บทที่ 9 สมรสพระราชทาน
บทที่ 9 สมรสพระราชทาน
“มันเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน !”
ถังฮูหยินตกอกตกใจจนเป็นลมล้มพับ ส่วนลู่จางเซินเองก็เข่าแทบทรุด หลังจากที่เมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนหน้าขันทีฟั่นได้มาแจ้งราชโองการจากฝ่าบาทถึงจวนของเขาแต่เช้า
“เหตุใดจู่ ๆ ฝ่าบาทถึงได้ออกราชโองการเช่นนี้” นายท่านผู้เฒ่ากุมไม้เท้าจ้องมองราชโองการที่ยังอยู่ในมือของบุตรชาย
หลังจากที่เสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นของลู่เซียวซูได้ไม่นาน ฝ่าบาทก็ได้ทรงมอบสมรสพระราชทานให้แก่นางทันที แถมฝ่ายเจ้าบ่าวไม่ใช่องค์ชายรอง แต่เป็นบุตรชายคนโตของเจ้าสำนักเมฆา…หลิวเฮ่อสือ
“ไม่นะเจ้าคะ ลูกไม่แต่งกับคนป่าพรรค์นั้น !”
พอรู้ว่าสำนักเมฆาตั้งอยู่บนภูเขาสูงทางตอนเหนือของเหอเป่ย์ ลู่เซียวก็ซูกอดแม่นมร้องห่มร้องไห้ทันที เรื่องดวงชะตาหงส์ที่ท่านนักพรตเคยทำนายไว้ก่อนหน้า นางก็พอจะทราบมาบ้าง ส่วนตระกูลลู่เองก็เลี้ยงดูโดยปลูกฝังเรื่องพวกนี้กับนาง นางจึงคิดวาดฝันไว้ว่าในภายภาคหน้านางจะต้องได้เข้าวังอย่างแน่นอน ทั้งยังมองตำแหน่งฮองเฮาว่าเป็นของตนเองตั้งนานแล้ว
แต่ทุกอย่างกลับพลิกผัน เมื่อในเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่เพิ่งพ้นวัยปักปิ่น ก็ได้มีราชโองการนี้มาวางตรงหน้า ลู่เซียวซูรู้สึกราวกับตัวเองพลัดตกจากสวรรค์หมื่นจั้ง
“ซูเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้ร้อนใจไป ตอนนี้เจ้ากลับเรือนนอนเจ้าไปก่อน เรื่องนี้ไว้เดี๋ยวพ่อจะจัดการให้เจ้าเอง”
ลู่จางเซินปลอบขวัญบุตรสาว จะไม่ให้นางร้อนใจได้อย่างไร แม้นางจะเป็นเพียงสตรีอยู่กับเรือน แต่ใครบ้างจะไม่รู้ว่าราชโองการของฝ่าบาทไม่อาจขัดรับสั่งได้ หากผู้ใดขัดก็เท่ากับเป็นกบฏ
ตอนนี้ฮูหยินใหญ่ฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้ว ลู่เซียวซูจึงได้ไปกอดมารดาอ้อนวอนให้อีกฝ่ายหาทางช่วย ส่วนลู่จางเซินไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เร่งร้อนเข้าวังเพื่อไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท
ณ พระตำหนักจินหลวน
“ทูลฝ่าบาท เสนาบดีลู่มาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์นายหนึ่งที่เฝ้าอยู่หน้าตำหนักวิ่งเข้ามารายงาน ฮ่องเต้เยี่ยนอู่เฉิงเงยหน้าขึ้นมาจากม้วนฎีกา สีพระพักตร์ของพระองค์คล้ายไม่ได้รู้สึกแปลกใจนักกับการมาอย่างกะทันหันของอีกฝ่าย มุมปากที่เคยเหยียดตรงค่อยคลี่ยิ้มคลุมเครือพลางโบกมือขึ้น
“ไล่เขากลับไป เราไม่อยากพบใคร !”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลังรับคำสั่ง องครักษ์ก็กลับไปรายงานกับลู่จางเซินที่หน้าตำหนัก บอกว่าฮ่องเต้ไม่ทรงอนุญาตให้ผู้ใดเข้าพบ แต่ลู่จางเซินก็ไม่ยอมถอดใจ บอกว่าตนจะคุกเข่าอยู่ตรงนี้ จนกว่าฮ่องเต้จะทรงอนุญาต
พอองครักษ์กลับไปรายงาน ฮ่องเต้เพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ แต่ก็ยังทำเป็นไม่สนใจก้มลงอ่านฎีกาในมือของตัวเองต่อ ขันทีฟั่นเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้พูดออกมา
กระทั่งสองชั่วยามผ่านไป ฮ่องเต้เยี่ยนอู่เฉิงเหยียดกายลุกขึ้น เพื่อให้หายจากอาการเหนื่อยล้า แต่ก็นึกบางอย่างขึ้นได้จึงเรียกตัวให้องครักษ์เข้ามา แล้วถามว่าลู่จางเซินกลับไปหรือยัง แต่พอรู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้กลับ เขาก็ถอนหายใจออกมา แล้วโบกมือบอกให้ไปตามลู่จางเซินมาเข้าเฝ้า
“ฝ่าบาท เหตุใดถึงมอบสมรสพระราชทานให้บุตรสาวของกระหม่อมกับบุตรชายเจ้าสำนักหลิวด้วยล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากที่ถวายบังคมเสร็จเขาก็เปิดประเด็นซักถามทันที แม้จะอยู่ต่อหน้าเบื้องพระพักตร์แต่เขาก็ไม่อาจสำรวมกิริยาได้ หากสมรสพระราชทานนี้เป็นบุตรคนอื่น ไหนเลยลู่จางเซินจะร้อนรนถึงเพียงนี้ ฮ่องเต้เยี่ยนอู่เฉิงจิบชาข้าวหอมกรุ่นในมือที่ขันทีฟั่นรินให้ ก่อนจะเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย
“เสนาบดีลู่เจ้าไม่รู้จริงหรือ ว่าเหตุใดข้าถึงได้มอบสมรสพระราชทานให้บุตรสาวของเจ้า ?”
ด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดและสายตาคู่คมดุจเหยี่ยวที่จ้องมองลู่จางเซิน สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของพระองค์ทำเอาขุนนางเฒ่าเหงื่อแตกพลั่กทั้งตัวและเริ่มรู้สึกเอะใจอะไรบางอย่าง
หรือฝ่าบาททรงล่วงรู้เรื่องอะไรเข้าแล้ว ?
ราวกับอ่านความคิดของอีกฝ่ายออก ฮ่องเต้จึงได้หยิบหลักฐานการลักลอบค้าเกลือของอีกฝ่ายมาวางลงตรงหน้า ใบหน้าของลู่จางเซินพลันดำมืด มือไม้สั่นเนื้อตัวแข็งเกร็ง ก่อนจะรีบคุกเข่าก้มลงโขกศีรษะจนแตกเพื่อขอความเมตตา
“ตอนนี้ทั่วทั้งดินแดนต้าเยี่ยนกำลังเดือดร้อนเรื่องที่ฝูงตั๊กแตนบุก แม้สถานการณ์จะคลี่คลายลงไปแล้ว แต่ความเสียหายนั้นก็ยังมีมาก พืชไร่เก็บเกี่ยวได้น้อย บางพื้นที่แทบจะไม่มีกินจนข้าต้องเปิดคลังเสบียงเพื่อเอาเสบียงพวกนั้นไปแจกจ่าย ตอนนี้ในท้องพระคลังกำลังร่อยหรอ แต่ขุนนางเช่นพวกเจ้าก็ยังกอบโกยรายได้เข้าตระกูลตัวเอง”
สุรเสียงเย็นเยียบที่ได้เอ่ยออกมา ยังเย็นชาไม่เท่าสายตาที่ฮ่องเต้ใช้มองอีกฝ่าย
“ฝ่าบาทได้โปรด ละเว้นโทษให้กระหม่อมสักครั้ง กระหม่อมแค่เลอะเลือนชั่วคราวเท่านั้น ขอได้โปรด”
ลู่จางเซินโขกศีรษะไม่หยุดจนเสียงดังไปถึงหน้าตำหนัก ฮ่องเต้ที่เห็นดังนั้นจึงได้ถอนหายใจออกมา
