บทที่ 5 เติบโต
บทที่ 5 เติบโต
“อวี้เจิง ท่านว่าเสื้อคลุมตัวนี้เหมาะกับข้าหรือไม่”
หญิงสาวหยิบเสื้อคลุมตัวหนึ่งที่ปักลายอย่างประณีตไปลองสวมดูพลางหันไปถามสามีของตนเองอย่างขอความเห็น แม้ที่เรือนจางเสวียนแห่งนี้จะเป็นร้านขายผ้า แต่สินค้าประเภทอื่น อย่างเช่น เสื้อคลุม ผ้าพันคอ หรือถุงมือ ก็มีขายด้วยเช่นกัน แถมการตัดเย็บยังสวยงามและประณีตมาก บรรดาคุณหนูน้อยใหญ่จึงได้ชอบแวะเวียนมาที่นี่
“เซียวเซียวผิวของเจ้าบอบบางขนาดนี้ ข้าว่าใช้เสื้อคลุมขนเตียว อันนี้ดีหรือไม่ นี่ก็ใกล้จะเข้าหน้าหนาวแล้ว ข้าเกรงว่าผิวอันล้ำค่าของเจ้าจะถูกหิมะกัด”
ชายหนุ่มผู้เป็นสามีหันไปหยิบเสื้อคลุมสีขาวที่เย็บด้วยขนเตียวเอามาวางทับไว้บนไหล่ของภรรยาแทน ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหลงใหลและความรักที่มีอย่างท่วมท้น ราวกับคู่สามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่ ๆ
“หากท่านว่าเช่นนั้น งั้นข้าเลือกเสื้อคลุมตัวนี้ก็ได้ ว่าแต่เสื้อคลุมนี่ทำจากขนสัตว์มันจะไม่ซักลำบากไปหน่อยหรือ ข้ากลัวว่าบ่าวไร้วามสามารถพวกนั้นจะทำมันพังอีก คราวก่อนก็ทำชุดใหม่ของข้าเสียหายไปแล้วตัวหนึ่ง”
“คุณหนูท่านนี้ อย่าได้กังวลเลยเจ้าค่ะ ชุดคลุมนี่ซักไม่ลำบากเดี๋ยวข้าจะช่วยบอกวิธีให้ ตอนซักต้องไม่ใช้น้ำแต่ต้องใช้ผงแป้งที่ผสมจากแป้งหมี่กับเกลือเอามาแปรงตรงที่สกปรกเจ้าค่ะ จากนั้นค่อยตบผงแป้งออกเป็นอันใช้ได้แล้ว”
เสียงใสละมุนราวกับธารน้ำไหลของเด็กสาวเอ่ยอย่างคล่องแคล่วทำเอาคนฟังรู้สึกคล้อยตาม ไม่เว้นแม้แต่ลูกค้าคนอื่นยังต้องเหลียวหลังมามอง
กาลค่อยเคลื่อนเลื่อนผ่าน คืนวันพ้นไปอย่างเร็วรี่ ผ่านไปเจ็ดปีแล้วโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ลู่เซียวซินในวัยสิบสี่ปี เติบโตขึ้นมากลายเป็นเด็กสาวแรกแย้มที่งามสง่า ผิวพรรณผุดผ่องขาวเนียน ยามเมื่อต้องแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามา ก็ยิ่งขับเน้นให้ดูส่องประกายยิ่งขึ้น หากบอกว่าเด็กสาวเป็นบุตรของตระกูลขุนนางชั้นสูงก็คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธ
เถ้าแก่จางลอบพยักหน้าน้อย ๆ มองอีกฝ่ายอย่างชื่นชม ที่กิจการภายในร้านของเขาเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้ามากขึ้นถึงเพียงนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะได้ลู่เซียวซินมาช่วย ฝีมือในการค้าขายของนางเรียกว่าไม่เป็นสองรองใคร ทั้งขยัน อดทน และยังใส่ใจรายละเอียด
พวกเสื้อคลุมหรือผ้าพันคอที่วางขายอยู่ในร้าน ครึ่งหนึ่งก็เป็นฝีมือของนางที่ทำขึ้น แถมเรื่องการทำบัญชีก็แม่นยำ แทบจะไม่มีตัวเลขที่ผิดพลาดเลยสักตัว และเพราะนางทำงานอยู่กับเถ้าแก่จางมาตั้งแต่เด็ก ๆ เถ้าแก่จางจึงรักและเอ็นดูนางเหมือนเป็นบุตรสาวคนหนึ่งมานานแล้ว
“อาหรงเดี๋ยวหลังจากต้อนรับลูกค้าสองท่านนั้นเสร็จ เจ้าไปเรียกเซียวซินให้ตามไปพบข้าที่ห้องทำงานด้วย”
“ขอรับเถ้าแก่”
อาหรงเด็กช่วยงานในร้านอีกคนที่จางเสี่ยวถังจ้างเอาไว้ก้มหน้ารับคำ ก่อนจะเดินออกไป ส่วนตัวเขาผลักประตูเปิดเข้าไปในห้องทำงานซึ่งอยู่ด้านหลังของร้าน
ผ่านไปหนึ่งเค่อ ลู่เซียวซินจึงเดินเข้ามา ชายชราจึงละสายตาจากกระดาษในมือแล้วเงยหน้าขึ้นมองนาง
“เถ้าแก่จาง เรียกข้ามามีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
“เอานี่”
เขายื่นกระดาษแผ่นนั้นมาให้กับนาง ลู่เซียวซินไม่เข้าใจ แต่ก็เดินมาหยิบกระดาษแผ่นนั้นไปดู พอกวาดตามองรอบหนึ่ง ถึงค่อยเลิกคิ้วเรียวงามขึ้นถาม
“แบบแปลนร้านนี่ หรือเถ้าแก่จะเปิดสาขาสองหรือเจ้าคะ ?” นางคลี่ยิ้มถามอย่างตื่นเต้น
“ใช่ มันคือแบบแปลนร้าน แต่มันไม่ใช่ร้านของข้าหรอกนะ มันเป็นร้านของเจ้า”
ราวกับนางได้ยินเรื่องไม่น่าเชื่อเข้า เด็กสาวตกใจจนเกือบทำแบบแปลนแผ่นนั้นหลุดมือ ในใจของนางบังเกิดคลื่นโหมซัดสาดพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน
“เมื่อก่อนเจ้าเคยพูดไว้ใช่หรือไม่ ว่าอยากมีกิจการเป็นของตัวเอง พอดีข้าเห็นว่าเนื้อที่ตรงนี้ไม่เลว แถมเจ้าของก็เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กับข้า ข้าเลยซื้อมาในราคาถูก หากเจ้าสนใจ ข้าก็ตั้งใจจะขายต่อให้เจ้า”
“แต่ตอนนี้ข้ายังไม่มีเงินนะเจ้าคะ”
ดวงตาของลู่เซียวซินฉายชัดถึงความผิดหวัง แต่ก็มองแบบแปลนที่ดินแผ่นนั้นอย่างไม่อาจตัดใจ เนื้อที่ตรงนี้ดีมากอย่างที่เถ้าแก่จางว่าเอาไว้จริง ๆ แถมในราคานี้ก็ไม่น่าจะเกินกำลังของนางที่จะหามาคืน แต่ถ้าหากเถ้าแก่จางต้องการมันเดี๋ยวนี้ตอนนี้ นางยังไม่มีให้ ซึ่งเถ้าแก่จางเองก็อ่านสีหน้าของนางออกจึงคลี่ยิ้มออกมาอย่างอดเอ็นดูไม่ได้
“ตัวข้าก็ไม่ได้ขาดเงิน แค่ไม่กี่ร้อยตำลึงหากเจ้ามีเมื่อไรก็ค่อย ๆ ผ่อนใช้คืนข้า”
แม้ในใจของเถ้าแก่จางจะอยากขายให้ในราคาที่ถูกกว่านี้ แต่เขารู้จักนิสัยของลู่เซียวซินดี เด็กคนนี้เป็นเด็กดีและซื่อตรงมาก อีกฝ่ายจะไม่ค่อยรับของจากใครมาแบบฟรี ๆ เขาเกรงว่า หากตัวเองขายให้ในราคาที่ถูกกว่านี้ ลู่เซียวซินจะปฏิเสธเพราะเกรงใจ
“เถ้าแก่จาง ท่านช่างดีกับเซียวซินเหลือเกิน บุญคุณครั้งนี้เซียวซินไม่รู้ว่ากี่ชาติถึงจะตอบแทนหมด”
นางก้มลงคารวะอีกฝ่ายทั้งน้ำตา เดือดร้อนชายชราต้องรีบประคองนางลุกขึ้น พอเห็นแววตาสำนึกในบุญคุณและความมุ่งมั่นในดวงตาดอกท้อคู่สวยของเด็กสาว ก็พลันให้เถ้าแก่จางรู้สึกซาบซึ้งใจ และคิดว่าตนคิดไม่ผิดจริง ๆ ที่วันนั้นยอมช่วยเด็กคนนี้
หลังจากที่ลู่เซียวซินเอาข่าวดีนี้มาบอกกับแม่นมหวังและซุ่ยเอ๋อร์ ทั้งสองก็ตกอกตกใจไม่น้อยเรื่องที่นางคิดจะทำการค้าขาย เดิมนางเป็นบุตรสาวของขุนนาง แม้จวนสกุลลู่นั่นจะทอดทิ้งนางตั้งนานแล้ว แต่อย่างไรนางก็ยังใช้แซ่ลู่ หากคิดจะทำการอันใดอย่างไรก็ต้องไว้หน้าตระกูลบ้าง
ซึ่งแน่นอนหากว่าคนในจวนสกุลลู่รู้เรื่องเข้าจะต้องไม่พอใจและไม่อนุญาตให้นางทำเช่นนี้แน่นอน เรื่องของตระกูลลู่แม่นมหวังได้เล่าความจริงทุกอย่างให้นางฟังตั้งแต่ตอนอายุสิบขวบแล้ว
“คุณหนูสาม ไตร่ตรองดูใหม่อีกครั้งเถิดเจ้าค่ะ เป็นบุตรขุนนาง ทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมนะเจ้าคะ” แม่นมหวังพยายามเอ่ยเกลี้ยกล่อมนาง
“อันใดไม่เหมาะสมหรือ ข้าก็แค่จะทำการค้า ไม่ได้ไปฆ่าใครตายสักหน่อย แม่นมหวัง พวกขุนนางก็ใช่จะมือสะอาดกันทุกคน อย่างน้อย ๆ พวกเขาเองก็ต้องมีแอบไปเปิดกิจการของตัวเองกันสักอย่างสองอย่างเหมือนกัน หรือท่านว่าไม่จริง ?”
“อ่า เรื่องนั้นมันก็...”
“แม่นมหวัง เรื่องนี้ซุ่ยเอ๋อร์ก็เห็นด้วยกับคุณหนูสามนะเจ้าคะ อีกอย่างตอนนี้คุณหนูสามก็ใกล้เข้าวัยปักปิ่นแล้ว อีกไม่นานก็ต้องแต่งงานออกเรือน ท่านคิดหรือว่าคนสกุลลู่จะยอมมอบสินเดิมให้คุณหนูของพวกเรา”
ลู่เซียวซินพยักหน้าหงึกหงักคอแทบหลุด เรื่องที่ซุ่ยเอ๋อร์คิด บังเอิญตรงกับที่นางคิดพอดี นางไม่อยากหวังพึ่งตระกูลลู่อยู่ฝ่ายเดียว นับจากนี้จะต้องคิดวางแผนให้ดี ๆ นางจะมาทำตัวเป็นสตรีที่เลือดบางหนังเปราะ ถูกตีตายง่าย ๆ ไม่ได้
สรุปแล้ว คือนางต้องการอาศัยความสามารถของตนเองหาเลี้ยงตัวจนเติบใหญ่ หากถึงวันที่นางจะต้องแต่งงานออกเรือน นางไม่เชื่อหรอกว่าคนตระกูลลู่จะเตรียมสินเดิมให้นางเหมือนที่ซุ่ยเอ๋อร์ว่า แต่ไม่เตรียมก็ไม่เตรียมสิ นางเตรียมของนางเองก็ได้
“หากแม่นมหวังกังวล เช่นนั้นเอาแบบนี้แล้วกัน ข้าไม่เปิดกิจการในชื่อของข้า แต่ข้าเปิดโดยใช้ชื่อของท่านได้หรือไม่ เท่านี้เรื่องก็ไม่น่าเดือดร้อนไปถึงคนสกุลลู่แล้ว”
“แล้วเรื่องเงินทุนล่ะเจ้าคะ คุณหนูจะทำอย่างไร ตอนนี้เงินที่มีเหลืออยู่ก็ไม่ได้มากมาย”
แม่นมหวังยังคงกังวลอยู่ ลู่เซียวซินคลี่ยิ้มก่อนจะเดินไปที่เรือนนอนของตัวเองแล้วหยิบเอาหีบใบเล็กออกมา พอนางเปิดออกทั้งแม่นมหวังและซุ่ยเอ๋อร์ต่างก็ตกอกตกใจ
“ตั๋วเงินพวกนี้เป็นค่าแรงของข้าที่เก็บหอมรอมริบมาตลอดเจ็ดปีนี้ หากนับดูคร่าว ๆ ก็คงจะได้สักเจ็ดร้อยตำลึง แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่พอ ไหนจะค่าสินค้าที่จะเอามาขาย ค่าปรับปรุงภายในร้าน และค่าที่อีก ดังนั้น...”
ลู่เซียวซินจึงหยิบอีกกล่องออกมา ในนั้นมีพวกเครื่องประดับล้ำค่าส่องแสงแวววาว แต่แม่นมหวังกับซุ่ยเอ๋อร์มองปราดเดียวก็รู้ว่ามันคือของที่ฮูหยินกับนายท่านให้ตอนที่พวกเขาออกจากจวนมา
“ข้าจะเอาของพวกนี้ไปขายทั้งหมด”
“เอ๋ เดี๋ยวเจ้าค่ะ เอาของส่วนตัวออกไปขายทั้งหมด คุณหนูไม่เสียดายหรือเจ้าคะ ของพวกนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นของที่ฮูหยินมอบให้”
การจะเปิดกิจการมันไม่ใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้นลู่เซียวซินรู้ดี ภายใต้เงื่อนไขที่พวกนางขาดแคลนทุนทรัพย์เช่นนี้ ต่อให้มีความคิดเป็นร้อยแปด แต่หากขาดสิ่งนี้ ไอ้ร้อยแปดนั่นก็โยนทิ้งไปได้เลย วิธีที่เหนื่อยครั้งเดียว แต่สบายไปตลอดชาติก็มีแต่วิธีนี้
ดังนั้นนางจะมาคิดเสียดายไอ้ของพรรค์นี้ไปทำไมกันล่ะ
“ซุ่ยเอ๋อร์ ข้าจะเสียดายของพวกนี้ไปทำไมกัน มีไว้ก็ไม่ได้ทำให้ท้องอิ่ม อีกอย่าง ข้าไม่ได้รู้สึกผูกพันอะไรกับมันเลยสักนิด สู้เอาไปขายแล้วเอามาเป็นเงินทุนในกิจการของข้าเสียยังจะดีกว่า”
ซุ่ยเอ๋อร์ได้แต่ทอดถอนใจมองของในหีบ ขณะเดียวกันก็รู้สึกสะเทือนใจและปลาบปลื้มใจไปพร้อม ๆ กันไม่ได้ เดิมทีคุณหนูสามของพวกนางไม่ควรต้องมาตกระกำลำบาก ตรากตรำทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยอยู่นอกจวนเช่นนี้เลย
“ทอดตามองไปทั่วใต้หล้านี้ ซุ่ยเอ๋อร์ไม่เห็นใครที่เยี่ยมยอดไปกว่าคุณหนูสามของซุ่ยเอ๋อร์อีกแล้ว หากได้แต่งเข้าตระกูลไหน ตระกูลนั้นจะต้องโชคดีเปี่ยมไปด้วยบุญวาสนาอย่างแน่นอน”
ที่ซุ่ยเอ๋อร์มักจะกล่าวชมนางบ่อย ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง ลู่เซียวซินอายุเพิ่งจะเจ็ดขวบก็จัดการชีวิตอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และนางยังรู้ว่าควรจะทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้นได้อย่างไร ไม่เคยหยิบยกข้อด้อยมาใช้เป็นข้ออ้างหรืออุปสรรค นางจะทุ่มสุดกำลังเพื่อที่จะเอาชนะผ่านมันไป
“แม่นมหวัง ของพวกนี้ข้าฝากให้ท่านเอาไปขายหน่อยนะ แล้วแลกเป็นตั๋วเงินมาให้ข้าที”
“ได้เจ้าค่ะ คุณหนูสาม”
“ว่าแต่คุณหนูสาม ท่านจะเปิดกิจการขายอะไรหรือเจ้าคะ”
ซุ่ยเอ๋อร์อดถามอย่างสงสัยไม่ได้ ลู่เซียวซินคลี่ยิ้มกว้างอวดลักยิ้มเล็ก ๆ สองข้างแก้มของตัวเอง
“ข้าว่าจะขายข้าวสารกับพวกธัญพืชน่ะ”
อีกด้านหนึ่ง
ภายในห้องหนังสือของจวนตระกูลลู่ ลู่จางเซินคลี่จดหมายลับฉบับหนึ่งขึ้นอ่าน ใบหน้าที่เรียบเฉยค่อย ๆ ฉายแววคลี่ยิ้มอย่างสนใจ จากนั้นก็จ่อกระดาษแผ่นนั้นไปที่เปลวเทียนเพื่อทำลายหลักฐานทิ้ง
“ดูท่าว่าตอนนี้พวกองค์ชายกำลังเดินหมากแย่งชิงผลประโยชน์กันแล้ว เสนาบดีฝ่ายขวาก็ไปเข้าร่วมกับองค์ชายใหญ่แล้ว ?”
ลู่จางเซินรินชาในกาใส่ถ้วยตัวเองก่อนจะยกขึ้นดื่มอย่างไม่เร็วไม่ช้า แล้วเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ใช่ แต่ถึงองค์ชายใหญ่ความสามารถจะไม่โดดเด่นทั้งยังไม่ค่อยได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท และไม่มีฮองเฮาคอยปกป้องแล้ว ทว่า เบื้องหลังของเขายังมีไทเฮาหนุนหลังอยู่ เสนาบดีลู่แล้วท่านล่ะ เลือกที่จะอยู่ฝ่ายไหน”
“หึ รองเจ้ากรมอาญาเผิง เจ้าอย่าลืมสิว่าแซ่เดิมของฮูหยินใหญ่ข้าคือแซ่ถัง ส่วนตระกูลถังก็เป็นบ้านเดิมของถังกุ้ยเฟยมารดาขององค์ชายรอง นี่ท่านยังต้องถามข้าอีกหรือว่าข้าจะเลือกฝั่งไหน”
แม้ใบหน้าของลู่จางเซินจะดูไม่ทุกข์ไม่ร้อน แต่ในดวงตาคู่นั้นกลับฉายชัดว่ามีแผนการซุกซ่อนอยู่ เผิงลู่จึงค่อยคลี่ยิ้มออกมาเช่นกัน จากนั้นก็หยิบชาที่วางอยู่ใกล้มือขึ้นดื่ม
