บท
ตั้งค่า

บทที่ 7 เถ้าแก่เนี้ยตัวน้อย

บทที่ 7 เถ้าแก่เนี้ยตัวน้อย

เพราะต้องดิ้นรนให้ตัวเองอยู่ให้รอด โดยปราศจากอ้อมกอดของบิดามารดา ทำให้ตอนนี้ลู่เซียวซินได้กลายเป็นเถ้าแก่เนี้ยตัวน้อยไปแล้ว แต่เนื่องจากกิจการค้าข้าวของนางเพิ่งจะเปิดเพียงไม่กี่วันก็ขายดิบดีเกินไปจนสร้างความไม่พอใจให้กับคู่แข่งของนาง

ที่มุมอับแห่งหนึ่งไม่ไกลจากร้านของลู่เซียวซิน ซ่งซยาเถ้าแก่โรงค้าข้าวฉู่หลันได้แต่ยืนกำหมัดแน่น จ้องมองบรรดาลูกค้าที่เข้าออกร้านของลู่เซียวซินไม่ขาดสาย

เพราะได้ทำความรู้จักกับพ่อค้าเร่ผ่านทางเถ้าแก่จางทำให้เมล็ดข้าวและธัญพืชที่ลู่เซียวซินนำมาขายมาจากหลายแหล่ง ทั้งอานฮุย หูเป่ย์ และเจียงซู จึงไม่แปลกที่ร้านของนางจะได้รับความนิยม

แต่สำหรับซ่งซยาแล้ว เด็กสาวก็เหมือนหินขวางเท้าก้อนหนึ่งบนเส้นทางแห่งความเจริญรุ่งเรืองของนาง ก่อนหน้านี้เพราะไม่มีคู่แข่ง ทำให้นางจะตั้งราคาขายอย่างไรก็ได้ พอมาตอนนี้นางกลับถูกเถ้าแก่เนี้ยตัวน้อยนั่นชิงตัดราคา ทำให้โรงค้าข้าวฉู่หลันของนางแทบร้างผู้คน

อันที่จริงลู่เซียวซินไม่ได้มีเจตนาขายตัดราคาแต่อย่างใด นางแค่ค้าขายอย่างยุติธรรมเท่านั้น แต่สำหรับคนที่จิตใจมืดบอด ย่อมไม่คิดเช่นนั้น ซ่งซยากำหมัดกัดฟันจนกรามแทบแตก กระทั่งนางคิดแผนการหนึ่งขึ้นมาได้ จึงได้ผละไปจากตรงนั้น

“คุณหนูสาม วันนี้ก็ค้าขายรุ่งเรืองอีกแล้วนะเจ้าคะ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานก็จ่ายค่าที่ทั้งหมดคืนให้กับเถ้าแก่จางได้แล้ว”

ซุ่ยเอ๋อร์ช่วยพวกอาเหอกับอาตงเก็บร้าน ส่วนลู่เซียวซินก็มานั่งทำบัญชี กระทั่งเวลาล่วงเลยไปถึงช่วงปลายยามโหย่ว ทั้งหมดจึงพากันกลับ

ในเช้าวันต่อมา พวกเขามาเปิดร้านตามปกติ แต่ทว่าทันทีที่เปิดประตูกลับพบว่าภายในร้านเละตุ้มเป๊ะ ข้าวของกระจัดกระจาย ราวกับด้านในนี้เกิดภัยพิบัติขึ้นอย่างไรอย่างนั้น

คิ้วเรียวยาวของเด็กสาวขมวดมุ่นเข้าหากันทันที ต่อให้ไม่ต้องขบคิดก็รู้ว่า ร้านของนางถูกเล่นงานเสียแล้ว แต่ที่นางไม่เข้าใจคือ นางค้าขายของนางอยู่ดี ๆ ไม่เคยเอาเปรียบใคร หรือสร้างความโกรธแค้นให้กับใคร แล้วทำไมถึง...

ไม่สิ ไม่ถูก หากบอกว่าไม่ได้สร้างความโกรธแค้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว ทำการค้า ไหนเลยจะไม่มีคู่แข่ง ดังนั้นคนที่จะโกรธแค้นนางย่อมต้องเป็นคู่แข่งของนางอยู่แล้ว ประเด็นคือ คนผู้นั้นเป็นใคร

เถ้าแก่จางที่รู้ว่าร้านเหลียงเตี้ยนเกิดเรื่องก็รีบรุดมาดูทันที

“ไอหยา ทำไมถึงได้เละเทะแบบนี้ ฝีมือของใครกัน”

เขาให้เด็กในร้านที่พามาด้วยไปช่วยลู่เซียวซินเก็บของทำความสะอาด ซุ่ยเอ๋อร์กับแม่นมหวังที่เก็บกวาดอยู่ด้านในก็ผรุสวาทคำด่าออกมาเป็นชุด

