บท
ตั้งค่า

บทที่ 4 จวนนอกเมือง

บทที่ 4 จวนนอกเมือง

แม่นมหวังสมแล้วที่เคยเป็นคนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่าจวนตระกูลลู่ เพียงแค่ไม่นานนางก็สามารถจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างหมดจดเรียบร้อย ส่วนซุ่ยเอ๋อร์และซูโหย่วหญิงรับใช้สองคนก็มาคอยผลัดกันดูแลลู่เซียวซิน

นับตั้งแต่ที่ย้ายออกมาจากจวนตระกูลลู่ ลู่เซียวซินก็กลายเป็นเด็กที่เลี้ยงง่าย นางแทบไม่ร้องไห้งอแงอย่างไร้เหตุผล ไม่ป่วยไม่ไข้ สุขภาพของนางดีวันดีคืน ผิวพรรณยิ่งขาวเนียนเปล่งปลั่งไม่ซูบซีดเหมือนก่อนหน้านี้

หากบอกว่ามีมารมาอาศัยครรภ์ฮูหยินจริง ๆ นี่ก็น่าคิดแล้วว่า บางทีเด็กมารนั่นอาจเป็นคุณหนูรองลู่เซียวซูเสียมากกว่า นี่มันเหมือนกับนิทานเรื่องนกเขายึดรังนกสาลิกาที่ซุ่ยเอ๋อร์เคยได้ยินแม่ของตัวเองเล่าให้ฟังเมื่อตอนเด็กชัด ๆ

“คุณหนูสามตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”

ซุ่ยเอ๋อร์ที่เดินมาดูหนูน้อยในเปลนอนก็เห็นอีกฝ่ายลืมตาแป๋วจ้องมองนางอยู่ก่อนแล้ว นางจึงยื่นมือไปทำท่าจะอุ้มขึ้นมา ลู่เซียวซินที่เห็นว่าในที่สุดอีกฝ่ายก็หันมาหานางสักทีก็ส่งเสียงอ้อแอ้ชูไม้ชูมืออย่างดีใจ แม่นมหวังจึงให้ซูโหย่วไปต้มนมมาเตรียมไว้ให้คุณหนู ทั้งคู่มานั่งเล่นกันที่ชานบ้าน สายลมจากฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านทำให้รู้สึกเย็นสบาย

หลังจากที่ได้ซ่อมแซม รื้อนั่นเติมนี่เข้าไปกระท่อมซอมซ่อของพวกเขาก็ให้ความรู้สึกเหมือนเรือนพักทั่วไปสักที แม้จะไม่ได้สุขสบายใหญ่โตเหมือนจวนตระกูลลู่ แต่เท่านี้ก็ดีมากแล้ว

“ตั้งแต่ที่คุณหนูสามออกมาจากจวนตระกูลลู่ก็ไม่ป่วยระเสาะกระแสะ ไม่งอแงร้องไห้เสียงดังลั่นเหมือนอย่างเมื่อก่อนอีกเลย แม่นมหวังท่านคิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้เจ้าคะ”

แม่นมหวังวางถ้วยชาที่กำลังจิบลงก่อนจะชำเลืองมามองซุ่ยเอ๋อร์ และมองลู่เซียวซินที่นั่งอยู่ในตักของนาง ตอนนี้เด็กน้อยอายุได้เจ็ดเดือนแล้วและสามารถทรงตัวนั่งเองได้แล้ว พัฒนาการของนางช่างไปไวยิ่งนัก

ส่วนเรื่องที่ซุ่ยเอ๋อร์พูด ไม่ใช่ว่าแม่นมหวังไม่เคยคิด อันที่จริงนางสังเกตเห็นเรื่องนี้มาสักพักแล้วแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา นางจ้องเข้าไปยังนัยน์ตาของซุ่ยเอ๋อร์อย่างสื่อความหมาย ตั้งใจจะพูดอะไรบาง แต่แล้วก็เหลือบไปเห็นมือสั้นป้อมของเด็กน้อยกำลังยื่นมาตรงหน้า

เพราะแม่นมหวังกับซุ่ยเอ๋อร์มัวแต่มองหน้ากัน ลู่เซียวซินที่ได้กลิ่นหอม ๆ ของขนมเหอเถาที่วางอยู่ตรงหน้าก็อดใจไม่ไหว เพราะท้องน้อย ๆ ของนางส่งเสียงร้องตั้งนานแล้ว อีกทั้งนมอุ่น ๆ ของนางก็ยังไม่มาสักทีนางจึงก้มหน้าลงไปหยิบขนมขึ้นมาแล้วใช้ฟันหน้าสองซี่ที่เพิ่งงอกกัดแทะอย่างเอร็ดอร่อย

“แม่นมหวัง เมื่อครู่เห็นหรือไม่เจ้าคะ คุณหนูหยิบขนมกินเองได้แล้ว คุณหนูช่างเป็นเด็กที่ฉลาดรู้ความอะไรขนาดนี้”

ซุ่ยเอ๋อร์หัวเราะเสียงใสลืมเรื่องที่คุยกับแม่นมหวังเมื่อครู่ไป พลางยกมือเช็ดมุมปากน้อย ๆ ให้กับลู่เซียวซิน เด็กน้อยหันมาส่งยิ้มตาหยีให้อย่างอารมณ์ดี แล้วยังแบ่งขนมในมือของนางที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายมาป้อนให้กับแม่นมหวังและซุ่ยเอ๋อร์คนละคำอย่างใจกว้าง ทำเอาหนึ่งหญิงกลางคนหนึ่งหญิงสาวอดใจฟูไม่ได้

กลับกันที่จวนตระกูลลู่ หลังจากที่ลู่เซียวซินออกจากจวนไป ลู่เซียวซูก็เริ่มมีอาการป่วยบ่อยขึ้น เรียกได้ว่าต้องเชิญท่านหมอมาที่จวนแทบจะทุกเดือน ร่างกายของนางหนาวก็ไม่ได้ ร้อนก็ไม่เอา หิวแต่ละครั้งก็ร้องไห้เสียงดังจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น

ลู่จางเซินและถังอวี้ช่ายก็ยิ่งเอาอกเอาใจนาง ส่งบ่าวรับใช้ให้มาคอยปรนนิบัติดูแลนางเพิ่มอีกเป็นสิบ มองนางราวกับเป็นไข่ทองคำประคองขึ้นเหนือหัว ทำเอาบรรดาลูก ๆ ของฮูหยินรองและอนุได้แต่อิจฉาริษยา คนภายนอกที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวต่างก็คิดว่าฮูหยินใหญ่ของลู่จางเซินคลอดบุตรชายให้เขาเสียอีก

ในช่วงแรกตอนที่ลู่เซียวซินย้ายออกมาอยู่นอกจวน คนตระกูลลู่ยังพอส่งคนมาดูแลความเป็นอยู่ของพวกนางอย่างเอาใจใส่บ้าง แต่ทว่าพักหลัง ๆ ก็เริ่มเงียบหาย ข้าวของเครื่องใช้ที่เคยส่งมาให้ทุก ๆ เดือนก็เริ่มลดลงเป็นสามเดือนครั้ง ห้าเดือนครั้ง กระทั่งเปลี่ยนเป็นปีละครั้ง จนตอนนี้ลู่เซียวซินอายุได้เจ็ดขวบแล้ว

ที่ผ่านมาแม้ชีวิตของนางไม่นับว่าสุขสบายนัก แต่ก็ไม่ได้มีเรื่องทุกข์ใจอันใด บ่าวรับใช้ในเรือนทุกคนต่างก็เลี้ยงดูฟูมฟักนางเป็นอย่างดี ให้ความรักความอบอุ่นแก่นางอย่างไม่ขาดตกบกพร่องแทบจะไม่ต่างไปจากบิดามารดาแท้ ๆ

ทว่าตอนนี้ที่เรือนของพวกนางกำลังประสบปัญหาอย่างหนักเพราะเงินเริ่มขาดมือ หวังเซี่ยส่งอาเหอไปไถ่ถามที่จวนตระกูลลู่อยู่หลายครั้งแต่ก็ถูกอีกฝ่ายไล่ตะเพิดกลับมาอย่างทุลักทุเล

“เงินแค่ไม่กี่สิบตำลึงแท้ ๆ ก็ยังไม่ยอมให้มา นี่ใจคอคนพวกนั้นคิดจะปล่อยให้คุณหนูของพวกเราอดตายจริง ๆ หรืออย่างไรกัน คนตระกูลลู่ทำกันเกินไปแล้ว”

ซุ่ยเอ๋อร์มองเงินในกล่องที่มีอยู่ไม่มากแล้วพลันบ่นออกมาอย่างเหลืออด จวนตระกูลลู่เลิกส่งข้าวสารกับธัญพืชมาให้ตั้งนานแล้ว พวกนางจึงจำต้องควักเงินซื้อกันเอง แต่เพราะภัยแล้งในช่วงนี้พวกพ่อค้าหน้าเลือดที่แอบกักตุนข้าวสาร จึงถือโอกาสขึ้นราคา และไม่เพียงแค่ข้าวสารเท่านั้น แต่ของใช้อย่างอื่นก็พลอยขึ้นราคาตามไปด้วย เรียกว่าปาหินซ้ำเติมกันชัด ๆ

“แม่นมหวังเราเหลือเงินไม่ถึงสามตำลึงจะใช้ได้นานเท่าไรกันเจ้าคะ พวกเรายังไม่เท่าไรแต่คุณหนูสามนางอยู่ในวัยกำลังโต ควรกินให้มากหน่อย ข้าไม่อยากเห็นนางต้องทนกินแต่โจ๊กเปล่ากับยำผักป่าอีกแล้วนะเจ้าคะ เห็นแก้มของนางตอบลง ๆ ซุ่ยเอ๋อร์ก็ปวดใจจนทนไม่ไหวแล้ว”

อันที่จริงพวกสาวใช้อยากเตรียมสำรับกับข้าวดี ๆ ให้นาง แต่ลู่เซียวซินที่แม้จะเป็นแค่เด็กพอเห็นคนอื่นกินแค่โจ๊กเปล่ากับยำผักป่า นางที่จิตใจดีมีเมตตาไม่อยากเอาเปรียบคนอื่นจึงบอกว่าจะขอกินเหมือนกับคนอื่น ๆ ด้วย ทำเอาซุ่ยเอ๋อร์และบ่าวรับใช้พากันซาบซึ้งใจ แต่ยิ่งเป็นแบบนั้น พวกเขาก็ยิ่งอยากให้นางได้กินแต่ของดี ๆ เข้าไปอีก

“เฮ้อ เงินนี่หากใช้ระวัง ๆ หน่อยก็คงถูไถไปได้อีกหลายเดือน ถึงต่อให้นายท่านจะใจดำ แต่ก็คงไม่ไร้คุณธรรมถึงขนาดปล่อยให้ลูกในไส้ของตัวเองต้องอดตายหรอก เจ้าอดใจรออีกหน่อย เดี๋ยวข้าจะให้อาเหอกับอาตงไปที่จวนตระกูลลู่อีกที”

“นี่ก็ไม่แน่นะเจ้าคะ ก็ไม่ใช่นายท่านหรอกหรือที่ต้องการส่งคุณหนูสามออกมาใจแทบขาด หากบอกไม่คิดจะปล่อยให้อีกฝ่ายอดตาย นี่ก็พูดยากแล้ว”

ปกติแล้วซุ่ยเอ๋อร์เป็นคนที่คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น แต่การที่นางไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าลู่เซียวซินเลยก็นับว่านางอดทนได้ดีแล้ว

“แล้วนี่คุณหนูสามของเจ้าไปไหนแล้ว ข้าไม่เห็นนางมาสักพักแล้วนะ” หวังเซี่ยเอ่ยถามพลางสอดส่ายสายตามองไปทั่วเรือน ซูโหย่วที่ยืนปัดกวาดเช็ดถูเรือนอยู่ใกล้ ๆ ได้ยินจึงบอกว่าเห็นลู่เซียวซินออกไปข้างนอก คาดว่าน่าจะไปขลุกตัวอยู่ที่ร้านของเถ้าแก่จางอีกแล้ว

ซึ่งเถ้าแก่จางคนที่ว่าก็คือพ่อค้าขายผ้าที่อยู่ในตลาด ตอนที่ลู่เซียวซินติดตามอาเหอกับอาตงเอาแกะไปขายก็บังเอิญได้เจอกับอีกฝ่ายที่มาหาซื้อขนแกะเพื่อเอาไปใช้ตัดเย็บพรมพอดี ลู่เซียวซินสนใจเกี่ยวกับเรื่องกิจการค้าขายมาตั้งแต่เด็ก ๆ จึงได้ขอกับเถ้าแก่จางให้ช่วยสอนเรื่องพวกนี้ให้กับนางหน่อย

ตอนแรกอีกฝ่ายก็ปฏิเสธเสียงแข็ง เพราะเห็นว่าแม่นางน้อยตัวแค่นี้จะไปทำอันใดได้ เป็นสตรีก็ควรอยู่กับเรือนอ่านตำราขงจื๊อ เรียนรู้หลักสี่คุณธรรม สามคล้อยตาม ไปเถอะ

แต่ลู่เซียวซินก็ไม่ยอมแพ้ นางซอยเท้าด้วยขาสั้น ๆ วิ่งไปดักหน้าดักหลัง พลางสาธยายถึงความสามารถของตัวเอง พูดจาโน้มน้าวอย่างสุดกำลัง ทำเอาเถ้าแก่จางเห็นแล้วอดใจอ่อนไม่ได้ อีกทั้งแววตามุ่งมั่นของนางก็น่าสนใจไม่น้อย สุดท้ายจึงยินยอมสอนนาง ทั้งเรื่องการทำมาค้าขาย หนำซ้ำยังสอนเรื่องการคำนวณบัญชีให้นางด้วย

แต่จนใจที่ลู่เซียวซินไม่รู้หนังสือ เถ้าแก่จางก็ไม่ได้รังเกียจดูถูกนาง มอบตำราคัดอักษรที่บุตรชายของเขาเคยหัดคัดเมื่อสมัยเด็กมาให้นาง ลู่เซียวซินดีใจยิ่งกว่าได้ทองพันชั่งเสียอีก เพราะสำหรับนาง ได้เงินทองไม่สู้ได้ความรู้

ตอนเช้านางจึงไปเรียนวิธีคำนวณบัญชีกับเถ้าแก่จาง ทั้งยังขอช่วยงานที่ร้านเพื่อเป็นการตอบแทน ส่วนกลางคืนนางก็มาหัดเขียนอักษร ถึงแม้จะไม่มีเงินซื้อสี่สิ่งของล้ำค่า พวกนั้นมาใช้ในการฝึกแต่นางก็ใช้วิธีเขียนลงในถาดทรายแทน เรียกได้ว่านางเป็นคนที่มีไหวพริบและความจำดีเลิศมาก เถ้าแก่จางยังเอ่ยชมนางไม่ขาดปาก

“คุณหนูสามของพวกเราทั้งขยันและใฝ่รู้ยิ่งนัก อายุยังไม่ทันสองขวบก็หย่านม สามขวบยืนเองได้ล้างหน้าบ้วนปากเองได้ไม่ต้องให้คนอื่นคอยช่วย ถึงบิดามารดาแท้ ๆ ของคุณหนูสามจะไร้คุณธรรมน้ำใจก็ช่างเถอะ เดี๋ยวพวกเราจะเลี้ยงคุณหนูสามให้เติบโตอย่างราบรื่นเอง”

ส่วนเรื่องชาติกำเนิดของนางและสถานการณ์ของตระกูลลู่ พวกหวังเซี่ยยังไม่อยากบอกความจริงกับนางตอนนี้ ถึงแม้ในใจจะเจ็บแค้นแทนลู่เซียวซินแค่ไหน แต่ก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องมาผูกความแค้นกับบิดามารดาตัวเอง แล้วก็ไม่อยากให้นางต้องมาแบกรับความอัปยศและความน้อยเนื้อต่ำใจนี้

พวกหวังเซี่ยหวังอยากเห็นรอยยิ้มน่ารักสดใสเช่นนี้ของนางในทุก ๆ วัน เอาไว้วันหน้าหากนางโตขึ้นจนได้ดีแล้วค่อยบอกความจริง ทว่าสิ่งที่พวกนางไม่รู้คือ ลู่เซียวซินระแคะระคายเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว อย่าเห็นว่านางอายุยังน้อย ต่อให้พวกหวังเซี่ยพยายามช่วยกันปกปิด แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาอันเฉียบคมของนาง ทุกวันนี้ที่นางไม่เอ่ยถาม และไม่สืบสาวราวเรื่อง เป็นเพราะไม่อยากให้คนในเรือนต้องลำบากใจก็เท่านั้น

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel