลายความเงียบ เปมิกาเข้าใจความรู้สึกของหัวหน้าดี แม้จะไม่ได้รับเลือกแต่การแสดงความยินดีก็เป็นหน้าที่ที่หัวหน้าควรแสดงต่อลูกน้อง
“ผมกลัวพวกพี่จะเสียใจ…” นิกร พูดเสียงสั่น ๆ เหมือนจะร้องไห้
สุรพล เข้าไปตบไหล่ แต่นั่นยิ่งทำให้นิกรสุดที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ เป็นน้ำตาของผู้มีชัยที่ได้รับเลือก แต่เจือด้วยความเศร้าใจที่เขาได้ไปเพียงคนเดียวโดยปราศจากเพื่อนร่วมแผนกอีกสามคน
“ผู้ชายอะไรขี้แยชะมัด”
เปมิกา ต่อว่านิกรด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้นไม่ต่างกัน หล่อนก็หลั่งน้ำตาให้กับความพ่ายแพ้ ความพลัดพราก และความผูกพันนั้นอย่างสุดที่จะกลั้นมันไว้ได้เช่นกัน
“นายเป็นตัวนำให้เสียน้ำตาจริง ๆ เลยว่ะ”
ไกรสิทธิ์ ต่อว่านิกรแต่ตัวเขาก็น้ำตาซึม
ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ที่ช่างอ้างว้าง หดหู่ใจ
ตั้งแต่อยู่ร่วมงานกันมานาน เปมิกา ไม่เคยเห็นผู้ชายทั้งสามคนต้องเสียน้ำตาหรือว่าเศร้าโศก แต่วันนี้ภาพที่หล่อนเห็นมันเหมือนละครฉากชีวิตที่ต้องเล่นบทโศก ทำให้คนดูอย่างเปมิการู้สึกสะเทือนใจไปด้วย
หากว่าคนใดคนหนึ่งในห้องนี้จะลาออกเพื่อไปทำงานที่อื่นก็คงจะไม่มีภาพแบบนี้ให้เห็น
แต่นี่มันไม่ใช่…ทว่า..มันเป็นการจากที่ถูกกำหนด ถูกบังคับให้พลัดพรากจากกันไปตามทางของแต่ละคน จึงยากที่จะหักห้ามไม่ให้รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์เช่นนี้
เปมิกา ก้มหน้านิ่ง หล่อนไม่อยากจดจำภาพหดหู่เศร้าหมองเหล่านี้เอาไว้เลย จึงก้มหน้าก้มตาเก็บข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวในลิ้นชักใส่ถุงเตรียมไว้ เป็นสัญญาณของผู้แพ้ที่ต้องจากไป
“ป่าน…ทำไมรีบเก็บจัง..”
ไกรสิทธิ์ ทักขึ้นมาทำลายความเงียบ
“พรุ่งนี้ก็ไม่ได้มาอีกแล้ว..ก็ต้องรีบเก็บสิ..นายก็ควรจะรีบไปเก็บเหมือนกัน” เปมิกาว่า
สุรพล ผละจากนิกร มาที่โต๊ะทำงานของเขาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ผิดกับสุรพลคนเดิมที่ชอบโวยวายเสียงดัง เขาเก็บสิ่งของในลิ้นชักช้า ๆ
“ผมไม่อยากเห็นพวกพี่ ๆ เก็บข้าวของแล้วเดินจากไปเลย…มันใจหายยังไงก็ไม่รู้”
นิกร สารภาพเสียงสั่น
“นายก็ต้องเก็บข้าวของไปอยู่ที่สำนักงานใหญ่เหมือนกันน่ะแหละนิกร..เพราะที่สาขานี้เขาก็จะปิดตายแล้วไม่ใช่หรือ”
สุรพล บอกลูกน้องผู้โชคดี
“งั้นพวกเราก็คงต้องลากันตรงนี้เลยสินะ…” ไกรสิทธิ์ พูดขึ้นเสียงสั่น ๆ
“นี่..เลิกเศร้ากันได้แล้ว…พวกเราไม่ได้ตายจากกันเสียหน่อย…เฟรนด์ชิพก็เขียนที่อยู่เบอร์ติดต่อให้กันไว้แล้ว เดี๋ยวก็นัดมารวมหัวกันวันหลังก็ได้นี่นา..”
เปมิกา เป็นผู้นำในการออกจากบรรยากาศแห่งความหดหู่ใจ แต่ตายังแดง ๆ อยู่
“เออใช่ ๆ ต่อไปนี้ใครทำหน้าเศร้าจะเบิ้ดกระโหลกให้ก่อนจากซะเลย..”
สุรพล กลับมาเป็นคนเดิม เขาปรับสีหน้าให้สดชื่นขึ้น พร้อมกับเป็นคนเสนอหาสถานที่สำหรับเลี้ยงแสดงความยินดีกับนิกร