“เซียวซิน เจ้าไม่ต้องห่วง เดี๋ยวข้าจะให้คนไปสืบดูเองว่าเป็นฝีมือใคร เห็นอย่างนี้ข้าเองก็พอมีเส้นสาย”

เถ้าแก่จางเดินมาตบไหล่นางอย่างปลอบขวัญ ลู่เซียวซินแม้จะเก่งกาจฉลาดเกินเด็กสาวทั่วไป แต่อย่างไรนางก็เป็นสตรี แถมอายุยังไม่ถึงวัยปักปิ่นด้วยซ้ำ เพิ่งเปิดกิจการมาก็เจอเรื่องแบบนี้เสียแล้วทำเอานางตื่นตระหนกไม่น้อย

“เซียวซินขอบคุณน้ำใจเถ้าแก่จางจริง ๆ เจ้าค่ะ”

ก็ไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้ว ที่นางได้รับการช่วยเหลืออุ้มชูจากอีกฝ่าย เถ้าแก่จางในสายตาของนางก็เหมือนกับบิดาคนหนึ่งไปแล้ว

ผ่านไปสองชั่วยามร้านก็ถูกเก็บกวาดร้านจนเรียบร้อย โรงค้าข้าวเหลียงเตี้ยนจึงกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง โชคดีที่แม้ด้านในจะเละเทะ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดสูญหาย ภายหลังเถ้าแก่จางก็ให้เด็กเอาข่าวที่ตนเองสืบได้มาบอกกับลู่เซียวซิน

“นั่นปะไร ข้าว่าแล้วว่าต้องเป็นฝีมือของพวกโรงค้าข้าวฉู่หลัน ซ่งซยานั่น”

ซุ่ยเอ๋อร์ตบเข่าดังฉาดอย่างแค้นเคือง นางเรียกอาเหอ อาตง พร้อมกับพวกซูโหย่วให้มาช่วยนางไปถล่มที่ร้านฉู่หลันเพื่อเป็นการเอาคืน คนพวกนั้นก็ช่างอาจหาญนัก หากได้รู้ว่าคุณหนูสามของพวกเขาเป็นบุตรของเสนาบดีฝ่ายซ้ายลู่จางเซิน ดูซิว่ายังมีใครกล้ารังแกคุณหนูของพวกเขาอีกไหม แต่ทุกอย่างก็ได้แค่คิด เพราะในความเป็นจริงที่ลู่เซียวซินมาเปิดโรงค้าข้าวเช่นนี้ คนตระกูลลู่ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำ

ยังไม่ทันที่พวกซุ่ยเอ๋อร์จะได้ออกจากร้านก็ถูกลู่เซียวซินห้ามเอาไว้ ก็ไม่ใช่ว่านางไม่เจ็บแค้น เพียงแต่การเอาคืนด้วยวิธีนี้ก็ไม่ต่างไปจากสุนัขกัดกันขนเต็มปากเปล่า ๆ

“คุณหนู เช่นนั้นหรือท่านมีวิธี ?”

ลู่เซียวซินคลี่ยิ้มก่อนจะกวักมือเรียกให้พวกนั้นมาฟังแผนการใกล้ ๆ

หลังจากที่ปิดประตูลงกลอนเสร็จ พวกลู่เซียวซินก็พากันกลับ แต่ทว่าในมุมมืดกลับมีสายตาหลายคู่กำลังจ้องมองพวกเขาอยู่

“หึ ๆ พวกมันไปกันแล้ว ขนาดร้านถูกทำลายเละเทะแล้วก็ยังไม่ยอมแพ้กันอีก เช่นนั้นคราวนี้ข้าจะให้มันพังกว่าเดิม พวกเจ้าลงมือ !!”

สิ้นเสียงของซ่งซยา เหล่าชายฉกรรจ์นับสิบก็ย่องไปทางหลังร้านแล้วงัดเข้าไปในร้านของลู่เซียวซินอย่างอุกอาจ จากนั้นก็เริ่มทำลายข้าวของเสียงดังโครมคราม

แอ๊ด ~

จู่ ๆ เสียงเปิดประตูร้านก็ดังมาจากด้านหน้า กลุ่มชายฉกรรจ์และซ่งซยาจึงได้หันไปมอง

“จับคนพวกนั้นไว้ !”

สิ้นคำสั่ง เหล่าทหารนับสิบก็ปรี่เข้าไปล็อกตัวชายกลุ่มนั้นพร้อมกับซ่งซยาเอาไว้ นางตาลีตาเหลือกรีบปฏิเสธ แต่หลักฐานเต็มตาขนาดนี้ ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ช่วยอะไรนางไม่ได้อีกแล้ว

“ท่านผู้ตรวจการ ข้าเปล่า ข้าไม่ได้...”

“หุบปาก ! รีบเอาคนพวกนี้ไปไต่สวน !”

“ท่านผู้ตรวจการหลี่ ข้าน้อยต้องขอบคุณท่านจริง ๆ ที่มาช่วย ไว้คราวหน้าข้าจะเลี้ยงสุราตอบแทนท่าน”

เถ้าแก่จางประสานมือค้อมกายคารวะอีกฝ่าย ซึ่งผู้ตรวจการหลี่คนนี้ เป็นบุตรชายของหลี่ฮ่าว เพื่อนสนิทของเถ้าแก่จางอีกที ลู่เซียวซินและคนอื่น ๆ เองก็คารวะอีกฝ่ายเช่นกัน

“เหตุใดต้องเลี้ยงสุราตอบแทน การดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองก็เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว เถ้าแก่จางท่านก็อย่าได้เกรงใจไป เช่นนั้นข้ากลับไปที่ศาลต้าหลี่ก่อน ไว้ได้ความแล้วจะรีบแจ้งข่าวกลับมา”

“ผู้ตรวจการหลี่ค่อย ๆ เดิน”

ชายหนุ่มตวัดขาขึ้นขี่ม้าคู่ใจก่อนจะมุ่งกลับไปยังศาลต้าหลี่ ส่วนคนอื่น ๆ ที่มองตามหลังของอีกฝ่ายก็ได้แต่ถอนหายใจกันอย่างโล่งอก ที่เรื่องราวจบลงด้วยดี

“เจ้าฉลาดมากที่คิดว่าคนพวกนั้นจะต้องลงมือซ้ำ ข้าจึงได้ไปขอให้ผู้ตรวจการหลี่มาคอยช่วยได้” เถ้าแก่จางยกมือลูบหัวอีกฝ่าย

“เฮ้อ คนเราก็นะ…ทางไปสวรรค์มีก็ไม่เดิน ดันกระโดดลงประตูนรกเสียอย่างนั้น” แม่นมหวังได้แต่ทอดถอนใจ แม้ว่าเรื่องนี้จะคลี่คลายลงไปได้แล้ว แต่ก็ใช่ว่าต่อไปจะไม่มีคนอย่างซ่งซยาโผล่มาอีก นางจึงอดเป็นห่วงลู่เซียวซินไม่ได้

นับจากเหตุร้ายในคราวนั้น ก็ไม่มีเรื่องใหญ่อันใดเกิดขึ้นอีก ตอนนี้กิจการของนางอยู่ตัวแล้ว จึงได้ไว้วางใจจ้างคนให้มาทำงานแทน เหลือแค่บัญชีที่ยังต้องเป็นนางที่ต้องจัดการเอง

แต่เรื่องดีก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อพวกอาเหอรีบมาแจ้งข่าวว่าช่วงนี้มีฝูงตั๊กแตนบุก ซึ่งฝูงตั๊กแตนพวกนี้ได้อพยพมาจากฝั่งมองโกลแล้วไล่กินพืชไร่ของพวกชาวนา เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในภัยพิบัติครั้งใหญ่ของต้าเยี่ยนเลยก็ว่าได้

ฝูงตั๊กแตนพวกนี้วางไข่ทีหนึ่งก็นับล้านตัว แถมยังกำจัดยาก เป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกชาวไร่ชาวสวนเลยทีเดียว ฮ่องเต้เองก็ทรงกลัดกลุ้ม เนื่องจากยังคิดหาวิธีรับมือกับเรื่องนี้ไม่ได้ แต่หากปล่อยไว้ไม่เร่งจัดการ เกรงว่าพวกข้าวสารและผลผลิตทางการเกษตรคงต้องขาดแคลนอย่างแน่นอน

ลู่เซียวซินที่ได้รู้ข่าว ก็ไม่มีกะจิตกะใจจะนั่งจิบชาแทะกินขนมเปี๊ยะอีกแล้ว เนื่องจากนางเป็นเถ้าแก่ค้าข้าว ดังนั้นเรื่องนี้จึงส่งผลกระทบกับนางโดยตรง

“ไปเร็วอาเหอ รีบพาข้าไปดู”

นางรีบขึ้นเกวียนแล้วให้อาเหอขับ จากนั้นก็พากันมุ่งหน้าไปยังอำเภอเชียงเหอ ซึ่งเป็นแหล่งพื้นที่เพาะปลูกที่นางมาซื้อผลผลิตเพื่อเอาไปขาย

“เยอะขนาดนี้เชียว”

นางตกใจมองฝูงตั๊กแตนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา พลางเหลือบไปเห็นเจ้าของที่ดินกำลังใช้สารหนูในการขับไล่ตั๊กแตนพอดีจึงรีบร้อนเข้าไปห้าม

“หยุดก่อน ๆ นั่นท่านจะทำอันใดเจ้าคะ ?”

“อ้าว คุณหนูลู่เองหรือ ข้าน้อยก็กำลังจะใช้สารหนูกำจัดตั๊กแตนพวกนี้อย่างไรล่ะ”

“ไม่ได้ ๆ ท่านทำแบบนี้ไม่ได้ หากฉีดสารหนูลงบนแปลงนา เช่นนั้นข้าวสารก็พลอยได้รับพิษปนเปื้อนไปด้วยน่ะสิ หากมีคนเอาไปกินรับรองว่าได้ล้มหมอนนอนเสื่อ เผลอ ๆ เกิดเป็นโรคระบาดอื่นขึ้นมาอีกจะยิ่งแย่เอานะเจ้าคะ”

“แต่หากไม่ทำเช่นนี้ ข้าน้อยก็จนปัญญาแล้ว คุณหนูท่านดูนั่นสิ ตรงแปลงนั้นถูกพวกตั๊กแตนกินจนหมดแทบไม่เหลือแล้ว ข้าเองก็ยังมีอีกหลายชีวิตให้ต้องเลี้ยงดูนะ”

“ท่านเสิ่น อย่างไรก็ใจเย็น ๆ ก่อน เดี๋ยวตั๊กแตนพวกนี้ข้าจะลองคิดหาวิธีจัดการดู”

เสิ่นถิงเลิกคิ้วจ้องมองเด็กสาว แม้ลู่เซียวซินจะเป็นเถ้าแก่น้อยที่ฉลาดเกินวัย แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็น่าจะเกินกำลังของนาง ไม่อย่างนั้นฝ่าบาทคงไม่ต้องปวดหัวเรียกประชุมขุนนางให้รีบคิดหาวิธีหรอก

ลู่เซียวซินหลับตาคิดอยู่หนึ่งเค่อเต็ม ๆ ในที่สุดนางก็ลืมตาขึ้น

“เคยมีสำนวนว่าตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลังใช่หรือไม่ หากคนโบราณว่าไว้เช่นนั้น นั่นก็หมายความว่านกขมิ้นต้องกินตั๊กแตนกับจักจั่นได้”

พอนางพูดขึ้นมาแบบนั้น เสิ่นถิงจึงค่อยสนใจแล้ววางอ่างที่ใส่สารหนูลงก่อนจะเดินมาหานาง

“คุณหนูลู่จะบอกพวกข้าให้ใช้นกขมิ้น ?”

“ความหมายของข้าคือ เป็นไปได้ว่าสัตว์ปีกจำพวกนกจะต้องกินตั๊กแตนเป็นอาหาร แต่การจะต้อนนกที่อยู่บนฟ้าให้มากินตั๊กแตนมันเป็นเรื่องยากมาก เกรงว่าคงเกินกำลัง” นางเว้นช่วงไปก่อนจะทำหน้าครุ่นคิดอีกครั้งแล้วเอ่ยขึ้น

“แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นสัตว์ที่จับง่าย ๆ อย่างเช่น เป็ดหรือไก่แทนล่ะ ?”

ดวงตาดอกท้อของนางเปล่งประกายอัดแน่นไปด้วยความหวัง เดิมทีลู่เซียวซินก็เป็นคนที่คิดเร็วทำเร็วอยู่แล้ว พอนางมีความคิดอะไรดี ๆ ก็อยากลองทำเลย

ไม่รอช้า นางให้อาเหอไปซื้อเป็ดกับไก่จากชาวบ้านมาอย่างละคู่ พอได้มาแล้วก็เอาไปปล่อยไว้ในไร่นา และเป็นไปตามที่นางคิด เป็ดกับไก่ที่ปล่อยไปไล่จิกกินพวกตั๊กแตนอย่างเอร็ดอร่อยราวกับเจอโต๊ะจีน

“กินจริงด้วย !”

เสิ่นถิงร้องตะโกนออกมาอย่างประหลาดใจระคนดีใจ รีบไปบอกให้พวกคนในไร่นาไปหาซื้อเป็ดกับไก่มา แต่ลู่เซียวซินรีบขัด บอกว่าซื้อแค่เป็ดก็พอ เป็ดตัวหนึ่งกินตั๊กแตนได้ตั้งเกือบสองร้อยตัว ส่วนไก่ ตั้งนานแล้วก็กินได้แค่นิดเดียว เสิ่นถิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง แล้วบอกให้พวกของตนไปซื้อแค่เป็ดมาก็พอ

“คุณหนูลู่ ท่านนี่มันราวกับเทพเซียนมาเกิดจริง ๆ”

เสิ่นถิงร้องออกมาอย่างดีใจ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel