บทที่ 6 บุตรชายของสำนักเมฆา
บทที่ 6 บุตรชายของสำนักเมฆา
“องค์ชาย ดูเหมือนว่าคนพวกนั้นเริ่มเคลื่อนไหวกันแล้วพ่ะย่ะค่ะ คนของกระหม่อมรายงานว่าเห็นเสนาบดีลู่กำลังเรียกคนใต้อาณัติให้ไปพบ”
“หากเป็นไปตามที่เจ้าคาดการณ์ ตอนนี้เสนาบดีลู่กับพวกก็ไปเข้ากับฝั่งของน้องรองแล้วใช่หรือไม่”
ชายหนุ่มร่างสูงบรรจงตวัดพู่กันลงบนกระดาษเซวียนจื่ออย่างคล่องแคล่วโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองคู่สนทนา ไม่นานบทกวีแถวหนึ่งของตู้ฝู่ก็ปรากฏอยู่บนนั้น ตัวอักษรที่เขาเขียนช่างดูมีชีวิตชีวาและทรงพลัง แตกต่างจากภาพลักษณ์ของเขาในสายตาผู้คน
องค์ชายใหญ่เยี่ยนจงเป่า เขาคือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญรอบด้าน ทั้งหมาก พิณ อักษร และภาพ เพราะได้รับการสั่งสอนจากกุนซือปราชญ์ผู้ช่ำชองมาตั้งแต่วัยเยาว์
แต่เพราะมารดาของเขา ฮองเฮาโจวทรงสิ้นพระชนม์ไปก่อนด้วยแผนร้ายของคนในวังหลัง ทำให้ไทเฮาจำต้องปกป้องเขาสุดกำลัง เพราะว่ากันตามหลักแล้ว ฮองเฮาโจวก็เป็นพระญาติสายนอกเพียงคนเดียวของไทเฮา ฉะนั้นนางจึงรักและเอ็นดูเยี่ยนจงเป่ายิ่งกว่าหลานคนไหน ฮ่องเต้เองก็ทรงมองออก หลายปีมานี้ที่เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับองค์ชายใหญ่ ส่วนหนึ่งก็เพื่อปกป้องอีกฝ่ายจากมือมืดที่มองไม่เห็น
“อย่างไรช่วงนี้พระองค์ก็ต้องทรงระวังตัวเอาไว้ให้ดี ต่อไปกระหม่อมก็ไม่สามารถอยู่เคียงข้างพระองค์ได้แล้ว”
“หลิวเฮ่อสือ เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?”
เยี่ยนจงเป่าชะงักมือที่กำลังจะเขียนแถวต่อไป ก่อนจะเหลือบสายตามองสหายร่วมศึกษาคนสนิทของเขา หลิวเฮ่อสือ บุตรชายคนโตของสำนักเมฆา สำนักคุ้มภัยอันดับหนึ่งแห่งต้าเยี่ยน แม้ภายนอกจะดูเป็นคนเย็นชาเข้าถึงยาก แต่จริง ๆ แล้วกลับเป็นคนที่อ่อนโยน ใจกว้าง น่าคบหาคนหนึ่ง
เมื่อสมัยที่เยี่ยนจงเป่าอายุได้เจ็ดชันษา เขาได้ติดตามฮ่องเต้ออกไปนอกเมืองเพื่อร่วมการแข่งขันล่าสัตว์ แต่เขาเกือบถูกมือสังหารฆ่าตาย ทว่าก็รอดมาได้ เพราะได้หลิวเฮ่อสือช่วยเอาไว้ ซึ่งตอนนั้นอีกฝ่ายก็ได้ติดตามบิดาที่ได้รับหน้าที่ให้มาคุ้มกันให้กับฮ่องเต้ด้วยเช่นกัน
ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองอายุเท่ากันแท้ ๆ แต่หลิวเฮ่อสือกลับมีวามสามารถโดดเด่นเก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ เยี่ยนจงเป่าที่เคารพนับถืออีกฝ่ายจึงได้ไปทูลขอกับบิดาว่าให้หลิวเฮ่อสือมาเป็นสหายร่วมศึกษาของตน ทั้งคู่จึงได้สนิทกันนับแต่นั้นเป็นต้นมา แต่พออีกฝ่ายบอกว่าจะไม่ได้อยู่ข้างกายเขาแล้ว ก็ทำเอาเยี่ยนจงเป่าใจหายไม่น้อย
