บทที่ 2 ดวงชะตา
บทที่ 2 ดวงชะตา
เมื่อทราบข่าวว่าฮูหยินใหญ่คลอดแฝดหญิงออกมา ฮูหยินรองจึงนำเหล่าอนุและบรรดาลูก ๆ มาเยี่ยมนางที่เรือน ทางด้านนายท่านผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ได้ส่งของขวัญมาที่เรือนเพื่อรับขวัญหลานเช่นกัน พร้อมทั้งมอบแม่นมมาเพิ่มให้อีกสองคน
บรรยากาศในเรือนตอนนี้เป็นไปอย่างชื่นมื่น กระทั่งพ่อบ้านจางได้เข้ามารายงานลู่จางเซินว่ามีนักพรตมาขอเข้าพบ ดวงตาทั้งสองของเขาเบิกกว้างทันที ในใจพลันคิดไปถึงนักพรตปริศนาคนนั้นที่เคยทำนายดวงชะตาบุตรสาวของเขาเมื่อคราวก่อน
“เขาอยู่ที่ไหน”
“ข้าน้อยให้บ่าวพาไปรอที่เรือนรับรองแล้วขอรับ”
“ดี ข้าจะรีบไป”
ลู่จางเซินส่งบุตรสาวคนหนึ่งที่ตัวเองกำลังอุ้มอยู่ให้แม่นมเอาไปดูแลต่อ จากนั้นก็รีบสาวเท้าไปที่เรือนรับรอง ไม่รู้ว่าคราวนี้ท่านนักพรตจะมาให้พรอะไรอีก
“คารวะท่านนักพรต”
ลู่จางเซินค้อมหัวคารวะอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม นักพรตที่มือหนึ่งถือคทาอีกมือถือลูกประคำก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา
“ประสกลู่”
“ท่านนักพรต ท่านมาเยือนที่เรือนของข้าในวันนี้ เป็นเพราะท่านรู้ว่าบุตรสาวของข้าคลอดแล้วท่านเลยมาให้พรแก่นางใช่หรือไม่”
“อมิตาภพุทธ ประสกลู่ ที่อาตมามาในคราวนี้ไม่ใช่เพื่อมาให้พร แต่จะมาเพื่อตรวจดูอะไรบางอย่างให้แน่ใจ”
“อะไรบางอย่างที่ว่านี่ หมายถึงอะไรหรือขอรับ”
นักพรตวัยกลางคนหยิบเอาเหรียญทองแดงสามเหรียญที่แขวนอยู่ตรงเอวออกมา จากนั้นก็หลับตาตั้งจิตแล้วทำการเสี่ยงทายด้วยศาสตร์ลิ่วเหยา ลู่จางเซินจ้องมองการกระทำของอีกฝ่ายอย่างไม่วางตา ในใจพลันเกิดความเลื่อมใสศรัทธาขึ้นมา กระทั่งผ่านไปหนึ่งเค่อ นักพรตผู้นั้นถึงค่อยลืมตาขึ้น
“เป็นอย่างไรบ้าง”
“อมิตาภพุทธ”
อีกฝ่ายพูดออกมาคำหนึ่งแล้วถอนหายใจออกมา สีหน้าบ่งบอกว่าไม่สู้ดีนัก ใบหน้าของลู่จางเซินที่คลี่ยิ้มเมื่อครู่ค่อย ๆ เจื่อนลง
“ก่อนหน้านี้อาตมานิมิตเห็นเค้าลางหงส์ในครรภ์ฮูหยินของประสกจึงได้บอกประสกไปว่าจะมีผู้มีบุญมาเกิด”
“แล้วตอนนี้เล่า ? หรือท่านจะบอกว่าดวงชะตาลูกข้ามีปัญหาแล้ว ?”
“ในครรภ์ของฮูหยินมีมารมาขออาศัยเกิดด้วย”
“หมายความว่าอย่างไรหรือท่านนักพรต ข้าไม่เข้าใจ”
“หมายความว่า เดิมประสกลู่มีบุตรเพียงแค่หนึ่งคน แต่ต่อมาก็มีมารมาขออาศัยครรภ์ด้วย”
ลู่จางเซินนึกไปถึงก่อนหน้านี้ที่เชิญท่านหมอมาตรวจครรภ์ให้ฮูหยินทุก ๆ เดือน ในตอนนั้นอายุครรภ์ของฮูหยินหกเจ็ดเดือนแล้ว อวัยวะภายในก็มีครบหมดแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ท่านหมอจะตรวจไม่พบว่าในครรภ์เป็นเด็กแฝด แต่จู่ ๆ ในวันคลอดกลับตรวจพบขึ้นมาเสียอย่างนั้น หรือครรภ์ของฮูหยินมีเด็กมารมาอาศัยอยู่จริง ๆ ลู่จางเซินใคร่ครวญในใจ
“ถึงอาตมาจะบอกว่าเป็นมาร แต่ก็ไม่ได้มีฤทธิ์เดชอะไร เพียงแต่มันจะช่วงชิงดูดกลืนกุศลและบุญวาสนาของเด็กอีกคนเท่านั้น หากปล่อยให้ทั้งสองยังอยู่ใกล้ชิดกันต่อไปประสกลู่ก็ให้คนผมหงอกเตรียมตัวส่งคนผมดำ ได้เลย”
“เรื่องเช่นนี้…”
ลู่จางเซินหน้าซีดเผือดแทบไม่เห็นสีเลือด เขาทรุดนั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรงจนพ่อบ้านจางรีบมาประคองแล้วรินชาให้
“อาตมามีเรื่องจะมาแจ้งประสกลู่เพียงเท่านี้ เช่นนั้นก็ขอตัวก่อน”
ลู่จางเซินมัวแต่นิ่งอึ้ง พอได้สติกลับมาก็พบว่านักพรตท่านนั้นได้หายไปแล้ว ทำให้เขาไม่ทันได้ถามว่ามารที่ว่าเป็นแฝดคนพี่หรือคนน้องกันแน่เขาจะได้จัดการ เขาสั่งให้บ่าวเร่งออกตามหาท่านนักพรต แต่ไม่ว่าจะหาเท่าไรก็ไม่เจอแม้แต่เงา
ไม่นานเรื่องมารมาอาศัยครรภ์ฮูหยินใหญ่นั้นก็ลือกันไปทั่วจวนตระกูลลู่ ท่านเจ้าบ้านเรียกให้บรรดาบ่าวรับใช้ทุกคนมารวมตัวกันที่เรือนหลักพร้อมทั้งกำชับไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปนอกจวน ไม่เช่นนั้นจะมีโทษคือตายสถานเดียว
ฮูหยินรองและเหล่าอนุรีบมาปลอบโยนฮูหยินใหญ่แสดงความรักใคร่ปรองดอง แต่ในใจก็แอบยิ้มเยาะสะใจกับเคราะห์ร้ายของคนอื่นไปด้วย
เพราะตามหาตัวท่านนักพรตไม่เจอ ทำให้ลู่จางเซินไม่อาจรู้ได้ว่าบุตรคนไหนคือมารหัวขนตนนั้น จึงไม่อาจจัดการกับอีกฝ่ายสุ่มสี่สุ่มห้าได้ ทำได้แต่ใช้วิธีเฝ้าสังเกตการณ์อย่างเงียบ ๆ
ส่วนเรื่องที่ฮูหยินใหญ่ของเขาให้กำเนิดลูกแฝดเขาก็ปิดเงียบเอาไว้เช่นกัน เผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินจะได้ส่งอีกฝ่ายออกจากจวนได้ทัน อย่างไรเสียเผือกร้อนนี้หัวเขาก็ไม่กล้ารับไว้หรอก อีกทั้งหากราชสำนักรู้เรื่องคำทำนายนี้เข้า ก็ไม่รู้ว่าหมวกเสนาบดีฝ่ายซ้ายของเขาจะหลุดไปเมื่อไร
จะว่าไปตอนนั้นท่านนักพรตบอกว่า เด็กมารจะดูดกลืนกุศลและบุญวาสนาของบุตรสาวของเขา เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นแฝดคนน้องที่เกิดมาตัวอ้วนท้วนสมบูรณ์นั่น ?
“นี่อาเยว่ เจ้าว่าหรือเปล่า คุณหนูรองแฝดพี่ตัวเล็กนิดเดียวเองช่างน่าสงสาร แถมยังเลี้ยงง่ายกินนมแค่ไม่กี่คำก็หลับ ไม่เหมือนคุณหนูสามแฝดน้องที่หิวนมทีก็ร้องเสียงดังลั่นแทบจะสะเทือนไปจนถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้าสิบชั้นดิน แม้แต่มารดาแท้ ๆ อย่างฮูหยินใหญ่ก็รังเกียจจะอุ้ม นี่ได้ยินว่าตอนคลอดนางเกือบทำฮูหยินสิ้นลมแน่ะ”
สาวใช้สองคนที่กำลังปัดกวาดจวนมองซ้ายขวาแล้วหันไปซุบซิบกัน
“เจ้าฟังสิ เรือนปีกข้างอยู่ไกลตั้งขนาดนี้ก็ยังได้ยินเสียงร้องคุณหนูสามเลย อาเยว่เจ้าจำได้หรือไม่ ที่นักพรตพเนจรท่านนั้นเคยทำนายว่าหนึ่งในสองคุณหนูแฝดคนหนึ่งเป็นมารมาอาศัยครรภ์ฮูหยิน เจ้าว่าจะใช่คุณหนูสามหรือไม่”
“ชู่…เมี่ยนเมี่ยนเจ้าพูดให้น้อย ๆ หน่อย อย่าได้เที่ยวพูดจาส่งเดชเดี๋ยวจะไม่มีเงาหัวเอา เรื่องนี้นายท่านเองก็กำชับนักหนาว่าห้ามผู้ใดแพร่งพรายออกไปไม่ใช่หรือ”
“ข้าก็ไม่ได้เอาไปพูดนอกจวนเสียหน่อย พูดอยู่กับเจ้าตรงนี้แค่สองคน”
“ไม่เอา ๆ ข้าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น อย่ามาลากข้าลงน้ำไปกับเจ้านะ ถ้าพ่อบ้านจางหรือนายท่านมาได้ยินเข้าก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
เยว่ฮวาตีหูของตัวเองรัว ๆ ไม่รู้อะไร เมี่ยนเมี่ยนจึงตีปากตัวเองตาม
“อาเยว่ เมื่อครู่ข้ามิได้พูดอันใดทั้งนั้น ถุย ๆ”
สาวใช้เมี่ยนเมี่ยนรีบตีปากตัวเองก่อนจะกลับไปตั้งใจทำงาน โดยไม่ได้รู้เลยว่าที่มุมอับตรงทางเดิน มีเงาร่างของใครบางคนยืนอยู่
คืนนั้นลู่จางเซินได้แต่พลิกตัวไปมา จนฮูหยินที่นอนอยู่ข้าง ๆ หันไปถาม
“ท่านพี่ หรือว่ากังวลเรื่องเด็กมารนั่นอีกแล้ว”
เหมือนว่าตัวของนางเองก็คิดมากเรื่องนี้จนนอนไม่หลับเช่นกัน ตั้งแต่วันที่คลอดทารกแฝด ในใจของนางก็ไม่สงบอีกเลย นางไม่กล้าย่างเท้าออกจากเรือน ไม่อยากไปพบใคร กระทั่งลูกของนาง นางก็เพียงแค่ไปดูหน้านิดหน่อยแล้วกลับ ปล่อยให้แม่นมและบรรดาสาวใช้ดูแลไป
“ฮูหยิน ข้าสงสัยว่าบางทีเด็กที่ท่านนักพรตพูดถึงอาจจะเป็นซินเอ๋อร์”
ซึ่งซินเอ๋อร์ที่ว่าก็คือลู่เซียวซิน ชื่อของแฝดผู้น้อง ส่วนแฝดผู้พี่มีนามว่าลู่เซียวซู
ถังอวี้ช่ายขยับลุกขึ้นจากตั่งพลางกระชับผ้าคลุมไหล่แล้วมองสบตาผู้เป็นสามี ใบหน้างดงามของนายฉายแววเย็นเยียบออกมา
“ท่านพี่ข้าเองก็คิดเห็นเช่นเดียวกับท่าน ไม่รู้ทำไมกับซินเอ๋อร์แล้วข้าถึงได้รู้สึกรักนางไม่ลงจริง ๆ”
“ฮูหยิน”
ลู่จางเซินลุกขึ้นมาแล้วดึงตัวถังอวี้ช่ายไปกอดปลอบ ในใจกำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่าง
“ท่านพี่เราควรจะทำยังไงกันดี รีบส่งตัวนางออกไปตอนนี้ดีหรือไม่”
“ยังก่อน รอดูท่าทีอีกนิดจะดีกว่า”
ผ่านมาสามเดือน แม้ลู่จางเซินจะบอกว่ารอดูท่าที แต่ตัวเขาก็ปักใจเชื่อไปเจ็ดแปดส่วนแล้วว่าลู่เซียวซินคือมารที่มาอาศัยครรภ์ฮูหยิน เขาแยกเรือนให้นางไปอาศัยอย่างโดดเดี่ยวอยู่ที่เรือนตะวันตกซึ่งค่อนข้างไร้ผู้คน พร้อมกับส่งแม่นมไปคนหนึ่งและสาวใช้อีกสี่คนตามไปดูแล
“เหตุใดนายท่านกับฮูหยินถึงได้ทิ้งบุตรในไส้ของตัวเองอย่างไม่เหลียวแลไว้ที่เรือนเปลี่ยวร้างเช่นนี้กันนะ”
สาวใช้นามว่าซุ่ยเอ๋อร์บ่นอย่างตัดพ้อ แม่นมหวังจึงเหลือบมองไปทางเปลของทารกน้อยแล้วได้แต่ทอดถอนใจออกมา เดิมแม่นมหวังเคยเป็นหญิงรับใช้คนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่า แต่เมื่อไม่นานมานี้ได้เผลอไปล่วงเกินเหลียงซื่อ อนุคนหนึ่งของนายท่านเข้า ทำให้นางถูกสั่งให้มาคอยดูแลลู่เซียวซินแทน แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมอะไร ทั้งยังรู้สึกเห็นใจคุณหนูสามเสียด้วยซ้ำ
“คุณหนูรองลู่เซียวซูถูกเลี้ยงดูฟูมฟักมาเป็นอย่างดี เฉพาะแม่นมก็ปาเข้าไปสี่ห้าคน สาวใช้ข้างกายอีกเป็นสิบ ทั้งที่อายุเพิ่งจะครบขวบเดือนก็มีคนปรนนิบัติล้อมหน้าล้อมหลัง ช่างแตกต่างจากคุณหนูสาม”
“พอแล้วซุ่ยเอ๋อร์ เจ้าก็พูดให้น้อย ๆ หน่อยเถอะ”
แม่นมหวังหันมาปรามหญิงสาว ถึงต่อให้นางเองจะคับข้องใจแทนลู่เซียวซินแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ใครใช้ให้ท่านเจ้าบ้านหูเบาเชื่อคนง่ายกันล่ะ เฮ้อ สงสารก็แต่เด็กน้อยที่เพิ่งจะลืมตาดูโลกได้ไม่นาน จู่ ๆ ก็ถูกสาดน้ำโคลนใส่
แม่นมหวังอุ้มลู่เซียวซินขึ้นมาจากเปล เด็กน้อยหลับตาพริ้มพลางยกนิ้วมือสั้นป้อมของตัวเองขึ้นมาส่งเข้าปากทำท่าดูด
มารอะไรจะน่ารักน่าชังขนาดนี้ ไร้สาระทั้งเพ
หลังจากงานที่เลี้ยงฉลองครบร้อยวันของลู่เซียวซูผ่านพ้น จู่ ๆ นางก็จับไข้ตัวร้อนราวกับไฟ ลู่จางเซินและถังอวี้ช่ายร้อนใจจึงสั่งให้คนไปตามหมอมาตรวจดูอาการ แม้หมอจะยืนยันว่านางแค่ต้องไอเย็นจนจับไข้ แต่ในใจของถังอวี้ช่ายกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
“นี่ต้องเป็นเพราะลู่เซียวซิน เพราะเด็กคนนั้นแน่ ๆ ถึงได้ทำให้ซูเอ๋อร์จับไข้ ท่านพี่เราอย่าบ่มเพาะเภทภัยเอาไว้ใกล้ตัวอีกเลยนะเจ้าคะ รีบ ๆ ส่งเด็กคนนั้นออกไปจากจวนเถอะ”
“แต่ว่า...”
ลู่จางเซินคิดอย่างลังเล
“ช้าเร็วยังไงท่านก็คิดจะส่งนางไปอยู่นอกเมืองอยู่ดีไม่ใช่หรือ เช่นนั้นก็ส่งไปตอนนี้เลยเถอะเจ้าค่ะ ขืนปล่อยไว้ ซูเอ๋อร์จะต้องตายเพราะนางแน่ ๆ ข้าไม่อยากเสียลูกไป”
นางทรุดลงร้องไห้ปานจะขาดใจ ลู่จางเซินจึงรีบเข้าไปปลอบ ก็จริงอย่างที่ถังวี้ช่ายว่า...ช้าเร็วเขาก็ต้องส่งเด็กคนนั้นออกไปอยู่ดี สู้ส่งไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า
“ข้าเข้าใจแล้วฮูหยิน”
