บทที่ 8 ปักปิ่น
บทที่ 8 ปักปิ่น
“คุณหนูสามของซุ่ยเอ๋อร์ฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก กระทั่งวิธีเช่นนี้ก็ยังคิดออกมาได้ ดูสิเจ้าคะ กระทั่งฝ่าบาทระดมพวกขุนนางมาช่วยกันคิดจนหัวแทบแตกก็ยังคิดกันออกมาไม่ได้สักคน”
ซุ่ยเอ๋อร์ปิดปากหัวเราะหน้าระรื่นอย่างภาคภูมิใจ เดิมทีนางก็เป็นคนช่างจ้ออยู่แล้ว เปิดปากพูดทีก็พูดไม่หยุด แต่แม่นมหวังที่ได้ยินก็หัวคิ้วกระตุกพลันหยิกแขนปรามนางไปหนึ่งที
“เจ้าพูดให้มันน้อย ๆ หน่อย พูดไม่เป็นก็ไม่ต้องพูด ถ้าจะชมคุณหนูสามก็ชมไปสิ จะไปกระทบถึงฝ่าบาทด้วยทำไม ไม่กลัวว่าตัวเองจะอายุยืนเกินไปก็อย่าเที่ยวลากผู้อื่นลงน้ำไปกับเจ้า”
“ถุย ๆ เมื่อครู่ข้าไม่ได้พูด”
พอนึกได้ซุ่ยเอ๋อร์ก็รีบถอนคำพูดแล้วตีปากตัวเองรัว ๆ เพราะกลัวว่าหัวจะขาดเอา ลู่เซียวซินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก คนอื่น ๆ ก็พากันส่ายหน้าอย่างหน่ายใจ แต่ผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งเค่อนางก็หันไปยิ้มประจบลู่เซียวซินอย่างนึกอะไรขึ้นได้
“จริงด้วยคุณหนู พวกเราไปกว้านซื้อเป็ดกันดีหรือไม่เจ้าคะ เรื่องที่ใช้เป็ดกำราบตั๊กแตนตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ ต่อไปพอข่าวแพร่ออกไป พวกชาวไร่ต้องเร่งไปหาซื้อกันแน่ เราก็ถือโอกาสนี้เอามาเก็งกำไรเสียเลย ดีไหมเจ้าคะ ?”
ซุ่ยเอ๋อร์เห็นว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่จะทำเงินจึงได้แนะนำออกมา ความคิดนี้ของนางมีหลายคนแอบเห็นด้วย แต่ลู่เซียวซินกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“แค่นี้พวกชาวบ้านก็เดือดร้อนจะแย่อยู่แล้ว เหตุใดเราต้องไปปาหินซ้ำเติมพวกเขาอีกล่ะ อีกอย่างข้าเป็นเถ้าแก่เนี้ยค้าข้าว ไม่ได้ค้าเป็ด ไม่ควรไปตัดเส้นทางทำมาหากินผู้อื่น เดี๋ยวก็มีคนอย่างซ่งซยานั่นโผล่มาอีกหรอก”
ถึงลู่เซียวซินไม่คิดจะทำ แต่สุดท้ายแล้วคนอื่นก็ทำอยู่ดี ทว่านั่นก็ไม่เกี่ยวกับนางแล้ว นางแค่ไม่อยากทำอะไรที่มันขัดกับมโนธรรมของตัวเอง
เรื่องที่สามารถใช้เป็ดในการกำจัดการระบาดของฝูงตั๊กแตนนั้น กว่าข่าวจะแพร่ออกไปก็กินเวลาไปเกือบห้าเดือน ทำให้ตอนนี้ทั่วดินแดนต้าเยี่ยนเริ่มขาดแคลนข้าวสารธัญพืช เหล่าพ่อค้าที่หัวใสจึงเริ่มกักตุนเสบียงอาหารเพราะตั้งใจจะเอาไว้โก่งราคาทีหลัง
แต่ทว่ากลับมีเพียงแค่ที่โรงค้าข้าวเหลียงเตี้ยนเท่านั้นที่ยังเปิดขายตามปกติ และขายราคาเท่าเดิม ทำให้จวนใหญ่ ๆ หลายจวนแห่แหนกันมาซื้ออย่างอุ่นหนาฝาคั่งจนเกือบจะเกลี้ยงร้าน
พวกเถ้าแก่ร้านอื่นที่เห็นดังนั้นก็พากันหัวเราะเหยียดหยันอยู่ในใจ คิดว่าอีกฝ่ายค้าขายไม่เป็น สมแล้วที่เป็นเถ้าแก่เนี้ยตัวน้อย เด็กอย่างไรก็ยังคงเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ พวกเขาจะรอดูวันที่โรงค้าข้าวไม่มีสินค้ามาขาย แล้วปิดตัวไป