“เมื่อเช้าบิดาของกระหม่อมเพิ่งส่งจดหมายมาเรียกตัวให้กระหม่อมกลับไปที่สำนัก คิดว่าคงไม่พ้นเรื่องผู้สืบทอด แต่องค์ชายไม่ต้องเป็นกังวล เดี๋ยวกระหม่อมจะทิ้งคนของกระหม่อมไว้ส่วนหนึ่งคอยรับใช้ข้างกายองค์ชาย หากเกิดเรื่อง ก็ให้พวกเขาส่งข่าวถึงกระหม่อม แล้วกระหม่อมจะรีบมาทันที”
คราวนี้เยี่ยนจงเป่าวางพู่กันของตัวเองลงในที่สุดแล้วถอนหายใจออกมา
“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องความปลอดภัยของตัวเอง ข้าแค่เสียดายที่จะไม่ได้อยู่เล่นสนุกกับเจ้าอีกแล้วต่างหาก”
ถึงอยากจะรั้งอีกฝ่ายไว้ แต่เยี่ยนจงเป่ารู้ดีว่า ทุกคนย่อมมีหน้าที่ของตัวเองที่ต้องไปทำ จะมามัวเล่นสนุกเหมือนเด็ก ๆ ต่อไปไม่ได้แล้ว ตัวเองเขา จากนี้ไปก็ต้องคิดจริงจังเรื่องการที่จะได้ขึ้นไปเป็นองค์รัชทายาทเช่นกัน
“หากถึงวันที่พระองค์ได้รับแต่งตั้งให้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทเมื่อไร กระหม่อมจะรีบลงเขามาร่วมดื่มสุรามงคลฉลองให้พระองค์อย่างแน่นอน”
“ดีมาก ยังคงเป็นเฮ่อสือที่รู้ใจข้าที่สุด”
ทั้งคู่ยังคงสนทนาเรื่องแผนการรับมือกับพวกฝ่ายตรงข้ามจนใกล้เกือบถึงเวลาประตูวังปิด หลิวเฮ่อสือถึงได้ขอตัวกลับ เรื่องที่เขาเป็นบุตรชายของเจ้าสำนักเมฆามีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ ทำให้เหล่าองค์ชายไม่ได้คอยระวังพวกเขามากนัก
อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่หลิวเฮ่อสือกลับสำนัก ชายหนุ่มจึงได้แวะมาที่ตลาดเพื่อซื้อของฝาก อันที่จริง ของฝากส่วนหนึ่งเขาได้ให้คนจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว แต่อย่างไรก็อยากมาเดินเลือกด้วยตาตัวเองเช่นกัน
ประจวบเหมาะกับในตอนนี้ที่ตลาด มีคุณหนูสูงศักดิ์จากตระกูลหนึ่งแอบออกมาเที่ยวเล่นพอดี ที่ข้างกายของนางมีบ่าวรับใช้ทั้งหญิงชายติดตามมาเกินสิบคน ทำเอาผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาจำต้องหลีกทางให้กับพวกนาง
เพราะถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจมาตั้งแต่เด็กทำให้นางมีนิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจ จะไปไหนทำอะไรก็ต้องมีบ่าวคอยปรนนิบัติรับใช้ แต่หากทำไม่ถูกใจก็จะถูกนางโบยจนตาย
โลกนี้ก็เป็นเช่นนี้ แค่อาศัยความสูงศักดิ์ก็เที่ยวมารังแกคนต่ำต้อย ข่มเห่งคนอ่อนแอ
“นั่นมันคุณหนูรองตระกูลลู่นี่นา นางมาที่นี่อีกแล้ว”
หญิงสาวชาวบ้านต่างพากันหันไปซุบซิบ แล้วรีบจูงไม้จูงมือกันเดินหลบไป ลู่เซียวซูเพียงแค่ชำเลืองสายตามองแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร กระทั่งนางมาหยุดยืนอยู่ที่ร้านเครื่องประดับร้านหนึ่ง แต่ภายในร้านกลับมีคนเบียดเสียดกันอยู่ ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจ
“พวกเจ้า รีบไปลากตัวคนพวกนั้นออกไปให้หมด ข้าจะเข้าไปเลือกของ”
คำสั่งเฉียบขาดของนางทำให้คนที่ได้ยินถึงกับอึ้ง พวกบ่าวรับใช้ที่ติดตามมา แม้จะอยากทำตามคำสั่งของผู้เป็นนาย แต่ว่านี่ก็ออกจะเกินไปหน่อย จึงได้ยืนยึกยักอยู่กับที่ กลับเป็นหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกค้าและเลือกดูสินค้าอยู่ก่อนแล้วส่งยิ้มเหยียดให้กับนาง
“ที่ร้านนี่ไม่ใช่ทรัพย์สินของบ้านเจ้าเสียหน่อย เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาไล่คนออกไป”
“หึ ! ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็บุตรสาวอนุของจวนสกุลเหวินนี่เอง ว่าอย่างไร มารดาของเจ้าสบายดีหรือไม่ ข้าได้ยินว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนนางถูกฮูหยินใหญ่จ้าวลากตัวไปทุบตีนอกจวน ไม่ทราบว่าตอนนี้แผลของนางหายดีแล้วหรือ”
“เจ้า !”
ใบหน้าที่ยังอ่อนวัยของลู่เซียวซูคลี่ยิ้มน่ารัก ทำเอาผู้คนที่เผลอมองต่างลุ่มหลง ทว่าต่อมาก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มร้ายกาจ มองคุณหนูเหวินจู้ผู้นั้นราวกับมองคนตาย
“พวกเจ้ามัวยืนนิ่งอะไรอยู่ รีบ ๆ ลากตัวนางออกไปให้พ้น ๆ หน้าข้า ข้าไม่อยากใช้อากาศหายใจร่วมกับคนชั้นต่ำอย่างนี้ !”
หญิงรับใช้ของเหวินจู้รีบเอาตัวเองเข้ามาขวาง แต่กลับถูกบ่าวชายของลู่เซียวซูจับล็อกไว้ ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะถูกจับโยนออกจากร้าน ที่หน้าประตูก็พลันมีชายหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น ท่อนขายาวของเขาค่อย ๆ ก้าวเข้ามาในร้าน ขณะที่กำลังเดินผ่านลู่เซียวซู หลิวเฮ่อสือก็ปรายสายตามองนางอย่างเฉยเมย แล้วเดินผ่านนางไปราวกับเห็นนางเป็นแค่ฝุ่นผงเม็ดหนึ่งเท่านั้น
ถึงแม้ชายหนุ่มจะไม่ได้อยู่ในอาภรณ์หรูหรา แต่ด้วยเครื่องหน้าที่หล่อเหลาคมคาย ดวงตาคมเข้มดุจหยดหมึก ยามที่ตวัดมองก็ทำเอาคนรู้สึกหวั่นเกรง ไม่มีใครกล้าคิดว่าเขาเป็นคนธรรมดาเลยสักคน ซ้ำยังคิดว่าอาจจะเป็นองค์ชายพระองค์ใดพระองค์หนึ่งปลอมตัวออกมาเที่ยวเล่นนอกวังเสียด้วยซ้ำ
แต่ลู่เซียวซูไม่ได้คิดเช่นนั้น สิ่งที่นางเกลียดที่สุดคือสายตาดูถูกเหยียดหยาม แม้อีกฝ่ายจะทำเพียงแค่มองเมินนาง แต่นั่นก็คือการหยามเกียรตินางแล้ว นางเป็นถึงบุตรสาวของเสนาบดีฝ่ายซ้าย คนต่ำต้อยพรรค์นี้กล้าทำแบบนี้กับนางได้หรือ