“เสนาบดีลู่ เห็นแก่ที่ในอดีตบรรพบุรุษตระกูลลู่ของเจ้าเคยสร้างคุณงามความดีเอาไว้ ข้าจะละเว้นโทษตายแก่เจ้า ที่ผ่านมาข้าแสร้งเป็นลืมตาข้างหลับตาข้างมาตลอด นี่ถือเป็นการตักเตือน คราวหน้าอย่าให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีก”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่โปรดเมตตา ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ลู่จางเซินโขกศีรษะจนตอนนี้เลือดไหลนองเต็มหน้าผากไปหมดแล้ว ตอนนี้ฮ่องเต้เยี่ยนอู่เฉิงไม่อยากเห็นหน้าเขาอีก จึงได้สะบัดแขนฉลองพระองค์แล้วเดินจากไป ขันทีฟั่นรีบมาบอกให้เขาหยุดโขกหัวเสียที จากนั้นก็ซอยเท้าเดินตามฮ่องเต้ออกไป
ภายหลังจากที่เขากลับมาถึงจวนตระกูลลู่ ทุกคนก็รีบวิ่งมาถามผลลัพธ์ แต่พอเห็นว่านายท่านเจ้าบ้านศีรษะแตกเลือดอาบ ก็ตกอกตกใจ รีบเรียกหมอให้มาทำแผล
เรื่องที่เขาเกือบต้องโทษประหารเพราะแอบทุจริต ลู่จางเซินไม่ได้บอกคนในจวน เพียงแต่ให้คนของตัวเองส่งข่าวไปแจ้งเรื่องนี้แก่องค์ชายรองเท่านั้น
ที่ตำหนักขององค์ชายรอง เยี่ยนจงเหมียนกำจดหมายในมือแน่นก่อนจะปาทิ้งอย่างเดือดดาลเพื่อระบายโทสะ การที่เสด็จพ่อของเขาตักเตือนจวนตระกูลลู่เช่นนี้ก็เพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะรู้ถึงแผนการและความเคลื่อนไหวของเขา เป็นไปได้หรือไม่ว่าเสด็จพ่อของเขาอาจส่งองครักษ์ลับให้มาคอยจับตาดูพวกเขา แต่คิดอีกที นี่อาจจะเป็นฝีมือขององค์ชายองค์ไหนสักพระองค์ก็ได้
องค์ชายใหญ่เยี่ยนจงเป่าชืดจางไร้ความสามารถ ต่อให้เสนาบดีฝ่ายขวาจะไปเข้าร่วมกับเขา ก็ไม่แน่ว่าจะมีความสามารถถึงขั้นส่งคนมาสืบข่าวภายในตำหนักของเขาได้ อีกทั้งเยี่ยนจงเป่าไม่ได้มีกุนซือปราชญ์หรือที่ปรึกษาที่เก่งกาจไว้ข้างกายแต่อย่างใด สหายร่วมศึกษาก็ล้วนเป็นคนธรรมดา เว้นแต่เสด็จย่าของเขาจะแอบซ่อนคนมีฝีมือไว้ข้างกายเขาแล้วปกปิดไม่ให้ผู้ใดรู้
ต่อมาก็เป็นองค์ชายสามเยี่ยนจงจื้อ บุคลิกและความสามารถโดดเด่น ฉลาดเฉลียวมีไหวพริบ ที่ผ่านมาก็มักจะแข่งขันกับเขามาตลอด ช่วงนี้เหมือนว่าจะมีขุนนางหลายฝ่ายไปเข้าพวกกับเขาด้วย ส่วนองค์ชาย
สี่เยี่ยนจงหลินกับองค์ชายห้าเยี่ยนจงถังก็ยังเด็กนัก ไม่น่าจะเป็นอุปสรรคสำหรับเขาตอนนี้
เรื่องเส้นทางการหาเงินเข้าตำหนักตอนนี้คงเป็นไปได้ยากแล้ว หากจะทำอะไรอย่างไรก็ต้องระวังสายพระเนตรของฮ่องเต้ แต่นี่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้องค์ชายรองร้อนใจ เพราะที่จริงแล้ว เรื่องที่เขาเสียดายที่สุดคือการไม่ได้แต่งลู่เซียวซูเข้ามาเป็นพระชายาต่างหาก ต่อให้เอาบุตรสาวของฮูหยินรองตระกูลลู่มาแทน ก็ไม่อาจเทียบเคียงนางได้
อีกด้านหนึ่ง
“เจ้าว่าอย่างไรนะ แต่งกับหลิวเฮ่อสือ ?”
เยี่ยนจงเป่าที่กำลังตวัดปลายพู่กันคัดตำราอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมองหน้าองครักษ์ลับที่มารายงานเรื่องที่เขาใช้ให้ไปสืบ ตอนแรกพอได้รู้ว่าเสด็จพ่อของตน จงใจใช้สมรสพระราชทานมาขู่ขวัญจวนตระกูลลู่ เขาก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอรู้ว่าคู่สมรสของบุตรสาวเสนาบดีลู่เป็นหลิวเฮ่อสือ สหายร่วมศึกษาของเขา มือที่จับด้ามพู่กันอยู่ก็พลันชะงักไปในทันที
เนื่องจากราชวงศ์กับสำนักเมฆามีความสัมพันธ์อันดีกันมาตั้งแต่สมัยอดีตฮ่องเต้แล้ว ต่อมาพอเป็นรัชสมัยของเยี่ยนอู่เฉิง ความสัมพันธ์เหล่านั้นก็ค่อย ๆ ห่างเหิน แม้ทางสำนักจะส่งลูกศิษย์เข้ามาเป็นองครักษ์ลับให้กับฮ่องเต้ แต่มันก็เริ่มน้อยลงเรื่อย ๆ พระองค์จึงคิดใช้สมรสพระราชทานนี้เชื่อมสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้น
เพราะได้ยินมาว่า บุตรีของลู่จางเซินนั้นมีใบหน้างดงามราวกับเทพเซียน คิดว่าทางสำนักเมฆาคงไม่มีปัญหาอะไร
เยี่ยนจงเป่าฟังเนื้อความในรายงานแล้ว หัวคิ้วได้แต่ขมวดมุ่น เนื่องจากเขารู้จักนิสัยของสหายคนสนิทผู้นี้ดี อีกฝ่ายไม่ชอบให้ผู้ใดมาบังคับ ก็ไม่รู้ว่าหากหลิวเฮ่อสือรู้ข่าวแล้วจะโมโหขนาดไหน หวังเพียงอย่างเดียวว่าอีกฝ่ายคงไม่พาลมาโกรธเขาไปด้วยก็พอ
ถึงเรื่องสมรสพระราชทานนี้จะไม่ใช่ความผิดของเขาโดยตรง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเองก็มีส่วนที่ทำให้เรื่องราวมันกลายเป็นแบบนี้ องค์ชายใหญ่ได้หยิบกระดาษเซวียนจื่อมาแผ่นหนึ่งตั้งใจจะเขียนจดหมายหาอีกฝ่าย เขาหลับตาขบคิดสักพักว่าจะเขียนกวีไปหยอกล้ออีกฝ่ายสักบทดีหรือไม่ แต่ก็ส่ายหน้า คนอย่างหลิวเฮ่อสือ ถึงจะแข็งนอกอ่อนใน แต่เวลาผูกใจเจ็บ ก็จะเอาคืนคนได้อย่างเจ็บแสบที่สุดเช่นกัน อย่าได้ไปแตะเกล็ดย้อนของอีกฝ่ายจะดีกว่า
ว่าแล้วก็เขียนข้อความอื่นลงไปแทน
เดิมคิดจะให้เจ้ามาดื่มสุรามงคลฉลองตอนที่ข้าได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาท แต่ไม่นึกว่ากลับเป็นข้าได้ดื่มสุรามงคลสมรสของเจ้าก่อนเช่นนี้
พอเขียนเสร็จ เขาก็ให้องครักษ์ลับที่หลิวเฮ่อสือทิ้งไว้ ไปส่งให้กับอีกฝ่ายผ่านพิราบสื่อสาร พร้อมกับนึกถึงใบหน้าดำคล้ำของสหายยามที่ได้อ่านข้อความนี้ไปด้วย
กลับมาที่จวนตระกูลลู่ หลังจากที่ลู่เซียวซูรู้ว่าสมรสพระราชทานนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว นางก็กรีดร้องลั่นบ้าน ก่อนจะเป็นลมล้มพับไป ลู่จางเซินได้แต่เผยสีหน้าอับจนปัญญา แม้เขาจะห่วงใยบุตรสาว แต่ถึงอย่างไร ศีรษะของคนทั้งจวน ก็ยังสำคัญกว่าการแต่งงานของบุตรอย่างลู่เซียวซูอยู่ดี
น่าแค้นใจนัก เหตุใดต้องเป็นลู่เซียวซูด้วย หากเป็นบุตรสาวคนอื่น...
ไม่สิ เขาไม่ได้มีแค่ลู่เซียวซูเป็นบุตรสาวคนเดียวเสียหน่อย ยังมีลู่เซียวซินอยู่อีกคนนี่นา
ใบหน้าที่ขึ้งเคียดมานานของลู่จางเซิน ค่อย ๆ คลายออก ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา
