บทที่ 3 ถูกขับไล่
บทที่ 3 ถูกขับไล่
“เจ้าว่าอย่างไรนะ ! นายท่านจะให้คุณหนูสามออกไปอยู่นอกเมืองอย่างนั้นหรือ ?”
หวังเซี่ยยกมือทาบอกอย่างไม่อยากจะเชื่อ พลันนึกขึ้นได้ว่าตนเสียงดังเกินไปเกรงว่าจะทำให้หนูน้อยที่เพิ่งกินนมหลับไปตื่นขึ้น จึงได้ฉุดมือลากตัวซุ่ยเอ๋อร์ออกมาคุยด้านนอก
“ซุ่ยเอ๋อร์ ไหนเจ้าลองเล่ามาให้ละเอียดซิว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร”
“เจ้าค่ะ คือเมื่อครู่ข้าไปยกสำรับในโรงครัวแล้วได้ยินพวกบ่าวจากเรือนหลักมันพูดกัน บอกว่าที่คุณหนูรองเซียวซูป่วยก็เป็นเพราะได้รับความโชคร้ายจากคุณหนูสาม นายท่านกับฮูหยินโกรธมากจึงคิดจะส่งตัวคุณหนูสามออกไปอยู่ที่นอกเมือง แม่นมหวัง หากนายท่านทำเช่นนั้นจริง ๆ แล้วพวกเราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ”
ซุ่ยเอ๋อร์บีบมือของหวังเซี่ยอย่างร้อนใจ เดิมทีการที่ส่งคุณหนูสามมาอยู่ที่เรือนร้างนี่นางก็คิดว่าสองคนนั้นทำเกินไปแล้ว แต่ก็คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายถึงขั้นคิดจะส่งคุณหนูสามออกไปอาศัยอยู่นอกจวน นี่พวกเขายังมีความเป็นพ่อแม่คนอยู่หรือไม่ คุณหนูสามไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของพวกเขาหรอกหรือ ซุ่ยเอ๋อร์ยิ่งคิดน้ำตาแห่งความอัดอั้นก็ยิ่งไหลพราก
“เจ้าอย่าเพิ่งทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม บางทีเรื่องมันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้”
หวังเซี่ยได้แต่พูดปลอบใจ แต่ในอกของนางก็กังวลจนอยู่ไม่สุข วันนั้นนางจึงไปแวะไปหาฮูหยินผู้เฒ่าขอร้องอีกฝ่ายให้ช่วยพูดกล่อมฮูหยินใหญ่ แต่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่อยากยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้
อีกอย่างนางเองก็ยังเชื่อคำพูดของนักบวชผู้นั้นด้วย ทุกวันนี้พอมีเวลาว่าง นางก็จะสวดมนต์นั่งสมาธิ บ้างก็ไปถือศีลกินเจที่วัดอู่ถง เผื่อว่าตระกูลลู่จะรอดพ้นเคราะห์กรรมในครั้งนี้
กระทั่งสามวันให้หลังลู่จางเซินก็เรียกตัวทุกคนที่อยู่ในเรือนตะวันตกไปที่เรือนหลักพร้อมกัน ซึ่งก็มีเพียงแค่บ่าวชายสองคนกับหญิงรับใช้เพียงแค่สามคนเท่านั้น
“ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาในวันนี้ก็เพื่อจะบอกว่า บุตรสาวคนเล็กของข้าลู่เซียวซิน ชะตาของนางนั้นอาภัพนัก ไม่นานมานี้ข้าจึงได้ไปที่วัดอู่ถง เพื่อปรึกษากับไต้ซือฉางจิ้ง และท่านก็ได้ให้คำแนะนำพร้อมทั้งบอกวิธีแก้ดวงชะตาให้กับนางมาแล้ว ก็คือให้นางไปอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านทางตะวันออกของเมืองหนานเฉินเพื่อรับพลังหยางจะได้ขจัดมารในกาย ดังนั้นข้าจึงจำเป็นต้องส่งนางให้ไปอยู่ที่นั่น แล้วจะให้พวกเจ้าทุกคนย้ายไปอยู่นอกเมืองกับนาง คอยปรนนิบัติรับใช้นาง”
แม้ลู่จางเซินจะพยายามสรรหาคำพูดสวยหรูมาพูดให้ดูดีอย่างไร แต่มีใครบ้างในที่นี้ที่จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแค่อยากจะกำจัดลูกชังของตัวเองออกไปให้พ้น ๆ ทาง หลังจบคำทุกคนต่างก็ก้มหน้ารับโดยไม่มีผู้ใดเอ่ยขัดอะไรออกมาเพราะพวกเขาพอจะได้ยินข่าวลือนี้กันมาบ้างแล้ว
ช่วงกลางของยามอิ๋น มีรถม้าคันหนึ่งมาจอดรออยู่ที่ประตูหลังของจวนตระกูลลู่ พ่อบ้านจางเร่งสั่งให้บ่าวเตรียมนำของขึ้นรถ ถึงจะพูดเช่นนั้นแต่ของที่ว่าก็มีหีบผ้าแค่ไม่กี่หีบ กับของใช้อีกเล็กน้อยเท่านั้นขนแค่สองรอบก็หมดแล้ว
แม้ตอนนี้จะเป็นช่วงต้นของฤดูใบไม้ร่วง แต่อากาศก็ยังหนาวอยู่ดี ซุ่ยเอ๋อร์กระชับผ้าที่ใช้ห่อตัวเด็กน้อยในอ้อมกอดอย่างมิดชิดจากนั้นก็เดินขึ้นรถไป เพราะเกรงว่าหากยังอยู่ด้านนอก คุณหนูของนางจะต้องไอเย็นจนจับไข้ได้
“แม่นมหวัง เจ้าก็อย่าได้นึกตำหนิพวกนายท่านเลย ที่นายท่านทำเช่นนี้ย่อมมีเหตุผล นี่เป็นเงินที่นายท่านเตรียมไว้ให้พวกเจ้าเอาไว้ใช้ตอนอยู่นอกเมือง อย่างไรก็ใช้จ่ายระวัง ๆ หน่อยนะ”
พ่อบ้านจางส่งถุงเงินให้กับแม่นมหวัง แม้จะเห็นใจ แต่เพราะเป็นคำสั่งของเจ้านาย ตัวเขาไหนเลยจะกล้าขัด แม่นมหวังเองก็รู้ดีจึงไม่ได้เอาความกับอีกฝ่าย แต่ก็ไม่วายเอ่ยถามถึงคนพวกนั้นอย่างนึกเหน็บแนม
“แล้วนายท่านกับฮูหยินล่ะ ไม่คิดจะออกมาส่งคุณหนูหน่อยหรือ”
“ตอนนี้ฮูหยินร้องห่มร้องไห้อยู่ที่เรือนหลักนายท่านจึงต้องอยู่ปลอบใจ ที่พวกนายท่านไม่มาส่งก็เพราะว่ายังทำใจไม่ได้ กลัวว่าถ้าเกิดเห็นหน้าคุณหนูสาม จะตัดใจจากคุณหนูไม่ลง”
ใบหน้าของแม่นมหวังแข็งค้าง พ่อบ้านจางก็ช่างกล้าพูดออกมาได้ ตัดใจไม่ได้อะไรกัน นี่คิดว่าจะเสแสร้งแกล้งเล่นละครให้ใครดู อย่างฮูหยินกับนายท่านหรือจะห่วงคุณหนูสาม
ตอนที่คุณหนูสามต้องไอเย็นจนจับไข้นอนซมอยู่หลายวันที่เรือนตะวันตก พวกเขาก็ไม่เห็นจะเหลียวแล ทิ้งขว้างนางให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว แล้วตอนนี้มาบอกว่าที่ไม่อยากมาส่งเพราะกลัวจะตัดใจจากกันไม่ได้
ซุ่ยเอ๋อร์ที่อุ้มลู่เซียวซินอยู่ในรถม้าได้ยินที่พ่อบ้านพูดก็กลอกตาคิดในใจ แม้นางกับแม่นมหวังจะรู้โฉมหน้าที่แท้จริงของผู้เป็นนาย แต่นางก็ไม่คิดเปิดโปงออกมา แม่นมหวังยื่นมือไปรับห่อผ้าเล็ก ๆ มาจากพ่อบ้านหวัง กล่าวลาอีกฝ่ายเพียงสั้น ๆ แล้วก้าวขึ้นรถม้าไป
คนคุมรถตวัดแส้เบา ๆ ล้อของรถม้าจึงค่อย ๆ เคลื่อนออกจากหน้าประตูของจวนสกุลลู่อย่างเงียบเชียบ ซุ่ยเอ๋อร์ที่ขอบตาแดงเรื่อก็ค่อยเอ่ยออกมาอย่างคับแค้น
“ทีกับคุณหนูรองพวกเขาอุ้มชูอีกฝ่ายราวกับเป็นแก้วตาดวงใจ แต่พอมองคุณหนูสามพวกเขากลับมองเหมือนตัวมารนำพาหายนะ เป็นเผือกร้อนในมือที่อยากจะโยนออกจากจวนไปให้พ้น ๆ”
“พอแล้วซุ่ยเอ๋อร์”
“ไม่พอ ! ข้าจะพูด แม่นมหวังท่านอย่าได้ห้ามข้า ทั้งที่คุณหนูสามก็เป็นลูกภรรยาเอกแท้ ๆ นายท่านก็ช่างใจดำนัก ส่งลูกในไส้ของตัวเองให้ออกมาตกระกำลำบากนอกจวน พิธีเลี้ยงเหล้าครบเดือนก็ไม่เคยจัด แถมไม่เคยฉลองวันเกิดครบร้อยวันให้ด้วย แก้ดวงชะตาบ้าบออะไร ไปเชื่อคำพูดแค่ไม่กี่คำของลาหัวโล้นพรรค์นั้นได้ เหลวไหลทั้งเพ”
“...”
“หรือแค่คิดว่าตนเองทิ้งบ่าวรับใช้ไว้ไม่กี่คนให้คอยช่วยดูแลกับโยนเศษเงินมาให้แค่นิดหน่อย นี่ก็นับว่าเมตตามากพอแล้วอย่างนั้นหรือ พวกเขามันไม่ใช่คนแล้ว นี่มันไม่ต่างอะไรจากเดรัจฉาน !”
พอนางตะคอกออกมา ก็ดันไปปลุกให้ลู่เซียวซินที่หลับอุตุอยู่ตกใจตื่น ซุ่ยเอ๋อร์จึงรีบร้อนกล่อมเด็กน้อย แต่ดวงตาของนางก็ยังคงแดงก่ำ
หวังเซี่ยที่เห็นว่านางคงจะคับแค้นใจมานานจึงไม่คิดจะห้ามปรามอะไรนางอีก ได้แต่ปล่อยให้ซุ่ยเอ๋อร์พูดระบายออกไป เอาเถิด สำหรับนางแล้วจะอยู่นอกจวนหรือในจวนก็ล้วนไม่ต่าง ถึงอย่างไรชีวิตความเป็นอยู่ของคุณหนูสามก็คงไม่ได้ดีไปกว่านี้แล้ว
รถม้าวิ่งไปตามถนนผ่านไปราว ๆ สองชั่วยามถึงค่อยจอดสนิทอยู่ที่หน้าเรือนหลังหนึ่ง ถึงจะบอกว่าเรือนก็คงพูดไม่ได้เต็มปากเต็มคำ น่าจะเรียกกว่ากระท่อมเสียมากกว่า แม้เมืองหนานเฉินจะเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองเพราะเป็นเมืองหลวงของต้าเยี่ยน แต่ซุ่ยเอ๋อร์คิดไม่ถึงเลยว่าจะยังมีหมู่บ้านชนบทแบบนี้หลงเหลืออยู่
“แม่นมหวัง คุณหนูสามจะต้องอยู่ในที่แบบนี้จริง ๆ หรือเจ้าคะ ขนาดคอกม้าของตระกูลลู่ยังดูดีกว่าที่นี่อีก หรือเราจะเอาเงินที่นายท่านให้มาไปซื้อเรือนหลังใหม่กันดีเจ้าคะ”
หญิงสาวออกความคิด ลำพังตัวนางอยู่ในที่แบบนี้ก็ไม่เป็นไร เดิมทีนางก็มาจากครอบครัวยากจนอยู่แล้ว ก่อนจะถูกพ่อแม่ขายตัวไปเป็นทาสให้แก่ตระกูลลู่ แต่สภาพเรือนผุพังเช่นนี้จะให้คุณหนูของนางมาอยู่ได้อย่างไร
“เงินนี้เป็นเงินของคุณหนูสาม เจ้าจะหยิบมาใช้จ่ายส่งเดชได้หรือ ไม่ต้องพูดมากแล้ว รีบพาคุณหนูเข้าไป อากาศข้างนอกเย็นมากเดี๋ยวคุณหนูจะจับไข้”
อันที่จริงแม้ภายนอกจะดูเก่าทรุดโทรม แต่ด้านในก็ได้รับการปัดกวาดเช็ดถูจนสะอาดแล้ว คิดว่าพ่อบ้านจางคงให้คนมาจัดการ ที่รอบ ๆ บริเวณมีพื้นที่พอสมควร หวังเซี่ยคิดว่าคงพอใช้ทำประโยชน์อะไรได้
ตอนนี้นางเริ่มแก่แล้ว น้ำนมก็ไม่มี เดิมตอนอยู่ที่จวนตระกูลลู่ยังขอแบ่งนมจากแม่นมคนอื่นได้บ้าง แต่ตอนนี้คงทำเช่นนั้นไม่ได้แล้ว และต่อให้นางไปจ้างแม่นมคนอื่นก็คงไม่มีเงินมากพอ
หวังเซี่ยคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ตาของนางจะชำเลืองไปเห็นคอกม้าเปล่าคอกหนึ่ง ทันใดนั้นนางก็ผุดความคิดขึ้นมา
นางเดินเข้าไปในบ้านกวักมือเรียกอาเหอบ่าวชายอีกคนที่ติดตามมาด้วยพลางหยิบเงินให้อีกฝ่ายไปสามร้อยเหรียญสำริด แล้วให้เขาไปหาซื้อแกะมาคู่หนึ่ง ซุ่ยเอ๋อร์เห็นดังนั้นจึงได้เอ่ยถามอย่างอดสงสัยไม่ได้
“แม่นมหวัง ท่านให้อาเหอไปซื้อแกะมาทำไมหรือเจ้าคะ หรือท่านอยากกินเนื้อแกะ ?”
“ข้าไม่ได้อยากกินเนื้อแกะ ที่ข้าให้อาเหอไปซื้อแกะมา หนึ่งเพื่อต้องการนมจากแม่แกะ สองถ้าแม่แกะออกลูก อย่างน้อย ๆ เราก็สามารถเอาแกะไปขายได้ยังไงล่ะ”
“ถ้าเช่นนั้น หรือเราจะเอาม้าที่ลากจูงรถม้านั่นไปขายด้วยดีหรือไม่เจ้าคะ น่าจะได้เงินมาหลายตำลึงอยู่”
“ยังก่อน รถกับม้านั่นเก็บไว้ก่อน เผื่อในภายภาคหน้าจะได้ใช้ประโยชน์อย่างอื่น”
“แม่นมหวังช่างคิดอ่านได้รอบคอบยิ่งนัก ซุ่ยเอ๋อร์เลื่อมใสจริง ๆ ว่าแต่ท่านจะเอานมแกะให้คุณหนูดื่มหรือ แล้วมันจะไม่คาวหรือเจ้าคะ”
“ไม่หรอก แค่เอามาต้มแล้วคั้นน้ำจากดอกกุ้ยฮวาผสมลงไปก็ใช้ได้แล้ว ที่หน้าทางเข้าข้าเห็นมีต้นกุ้ยฮวาอยู่ จริงสิ เดี๋ยวให้คนไปหาพวกโม่ลี่ป่ามาปลูกไว้ด้วยดีกว่า เผื่อวันไหนคุณหนูเบื่อกลิ่นดอกกุ้ยฮวาแล้วจะได้ใส่โม่ลี่แทน”
“เป็นความคิดที่ดีเจ้าค่ะ ดีจังเลย คุณหนูสามจะได้มีนมอุ่นหอม ๆ ไว้กินแล้ว”
ซุ่ยเอ๋อร์หันไปหยอกล้อลู่เซียวซินที่ตอนนี้ตื่นเต็มตาแล้ว อีกทั้งยังชูไม้ชูมือบีบนิ้วของซุ่ยเอ๋อร์เล่นอย่างสนุกพร้อมอวดลักยิ้มเล็ก ๆ ที่ข้างแก้ม ซุยเอ๋อร์จึงอดไม่ได้ที่จะจิ้มนิ้วไปที่แก้มเนียนนุ่มของนาง
“คุณหนูสามของพวกเราช่างน่ารักอะไรปานนี้ แม่นมหวังท่านดูสิเจ้าคะ คุณหนูมีลักยิ้มด้วย แถมดวงตาดอกท้อคู่นี้ก็ช่างงดงามยิ่งนัก ข้าว่าตอนคุณหนูโตขึ้น คุณหนูจะต้องเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งหนานเฉินอย่างแน่นนอน ไม่สิ ต้องเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า”