นางหันไปส่งสัญญาณให้บ่าวรับใช้ที่เหลือไปจัดการคนผู้นั้น แต่ยังไม่ทันได้ประมือแม้แต่กระบวนท่าเดียว บ่าวรับใช้ทั้งสี่ก็ล้มลงไปกองอยู่บนพื้น โดยที่ตาเนื้อแทบจะมองตามไม่ทันว่าชายหนุ่มทำอะไรลงไป
ภายในร้านเงียบกริบ แม้แต่เข็มเล่มหนึ่งหล่นบนพื้นก็ยังได้ยินก้องไปทั่ว ชายหนุ่มเดินไปหยิบสิ่งที่ตัวเองต้องการ จากนั้นก็ควักเงินออกมาจ่ายให้กับเถ้าแก่เจ้าของร้าน เรียกได้ว่าใช้เวลาไปเพียงแค่ชั่วหนึ่งจิบชาเท่านั้น ก่อนจะเดินกลับออกมา
ลู่เซียวซูที่ตั้งสติได้ก็กรีดร้องจนแสบแก้วหูพลันชี้หน้าชายหนุ่มอย่างไม่ยินยอม แรงคุกคามอันไร้รูปร่างแผ่ซ่านออกมากดทับอยู่ในอากาศ ทำให้ผู้คนโดยรอบรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน
“ขอเตือนเจ้า ว่าอย่าได้มายุ่งกับข้าอีก ต่อให้เจ้าเป็นบุตรสาวของตระกูลสูงศักดิ์ ก็อย่าหาว่าข้าไร้ความปรานี”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทว่ากลับแฝงไว้ด้วยไอสังหารเข้มข้น แค่สายตาที่จ้องมองมานางก็รู้สึกเหมือนลำคอของตัวเองกำลังถูกมือนับสิบบีบลำคอเอาไว้จนส่งเสียงไม่ออกเลยสักแอะ
พูดจบชายหนุ่มก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป ทิ้งให้ลู่เซียวซูได้แต่ยืนหน้าซีดเผือดอยู่ตรงนั้น
อีกด้านหนึ่ง...
ในที่สุดกิจการร้านของลู่เซียวซินก็ได้เปิดทำการ แม้ว่าช่วงแรก ๆ จะวุ่ยวายไปเสียหน่อย แต่เพราะได้เถ้าแก่จางมาคอยช่วย ทำให้นางเปิดกิจการได้อย่างราบรื่น ป้ายหน้าร้านที่สลักชื่อว่า ‘เหลียงเตี้ยน’ ก็ได้เถ้าแก่จางเป็นคนทำให้ เรียกได้ว่าบุญคุณที่อีกฝ่ายมีต่อนาง ไม่รู้ว่าชาตินี้ทั้งชาตินางจะใช้คืนหมดหรือไม่
และก็โชคดีที่ก่อนหน้านี้แม่นมหวังไม่ได้ขายม้าตัวนั้นไป ทำให้ลู่เซียวซินใช้มันมาลากเกวียนในตอนที่ไปขอซื้อข้าวสารธัญพืชจากชาวนา แม้ว่าลู่เซียวซินจะค้าขายเก่งและช่างเจรจาต่อรอง แต่นางก็ไม่เคยกดขี่ผู้อื่น ซื้อขายโดยให้ราคายุติธรรมที่สุด ทำเอาเหล่าชาวไร่ชาวนาต่างก็เอ็นดูนางไม่น้อย นอกจากจะยอมขายข้าวสารให้กับนางแล้ว บางทียังแถมนั่นแถมนี่ให้นางบ่อย ๆ
พวกอาเหอ อาตง และซุ่ยเอ๋อร์เองก็มาช่วยเป็นลูกมือขายของให้นาง ทำให้นางไม่จำเป็นต้องเสียเงินจ้างลูกจ้างเพิ่ม ด้วยทำเลที่เหมาะสม อีกทั้งราคาที่นางตั้งก็ไม่แพง ทำให้ร้านของนางที่เพิ่งเปิดกิจการแค่ไม่กี่วัน ก็เริ่มส่อแววขายดีเป็นเทน้ำเทท่า และตอนที่อยู่ในร้าน ทุกคนต่างก็ไม่ได้เรียกนางว่าคุณหนู แต่เรียกว่าเถ้าแก่
ทำให้หลังจากนั้นในเมืองจึงเกิดเสียงเล่าลือกันว่า เถ้าแก่เนี้ยร้านเหลียงเตี้ยน เป็นเถ้าแก่ตัวน้อยที่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่นด้วยซ้ำ