ทว่าวันรุ่งขึ้น โรงค้าข้าวเหลียงเตี้ยนของลู่เซียวซินก็ยังคงเปิดทำการเช่นเดิม แถมข้าวสารก็ถูกนำมาเติมจนเต็มร้าน ขายดิบขายดีโกยเงินเข้าร้านจนนางแทบจะทำบัญชีไม่ทัน ตบหน้าพ่อค้าเหล่านั้นจนแดงฉานเป็นแถบ ๆ
เพราะพอหลังจากที่ทุกคนรู้วิธีขับไล่ตั๊กแตนแล้ว ข้าวสารก็ไม่ได้ขาดตลาดอีก ทำเอาพวกที่ซื้อไปกักตุนขายไม่ทัน ธัญพืชเก่าเก็บจึงต้องลดราคาแทน
ช่วงกลางยามอิ๋นของฤดูร้อน ในเดือนหกวันที่ยี่สิบสาม ลู่เซียวซินค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา แม้ในยามปกตินางจะตื่นก่อนไก่นอนหลังสุนัข แต่ทว่าวันนี้กลับต่างออกไป
ตอนนี้ ลู่เซียวซินอายุครบสิบห้าปีแล้ว
ซุ่ยเอ๋อร์เข้ามาปรนนิบัติสวมชุดให้กับนางโดยหยิบเป็นชุดผ้าไหมสีขาวปักลวดลายดอกโบตั๋นมา ซึ่งผ้าที่ใช้ตัดเย็บ เถ้าแก่จางให้คนจากเรือนเป็นผู้ตัดเย็บ พอชุดชุดนี้ถูกสวมใส่ลงบนตัวของลู่เซียวซินแล้ว ก็ทำให้สองหญิงรับใช้อดตกตะลึงไม่ได้
ช่างงดงามเหลือเกิน งามราวกับเทพเซียนบนสวรรค์
หวังเซี่ยเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังของลู่เซียวซิน พลางจ้องมองใบหน้างดงามดวงนี้ผ่านบานกระจกทองเหลืองบนโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นก็ค่อย ๆ แปรงผมที่ดำขลับดุจแพรไหมอย่างเบามือ
“คุณหนูของซุ่ยเอ๋อร์ในที่สุดก็ถึงวัยออกเรือนแล้วนะเจ้าคะ” นางคลี่ยิ้มอย่างดีใจ
“แต่ข้ายังไม่อยากแต่งงานออกเรือน”
“เอ๋ ทำไมล่ะเจ้าคะ คุณหนูสามทั้งงดงาม มารยาทดี ชาติตระกูลก็สูงศักดิ์ อีกทั้งยังฉลาดหลักแหลม เอาการเอางาน ต่อให้คิดจะตบแต่งเข้าจวนตระกูลขุนนางใหญ่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
“ซุ่ยเอ๋อร์ เจ้าคิดง่ายเกินไปแล้ว”
เด็กสาวคลี่ยิ้มละมุน พลางทอดสายตาดอกท้อคู่สวยมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก การเลือกคู่ครองของนาง จะว่ายากก็ไม่ยาก จะว่าง่ายก็ไม่ง่าย
หากว่าตัวของนางไม่ได้เกิดมาในตระกูลลู่นางก็คิดจะตบแต่งเข้าตระกูลบัณฑิตหรือพ่อค้าธรรมดา ไม่ต้องสูงศักดิ์มากก็ได้ ขอแค่เป็นคนดี มีคุณธรรม ให้เกียรตินางก็พอ
แต่พอเป็นคนของตระกูลลู่แล้ว เรื่องคู่ครองยังต้องให้บิดามารดาตัดสินใจ ต่อให้นางพยายามปกปิดเรื่องของตระกูล แต่อย่าลืมว่านางมีฝาแฝด ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวเรื่องก็ต้องแดงออกไป
ลู่เซียวซินไม่เข้าใจ ทั้งที่คนในตระกูลลู่รังเกียจชิงชังนางขนาดนั้นแต่ก็ไม่ยอมตัดขาด เห็นนางเป็นเหมือนซี่โครงไก่ที่จะทิ้งไปก็เสียดาย แต่กินไปก็ไร้รสชาติ สถานะของนางถึงได้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่แบบนี้
ซุ่ยเอ๋อร์มองออกว่านางกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ อย่างไรวันนี้ก็เป็นวันปักปิ่นของคุณหนูสาม จะมาทำหน้าเศร้าไม่ได้ เดี๋ยวจะไม่เป็นมงคล นางจึงเบี่ยงประเด็นชวนคุยเรื่องอื่นแทน
หลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ทั้งสามก็เดินออกจากเรือนนอนของลู่เซียวซินมายังโถงกว้าง ซึ่งมีพวกบ่าวรับใช้คนอื่น ๆ มารอนางอยู่ก่อนแล้ว
ซูโหย่วถือถาดทองเหลืองออกมา บนนั้นมีปิ่นอันหนึ่งวางอยู่ ปิ่นอันนี้ถูกส่งมาจากจวนตระกูลลู่ เป็นเพียงแค่ปิ่นธรรมดา ๆ ที่วางขายทั่วไปตามท้องตลาด
ลู่เซียวซินไม่ได้คาดหวังอะไรจากจวนตระกูลลู่นานแล้ว เพราะยิ่งไม่คาดหวัง ก็ยิ่งไม่ผิดหวัง จะปิ่นหยกก็ดี จะปิ่นไม้ก็ช่าง ล้วนเป็นปิ่นเหมือนกัน แค่ใช้เกล้าผมได้ก็พอ ตอนนี้นางก็ไม่ได้ขาดเงิน ไว้เจออันที่ถูกใจนางค่อยซื้อของนางเองก็ได้
เมื่อคิดเช่นนั้น ลู่เซียวซินค่อยก้าวมาด้านหน้าสามก้าว จากนั้นก็หันกลับไปหาแม่นมหวังก่อนจะยอบกายค่อย ๆ คุกเข่าลง สำหรับนางแล้ว ถึงแม่นมหวังจะไม่ใช่ผู้ที่อุ้มท้องคลอดนางออกมา แต่บุญคุณที่เลี้ยงดูมา ก็ไม่ต่างจากมารดาผู้ให้กำเนิด การที่นางให้อีกฝ่ายเป็นคนปักปิ่นให้ ย่อมถูกต้องเหมาะสมแล้ว
หวังเซี่ยกระบอกตาร้อนผ่าวเอ่อรื้นไปด้วยหยาดน้ำใส นางค่อย ๆ เกล้าผมของลู่เซียวซินขึ้นมาจนถึงกลางศีรษะ จากนั้นเอื้อมไปหยิบปิ่นไม้จากถาดทองเหลือง แล้วบรรจงปักลงไปบนมวยผมของลู่เซียวซิน
“คุณหนูของบ่าว ในที่สุดก็ถึงวัยผู้ใหญ่แล้วนะเจ้าคะ”
น้ำตาที่อุตส่าห์ฝืนกลั้นเอาไว้ก็ค่อย ๆ หลั่งออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ลู่เซียวซินขยับลุกขึ้นพยักหน้าคลี่ยิ้มกว้างแล้วสวมกอดหวังเซี่ย ทุกคนต่างแสดงความยินดี บรรยากาศในเรือนแม้จะดูเงียบเหงา แต่ก็ชื่นมื่นอบอุ่นมาก ที่เขาว่าหลั่งน้ำตาแห่งความสุข มันเป็นเช่นนี้นี่เอง
พิธีปักปิ่นของลู่เซียวซินจบลงอย่างเรียบง่าย ซึ่งแตกต่างจากจวนสกุลลู่ในยามนี้ ที่ได้เชิญแขกเหรื่อมาจนเต็มเรือน
ลู่จางเซินและฮูหยินใหญ่ฉีกยิ้มไม่หุบมาตั้งแต่เช้า อีกทั้งยังมีแขกที่ไม่คาดฝันอย่างองค์ชายรองให้เกียรติมาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย
อันที่จริง ก็ไม่ใช่ว่าไม่คาดฝัน แต่ลู่จางเซินรู้อยู่ก่อนแล้ว เขาไม่ได้แค่จะเข้าร่วมกับองค์ชายรองอย่างเดียว แต่ยังคิดจะเกี่ยวดองกับอีกฝ่ายด้วย
ถังกุ้ยเฟยที่เป็นมารดาขององค์ชายรอง และเป็นลูกพี่ลูกน้องกับฮูหยินใหญ่ก็เห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้ และในวันนี้ที่เยี่ยนจงเหมียนมาร่วมงาน ก็เหมือนเป็นการมาดูตัวว่าที่พระชายากลาย ๆ
แต่ทันทีที่ได้เห็นหญิงสาว เขาก็ตกหลุมรักอีกฝ่ายในทันที ว่ากันว่าฮูหยินใหญ่ของจวนตระกูลลู่เคยได้ฉายาว่าสาวงามอันดับหนึ่งแห่งต้าเยี่ยนมาก่อน ไม่คิดเลยว่า บุตรสาวของนางเองก็ได้รับสืบทอดใบหน้าอันงามล้ำนี้มาด้วยเช่นกัน
หากบอกว่าถังฮูหยินคือสาวงามอันดับหนึ่ง เช่นนั้นลู่เซียวซูก็คือเทพเซียนที่จุติลงมาเกิดแล้ว
แต่ทว่าที่เยี่ยนจงเหมียนมาในคราวนี้ ไม่ได้มาเพราะเรื่องของว่าที่พระชายาเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาคุยเกี่ยวกับการลักลอบค้าเกลือที่ลู่จางเซินกำลังทำอยู่ตอนนี้ด้วย
ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าขุนนางห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการค้าเกลือ เพราะมันส่อแววทุจริตได้ง่าย อาศัยช่องโหว่เพียงแค่เล็กน้อยก็กอบโกยเงินเข้ากระเป๋าได้มากมายมหาศาล
ซึ่งตอนนี้องค์ชายรองก็คิดจะทำเช่นนั้น การจะก้าวขึ้นไปเป็นองค์รัชทายาทได้ อาศัยแค่ความสามารถอย่างเดียวมันไม่พอ แต่ต้องอาศัยอำนาจด้วย ซึ่งอำนาจที่ว่านั่นก็ยังต้องใช้เงินทองมาเป็นปัจจัย
และเพื่ออยากเอาใจองค์ชายรอง ลู่จางเซินก็เลยยินยอมให้อีกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ยิ่งต่างฝ่ายต่างพึ่งพาอาศัยกัน เท่านี้พวกเขาก็เหมือนกับลงเรือลำเดียวกันแล้ว
แต่หารู้ไม่ว่า การกระทำทั้งหมดของพวกเขา ล้วนตกอยู่ในสายตาของใครบางคน
ภายในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้ ฎีกาฉบับหนึ่งได้ถูกทูลถวายอย่างลับ ๆ หลังจากที่พระองค์ทรงหยิบขึ้นมาอ่าน แววตาที่คมเข้มดุจหยดหมึกก็ยิ่งค่อย ๆ ฉายแววเข้มขึ้น
เรื่องที่ช่วงนี้เหล่าบรรดาองค์ชายต่างก็กำลังแก่งแย่งชิงดีกัน เขารู้นานแล้ว แต่ก็แสร้งทำเป็นลืมตาข้างหลับตาข้าง คอยมองอย่างเงียบ ๆ ดีเสียอีกจะได้เป็นการพิสูจน์ฝีมือให้ได้รู้กันไปว่าผู้ใดเหมาะสมกับตำแหน่งองค์รัชทายาทที่สุด
สำหรับเขาแล้ว การจะได้ขึ้นมาเป็นฮ่องเต้ นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรอันสูงส่ง จะต้องเป็นให้ได้ทั้งปีศาจและนักบุญ เดิมทีแล้วก็ไม่คิดหวังหรอกว่าเหล่าองค์ชายจะใจซื่อมือสะอาดกันทุกคน
สมัยที่เขายังเป็นองค์ชายและได้แย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทเองก็เป็นเช่นนี้ เพียงแต่ หากทำสิ่งใดก็อย่าให้ผู้อื่นจับจุดอ่อนได้ ไม่เช่นนั้นภัยจะมาถึงตัว
เรื่องที่เหล่าองค์ชายกำลังเล่นสนุกกัน เขามองข้ามได้ แต่สำหรับขุนนางแล้วนั่นก็อีกเรื่อง
“ขันทีฟั่น หยิบราชโองการมาให้เรา”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ขันทีฟั่นรีบทำตามรับสั่ง หยิบม้วนราชโองการมาวางไว้เบื้องหน้าพระพักตร์ แล้วถอยกลับไปยืนที่เดิม
ฮ่องเต้เยี่ยนอู่เฉิงหยิบพู่กันขึ้นมาจุ่มหมึกแล้วบรรจงเขียนราชโองการด้วยพระองค์เอง หลังจากที่รอให้หมึกแห้งสนิทแล้วค่อยหยิบตราขึ้นมาประทับ ก่อนจะคลี่ยิ้มมุมปากออกมา
“นี่ถือเป็นการตักเตือน”
