บทที่ 10 วางแผน
บทที่ 10 วางแผน
จวนตระกูลลู่ถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอันสุดแสนจะเศร้าหมองราวกับมีใครตายมาทั้งวัน กระทั่งลู่จางเซินเอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมา ฉับพลัน ใบหน้าของทุกคนก็ค่อย ๆ ทอประกายเปี่ยมไปด้วยความหวัง ราวกับจู่ ๆ ก็มีฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายมาปรากฏตรงหน้า
“ท่านพี่ ช่างฉลาดหลักแหลมนัก จริงด้วย ยังมีวิธีนั้นอยู่ เช่นนั้นเอาตามนั้นเถิดเจ้าค่ะ ข้าทำใจส่งซูเอ๋อร์ให้ไปแต่งงานกับคนพวกนั้นไม่ได้จริง ๆ ซูเอ๋อร์มีดวงชะตาหงส์ ไอ้อีที่ไหนก็จะแต่งกับซูเอ๋อร์ของข้าได้หรือ ฝ่าบาทก็ช่างเลอะเลือนนัก”
ฮูหยินใหญ่ดึงบุตรสาวที่ร้องไห้จนดวงตาปูดบวมเข้ามากอดแนบอกอย่างปลอบประโลม แต่กลับถูกสายตาของผู้เป็นสามีปรามไปทีหนึ่ง โทษฐานที่หมิ่นเบื้องสูง หากพูดอะไรไม่ระวัง เกรงว่าเคราะห์กรรมอาจจะตกถึงหัวอีกรอบก็ได้
“เอาเถอะ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าให้พ่อบ้านจางไปจัดการแล้ว อีกไม่นานคนก็น่าจะมาถึง ฮูหยินให้พวกบ่าวไปเตรียมเรือนนอนให้นางเถอะ”
ลู่จางเซินคิดจนแทบหัวระเบิดก็เห็นจะมีแค่วิธีนี้เท่านั้นแล้ว เขาตัดสินใจที่จะรับตัวลู่เซียวซินกลับเข้าตระกูล แล้วให้อีกฝ่ายเป็นคนขึ้นเกี้ยวไปแต่งงานกับหลิวเฮ่อสือผู้นั้นแทน
ก่อนหน้านี้เขาสั่งให้คนไปจับตาดูสภาพความเป็นอยู่ของลู่เซียวซิน พอโตมาแล้วใบหน้าของนางเหมือนกับลู่เซียวซูอย่างกับแกะ แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะทั้งคู่เป็นฝาแฝดที่คลอดออกจากท้องเดียวกัน หนำซ้ำเขายังได้รู้แล้วว่าอีกฝ่ายแอบเปิดกิจการโรงค้าข้าว คิ้วของเขาพลันกระตุก แต่โชคยังดีที่หญิงสาวเปิดในชื่อของหวังเซี่ยแทน ลู่จางเซินจึงทำเป็นลืมตาข้างหลับตาข้าง
“ไม่ต้องจัดเตรียมอะไรให้วุ่นวายหรอกเจ้าค่ะ เดิมทีนางเคยอาศัยอยู่ที่เรือนตะวันตก ก็ให้นางอยู่ที่นั่นไปนั่นแหละ แค่ให้พวกบ่าวไปปัดกวาดเช็ดถูหน่อยก็ใช้ได้แล้ว” ถังอวี้ช่ายเอ่ยออกมาอย่างไร้เยื่อใย อีกทั้งในน้ำเสียงนั้นยังแฝงไปด้วยความรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์
“อื้ม เอาตามฮูหยินว่าก็แล้วกัน”
ที่เรือนของลู่เซียวซิน จู่ ๆ ก็มีรถม้าคันหนึ่งวิ่งมาจอดอยู่หน้าประตูเรือน หลังจากที่เห็นว่าผู้ใดมา บ่าวรับใช้ก็รีบแจ้นไปส่งข่าวให้ลู่เซียวซินทราบถึงที่โรงค้าข้าว
“อะไรนะ ! พวกเขาส่งคนมารับข้าให้กลับเข้าจวนสกุลลู่ ?” ลู่เซียวซินเอ่ยถามด้วยความตกใจ
“ขอรับ ตอนนี้พ่อบ้านจางรออยู่ที่เรือน คุณหนูรีบกลับไปดูก่อนเถอะขอรับ”
“คุณหนูเจ้าคะ หรือนายท่านยอมปล่อยวางเรื่องคำทำนายนั่นแล้ว ? ในที่สุดคุณหนูของซุ่ยเอ๋อร์ก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในจวนตระกูลใหญ่ ไม่ต้องตกระกำลำบากเช่นนี้อีกแล้วนะเจ้าคะ”
ซุ่ยเอ๋อร์จับมือนุ่ม ๆ ของนางมาแนบแก้มของตัวเองพลางหลั่งน้ำตาแห่งความยินดีออกมา ทว่าสีหน้าของลู่เซียวซินเรียบนิ่งไร้ซึ่งความตื่นเต้นยินดี มีเพียงแค่ความแปลกใจระคนสงสัย นางไม่ได้ตอบกลับซุ่ยเอ๋อร์ เพียงแต่ตามพวกอาเหอกลับไปที่เรือนเท่านั้น
เมื่อกลับมาถึง ก็เห็นพ่อบ้านกับบ่าวรับใช้อีกสองสามคนยืนอยู่ หนึ่งในนั้นคือแม่นมหวังที่คุยอะไรบางอย่างกับพ่อบ้านจางด้วยสีหน้าอ่านยาก
“คุณหนูกลับมาแล้ว” แม่นมหวังรีบเดินเข้าไปหานาง ส่วนพ่อบ้านจางก็ทักทายนางอย่างนอบน้อม
“คุณหนูลู่เซียวซู นายท่านใหญ่ให้ข้าน้อย จางฝูเหรินมารับคุณหนูสามกลับจวนตระกูลลู่ขอรับ เชิญ”
ชายชราผายมือไปยังรถม้าที่เขาได้จัดเตรียมเอาไว้ให้ แม่นมหวังรีบเดินเข้ามาหาคุณหนูของนางจากนั้นก็อธิบายสถานะของอีกฝ่าย พร้อมทั้งบอกรายละเอียดที่ได้สอบถามพ่อบ้านจางไปเมื่อครู่
และก็เป็นอย่างที่ซุ่ยเอ๋อร์บอก อีกฝ่ายให้เหตุผลว่าลู่จางเซินบิดาของนางไม่ได้คิดมากเรื่องคำทำนายอะไรนั่นอีกแล้ว อยากจะชดเชยให้นางถึงเรื่องที่ผ่านมาจึงอยากจะรับตัวนางกลับตระกูล
แม้เหตุผลจะฟังดูสมเหตุสมผล แต่ลู่เซียวซินกลับไม่ได้ปักใจเชื่อในทันที คนตระกูลลู่ทอดทิ้งนางอย่างไม่เหลียวแลมาตั้งหลายปี จู่ ๆ จะให้นางกลับเข้าตระกูลตอนนี้ ต้องไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่ นางเป็นคนฉลาดย่อมมองออกถึงเบื้องลึกเบื้องหลัง ต่างจากหวังเซี่ยและซุ่ยเอ๋อร์ที่คิดว่าในที่สุดนายท่านสกุลลู่ก็ยอมใจอ่อนกับคุณหนูของพวกนางเสียที
“ข้าไม่กลับ ข้าอยู่ที่นี่ก็สุขสบายดีอยู่แล้ว” จู่ ๆ นางก็โพล่งออกมาทำเอาทุกคนตกใจ
“คุณหนู พูดอะไรเช่นนั้นเจ้าคะ”
ซุ่ยเอ๋อร์เป็นคนแรกที่เข้าไปเกลี้ยกล่อมนาง ส่วนทางด้านพ่อบ้านจางก็ไม่ได้ดูมีทีท่าร้อนใจ กลับเอ่ยออกมาเสียงเนิบช้า ราวกับเตรียมวิธีรับมือเอาไว้อย่างดีแล้ว
“นายท่านบอกว่าจะเพิ่มชื่อคุณหนูให้เข้าไปอยู่ในผังตระกูล และหากคุณหนูยอมกลับแต่โดยดี ก็จะยินดีปล่อยให้โรงค้าข้าวเหลียงเตี้ยนอยู่ต่อไป หาไม่แล้วก็จะให้คนมาพังร้านขอรับ”
“ว่าไงนะ !”
คราวนี้ลู่เซียวซินเริ่มมีโทสะแล้วจริง ๆ คนสกุลลู่รังแกกันเกินไปแล้ว
โถงใหญ่ของตำหนักจินหลวนเป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้มีไว้หารือราชกิจกับเหล่าขุนนาง วันนี้จู่ ๆ เยี่ยนอู่เฉิงก็ได้เรียกองค์ชายใหญ่ให้มาเข้าเฝ้า เพื่อต้องการหารือกับอีกฝ่าย
“อย่างที่เจ้าทราบ เนื่องจากที่ชายแดนทางหรดีมีทัพของซีเป่ยกำลังปิดล้อมอยู่ อีกทั้งพวกนั้นยังรุกคืบเข้ามาในต้าเยี่ยนของพวกเราเรื่อย ๆ แล้ว เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ที่ปีนี้ฝนตกหนักทำให้น้ำจากแม่น้ำฮวงโหไหลบ่าเข้าท่วมบ้านเรือน ชาวบ้านบาดเจ็บล้มตายไปหลายคน อีกทั้งยังขาดแคลนเสบียงอย่างหนัก องค์ชายกับเรื่องนี้เจ้าคิดเห็นอย่างไร”
อันที่จริงหลายวันมานี้ฮ่องเต้เยี่ยนอู่เฉิงได้หารือกับเหล่าแม่ทัพและบรรดาขุนนางมาจนเกือบจะได้ข้อสรุปแล้ว แต่เขาก็ยังอยากฟังความเห็นของบุตรชายด้วยเช่นกัน
แต่ไหนแต่ไรมาฮ่องเต้เยี่ยนอู่เฉิงก็ชมชอบคนฉลาดมีไหวพริบ ที่เรียกอีกฝ่ายมาก็เพื่อเป็นการทดสอบไปในตัว หากว่าองค์ชายใหญ่ยังใช้การไม่ได้ เห็นทีตำแหน่งรัชทายาทก็คงไม่ตกถึงมือเขาแล้ว ต่อให้เขาเป็นบุตรของฮองเฮาหรือว่าเป็นคนที่ไทเฮาอุ้มชูก็ตาม แต่ทว่าในใจลึก ๆ เขาก็ยังคงคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะสามารถทำให้เขาพึงพอใจได้
“เสด็จพ่อลูกขอบังอาจทูลถาม เหตุใดถึงได้นำเรื่องนี้มาปรึกษากับลูกล่ะพ่ะย่ะค่ะ หากเป็นแม่ทัพหรือขุนนางน่าจะให้คำปรึกษาที่ดีกว่าไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ที่ถามไปแบบนั้นเยี่ยนจงเป่าแค่อยากหยั่งเชิงผู้เป็นบิดา เรื่องที่อีกฝ่ายไม่โปรดปรานเขาใคร ๆ ต่างก็รู้ดี อีกทั้งวัน ๆ ตัวเขาก็เอาแต่วาดภาพแต่งกวี ไม่ได้เผยพิรุธความสามารถของตัวเองออกมาให้ผู้อื่นได้เห็นเลย แต่ฮ่องเต้ที่ได้ฟังไม่เพียงแค่ไม่โกรธ กลับหัวเราะออกมาอย่างเบิกบาน
“ที่ปรึกษาเจ้าก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว อย่างเจ้าคงจะอ่านตำราพิชัยสงคราม หรือบันทึกซุ่ยเวยเปยเจิง จนท่องกลับไปกลับมาได้หลายรอบแล้วกระมัง เจ้าอย่าได้ปิดบัง ความสามารถของเจ้ามีหรือที่ข้าจะไม่รู้ ทุกอย่างที่พวกเจ้าทำ ก็ล้วนอยู่ในสายตาของข้าทั้งหมด”
น้ำเสียงนุ่มนวลแต่ทว่าแฝงไว้ด้วยความเฉียบขาดทำเอาเยี่ยนจงเป่าถึงกับนิ่งอึ้งไป ก่อนคลี่ยิ้มมุมปากออกมา แล้วยกมือขึ้นประสานหันไปมองบิดา
“ปิดบังเสด็จพ่อไม่ได้จริง ๆ สร้างความขบขันให้เสด็จพ่อแล้ว”
ที่ว่าทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาของอีกฝ่ายก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง อย่างเรื่องขององค์ชายรองและจวนตระกูลลู่ เดิมทีองค์ชายใหญ่คิดจะวางแผนให้ฮ่องเต้ได้ล่วงรู้ถึงเรื่องนี้เองด้วยความบังเอิญ แต่ไป ๆ มา ๆ ตนยังไม่ทันได้ลงมือ เรื่องทุกอย่างก็ถูกบิดาจัดการจนเรียบร้อยไปแล้ว
ว่ากันว่าปีนั้น สมัยที่พระองค์ยังเป็นองค์ชาย เรื่องแผนร้ายของคนในราชสำนักหรือกลอุบายอะไรก็ล่วงรู้หมด อีกทั้งยังจัดการเรียบร้อยจนได้ตำแหน่งองค์รัชทายาท แล้วได้ขึ้นไปนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรในที่สุด
“เอาเถอะ แล้วเรื่องที่ข้าเอ่ยไปเมื่อครู่เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร”
“ลูกคิดว่า ความเป็นอยู่ของราษฎรสำคัญที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าพูดต่อ” ฮ่องเต้โน้มตัวลงมาข้างหน้า ทำท่าตั้งใจฟัง
“ที่ชิงไห่มีผู้ลี้ภัยจากผลกระทบของแม่น้ำฮวงโหไหลบ่า แน่นอนว่าตอนนี้ย่อมขาดแคลนเสบียงอย่างหนัก หากทางราชสำนักไม่เร่งให้การช่วยเหลือ จะมีผู้คนล้มตายมากกว่านี้”
“หากเปิดคลังเสบียงเพื่อบรรเทาทุกข์ เช่นนั้น เสบียงกองทัพเจ้าจะจัดการอย่างไร ปีนี้เพราะฝูงตั๊กแตนระบาดทำให้เก็บเสบียงได้น้อย ดีไม่ดีพวกซีเป่ยอาจฉวยโอกาสนี้บุกโจมตีเข้ามาก็ได้”
“แต่ถ้าหากชาวบ้านไม่มีเสบียง ช้าเร็วพวกเขาอาจจะก่อจลาจลปล้นชิงเสบียงก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ นั่นจะยิ่งทำให้เราเจอทั้งศึกนอกศึกใน ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะทำศึก”
“เช่นนั้นหรือเจ้าจะปล่อยให้พวกซีเป่ยรุกรานเราอยู่อย่างนี้ ?”
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ ยังมีอีกวิธี”
“หืม วิธีอะไร ?”
บุตรชายคนนี้ของเขา เป็นไปอย่างที่เขาคิดจริง ๆ ฉลาดปราดเปรื่อง รอบคอบ ทำอะไรเป็นขั้นเป็นตอนและมีแบบแผนที่ชัดเจน คล้ายกับเขาสมัยหนุ่มไม่มีผิด
“ส่งทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นฉู่”
“หืม เหตุใดถึงเป็นแคว้นฉู่ ไม่ใช่ซีเป่ย ?”
“เสด็จพ่อเคยได้ยินกลศึกไกลผูกมิตร ใกล้บุกตี หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยนจงเป่าคลี่ยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะค่อย ๆ อธิบาย ทั้งสองถกปัญหากันอย่างจริงจัง ตั้งแต่ฟ้าสว่างจนค่อย ๆ ใกล้เปลี่ยนสี คำแนะนำของเยี่ยนจงเป่ามักจะพุ่งเป้าตรงเข้าประเด็น แล้วสามารถนำไปใช้ได้จริง
ข่าวที่ฮ่องเต้ทรงเรียกให้องค์ชายใหญ่ไปพบเป็นการส่วนพระองค์นั้นไม่นานก็แพร่กระจายไปทั่ว ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในต้าเยี่ยนล้วนไม่ใช่คนเขลา และแน่นอน หากเป็นคนเขลาก็ไม่อาจขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งขุนนางใหญ่ได้
ตอนนี้ฝั่งที่ยังไม่ได้เลือกข้างก็ค่อย ๆ ขบคิดอย่างจริงจังแล้วว่าพวกเขาควรติดตามใคร หรือภักดีต่อฝ่ายไหน ชีวิตในภายภาคหน้าถึงจะรุ่งโรจน์ไม่พลั้งเผลอเดินหมากผิด
องค์ชายใหญ่ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็มีคุณสมบัติเพียบพร้อมไร้ข้อกังขาเหมาะสมกับตำแหน่งองค์รัชทายาท แค่ที่พระองค์เป็นบุตรคนแรก แถมยังเกิดจากฮองเฮาอีก เท่านี้ก็ไม่มีผู้ใดกล้าคิดคัดค้านแล้ว ภายหลังถึงค่อยมีเหล่าขุนนางที่อยู่ข้างเยี่ยนจงเป่าและผู้ที่เป็นกลาง ต่างยื่นถวายฎีกาให้ฝ่าบาทแต่งตั้งองค์ชายใหญ่ขึ้นเป็นองค์รัชทายาท
เยี่ยนจงเหมียนที่ได้ยินข่าวก็ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ระบายโทสะอยู่ในห้องทรงอักษร ที่อะไร ๆ ก็ล้วนไม่เป็นไปตามที่เขาคำนวณสักอย่าง อีกทั้งคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ว่าคนปวกเปียกไร้ความสามารถอย่างองค์ชายใหญ่ เหตุใดจู่ ๆ ถึงได้ต้องตาเสด็จพ่อของเขา
กระทั่งลู่จางเซินได้ให้คนมาส่งจดหมายลับฉบับหนึ่งแก่เขา ใบหน้าที่บิดเบี้ยวราวกับถูกภูตผีเข้าสิงเมื่อครู่จึงค่อย ๆ คลายลง
“หึ ๆ ข่าวดีนี้ไม่เลวเลยจริง ๆ”
จากนั้นเยี่ยนจงเหมียนก็สั่งให้สาวใช้มาปรนนิบัติเขาเปลี่ยนชุด ก่อนจะไปขอเข้าเฝ้ากับฮ่องเต้
