ตอนที่ 2 แมวขโมย
ตึกสูงประมาณสิบกว่าชั้นตั้งตระหง่านสูงเด่นในย่านใจกลางกรุง ซึ่งที่นี่เป็นสถานีโทรทัศน์ค่ายใหญ่ของประเทศที่ผลิตรายการและละครดัง ๆ มากมาย ฝ่ายบริหารมีราว ๆ สิบกว่าคน และมีประธานบริษัทอยู่สองคน แม้ชื่อจะต้องใส่ได้เพียงคนเดียว แต่สองพี่น้องก็ไม่เคยคิดที่จะแย่งชิงอะไรกัน คนน้องยอมให้ชื่อพี่ชายเป็นประธาน ส่วนตัวเองรับตำแหน่งรองประธาน
ตั้งแต่ที่พิทักษ์ ประธานบริษัทวางมือลง คนที่รับไม้ต่อจึงต้องเป็นลูก ๆ ของเขา นั่นก็คือพิธา ลูกชายคนโต และพิธาน ลูกชายคนเล็ก
“พี่พิธา นี่พี่รับนักศึกษาฝึกงานด้วยเหรอ ไหนบอกว่าบริษัทเราไม่รับคนอื่นถ้าไม่ใช่ลูกหลานของครอบครัวเราไง” พิธานเดินเข้าไปถามพี่ชายของตนเมื่อได้รับเอกสารเซ็นยอมรับให้เข้ามาฝึกงานในบริษัทจากเลขานุการ ซึ่งเขาเห็นว่าพี่ชายตัวเองเซ็นลงไปก่อนหน้าแล้ว
“ส้มไม่ใช่คนในครอบครัวหรือไง” พิธาเงยพูดขึ้นเสียงเรียบโดยไม่ได้ละสายตาจากเอกสารตรงหน้า
เรื่องที่เคียงรักขอนั่นก็คือ ขอมาฝึกงานที่บริษัทของเขา ซึ่งหญิงสาวบอกว่าไม่กล้ายื่นสมัครเพราะมีคนบอกว่าบริษัทของชายหนุ่มไม่รับคนนอกที่ไม่ใช่ครอบครัวหรือเครือญาติใกล้ชิดกันเข้าฝึกงาน เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลในบริษัทรั่วไหล ซึ่งมันเคยมีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นมาแล้ว
“แหวะ ของพี่คนเดียวน่ะสิ ไปบอกพ่อกับแม่ได้ยังไงว่าเคียงรักเป็นลูกเลี้ยง เดี๋ยวต่อไปคงเป็นเมียแล้วล่ะมั้ง” พิธานเอ่ยแซวแกมประชดประชัน
“ปากดีนักนะ ไปหาน้องพริมนั่นไป ป่านนี้เข้าไปนั่งรอในบ้านแล้วมั้ง” เขาวางปากกาลงแล้วเงยหน้ามองน้องชายอย่างพิธาน ที่กำลังโดยน้องสาวข้างบ้านที่เป็นคู่ปรับกันตามราวีอยู่
“อย่าพูดถึงยัยนั่น พูดแล้วก็ไม่อยากกลับบ้าน” พิธานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือความหงุดหงิดเล็กน้อย
“หึ วันนี้พี่กลับบ้านเร็วหน่อยนะ ถ้ามีอะไรก็โทรมาแล้วกัน” พิธาบอกกับน้องชายพลางกดปุ่มปิดคอมพิวเตอร์และเริ่มต้นเก็บของเมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้มีนัด
“ไปไหน กลับบ้านก็บ้านของตัวเอง ไม่เคยจะกลับบ้านใหญ่ไปหาพ่อแม่หรือน้องชายหรอก เอาแต่ไปนอนอยู่บ้านกับผู้หญิงที่เป็นลูกเลี้ยงสุดที่รัก”
“เห็นหน้าแกจนเบื่อแล้ว ส่วนพ่อกับแม่ก็มาหาที่บ้านออกจะบ่อย ถ้าพี่ไปบ้านใหญ่ก็แนะนำหลาน ๆ เหลน ๆ ให้อีก เบื่อจะแย่อยู่แล้ว” พิธาตอบอย่างเซ็ง ๆ กลับบ้านทีไรไม่พ้นจับคู่ให้ลูกตัวเอง แทนที่จะถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ
“ก็บอกพ่อกับแม่ดิว่ามีเมียแล้ว” น้องชายปากดียังไม่ยอมหยุดแซว
“ลูกเลี้ยงเว้ย มามงมาเมียอะไร เดี๋ยวจะโดน” พิธาหยิบปากกาบนโต๊ะปาใส่น้องชายที่เหยียดยิ้มมองเขาอย่างหมั่นไส้ แต่อีกฝ่ายก็หลบทัน
“ให้มันจริงเถอะ ยิ่งโตยิ่งสวยซะด้วย” เขาพูดพลางก้มลงไปเก็บปากกามาวางไว้ตำแหน่งเดิม
“ไป ๆ กลับไปทำงานเถอะ พี่เบื่อจะคุยกับแกแล้ว” พิธาสะบัดมือไล่น้องชาย ก่อนที่จะก้มหน้าก้มตาเก็บของต่อ
ภายในห้องครัวที่ตอนนี้เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทำขนมและวัตถุดิบมากมาย ตั้งแต่ที่พิธาออกไปทำงานกนกพร คุณแม่ของเขาก็มาหาพร้อมกับเอากล้วยหอมสุกมาให้ด้วย
ซึ่งระยะทางของบ้านส่วนตัวกับบ้านครอบครัวของพิธานั้นอยู่แค่ซอยถัดไปไม่ไกลกันนัก คุณแม่พรจึงมาเยี่ยมบ่อย ๆ เวลาว่าง ทั้งคู่มักเข้าครัวทำอาหารด้วยกัน โดยเคียงรักก็จะเป็นลูกมือคอยช่วยกนกพรอย่างกระตือรือร้นทุกครั้ง จนอีกฝ่ายเอ็นดูแล้วถ่ายทอดสูตรอาหารต่าง ๆ ให้หญิงสาวอย่างหมดเปลือก
หลังจากคุณกนกพรกลับไปแล้วเคียงรักจึงนึกขึ้นได้ว่าวันนี้พิธาจะพาเธอไปทานข้าวเย็นข้างนอก ชดเชยที่ช่วงก่อนหน้านี้เขาทำงานจนไม่มีเวลากลับบ้าน หญิงสาวเลยถือโอกาสนี้ทำขนมไปเป็นของว่างมื้อเที่ยงให้เขา
“หอมได้ที่เลย งั้นหนูเอาไปให้ปะป๊าก่อนดีกว่า ระหว่างนี้ฝากป้าสาเอาที่เหลือไปใส่ตู้เย็นให้หน่อยนะคะ” เคียงรักบอกกับแม่บ้านคนสนิท ก่อนที่จะถอดผ้ากันเปื้อนออก
หญิงสาวเดินเอากล่องใส่ขนมสีครีมมาใส่เค้กกล้วยหอมที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ แล้วแบ่งใส่ถุงกระดาษสีน้ำตาลส่วนหนึ่งเพื่อเอาไปให้คุณแม่พรและคุณพ่อพิทักษ์ ส่วนอีกถุงสำหรับปะป๊าของเธอ
“ได้ค่ะคุณหนู เดี๋ยวป้าเก็บให้นะคะ”
“ขอบคุณค่ะป้าสา” เคียงรักยกมือไหว้ขอบคุณก่อนจะเดินออกจากครัวเมื่อแท็กซี่ที่โทรไปนั้นมารอที่หน้าบ้านแล้ว
เธอแวะไปยังบ้านของครอบครัวชัยยะนันท์ก่อน แล้วไปต่อยังบริษัทของพิธา
ยี่สิบนาทีต่อมา
“ทำไมคนเยอะจัง วันนี้มีงานใหญ่เหรอเนี่ย” เคียงรักมองดูคนที่ใส่เสื้อผ้าดูทางการด้วยชุดสูทเต็มยศ กระโปรงยาวคลุมเข่าเรียบร้อยไม่มีร้อยยับ ก่อนจะก้มมองตัวเองที่ใส่เดรสยาวสายเดี่ยวลายจุดสีฟ้าสดใสและเสื้อคาร์ดิแกนสีขาวคลุมทับ พลันเธอมองไปยังกล่องสีครีมในมือที่ข้างในมีเค้กกล้วยหอมโฮมเมดอยู่
จะเข้าไปหาปะป๊าหรือจะกลับรอไปที่บ้านดีนะ แต่อุ่นใหม่ตอนเย็นคงไม่อร่อยแล้ว
“อ้าว คุณหนูมาหาบอสเหรอคะ” ขณะที่กมล หัวหน้าฝ่ายการตลาดของพิธาลงมาเอาเอกสารชั้นล่าง สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นหญิงสาวร่างเล็กที่เคยเข้ามาในบริษัทนี้บ่อย ๆ กมลที่ทำงานที่นี่หลายปีจึงเดินเข้าไปทักทายตามปกติ
คุณหนูที่ใครหลาย ๆ คนในบริษัทต้องให้ความเคารพ เหมือนกับเคารพบอส เพราะมีตำแหน่งเป็นถึงลูกสาวของประธานบริษัท แม้จะรู้ว่าไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นลูก และพวกเธอก็ต้องปฏิบัติกับหญิงสาวด้วยความนอบน้อม
“สวัสดีค่ะพี่กมล ใช่ค่ะ ส้มมาหาปะป๊า ว่าแต่วันนี้มีอะไรกันหรือเปล่าคะ ทำไมคนเยอะจังเลย” เคียงรักถามขึ้นหลังจากยกมือไหว้ทักทายผู้อาวุโสกว่า
“ใช่ค่ะ มีคนเข้ามาดูงาน แต่ไม่เกี่ยวกับบอสหรอกค่ะ งานนี้คุณพิธานดูแล”
“อ้อ อย่างงี้นี่เอง” เคียงรักพยักหน้าเข้าใจ
คุณพิธานก็คือน้องชายของปะป๊า หรือมีศักดิ์เป็นคุณอาของเธอ เวลาไปบ้านใหญ่บางครั้งเธอก็เจอเขา แต่ไม่ค่อยได้คุยกัน
“งั้นคุณหนูขึ้นไปพร้อมดิฉันไหมคะ ดิฉันก็จะขึ้นเอางานไปให้บอสพอดี”
“ได้ค่ะ พี่เรียกหนูว่าส้มก็ได้ค่ะ ไม่ต้องเรียกคุณหนูหรอก มันดูแปลก ๆ” เคียงรักก้าวเท้าตามหล่อนไป พร้อมกับบอกสรรพนามที่คิดว่าน่าจะเหมาะกว่า
แค่ที่บ้านก็แปลก ๆ พอแล้ว ที่ทำงานก็ยังจะมีคนเรียกอีก
“ไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าบอสได้ยินเข้าก็อาจจะว่าพวกเราได้” กมลรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที ใครต่อใครก็รู้ว่าคุณพิธานั้นสั่งอะไรมาแล้วต้องทำตาม และบอสก็ได้สั่งให้ทุกคนนั้นเรียกลูกเลี้ยงของเขาว่าคุณหนู ใครจะกล้าเรียกแค่ชื่อเล่นเฉย ๆ กัน
“ปะ... เอ่อ คุณพิธาเขาน่ากลัวมากเลยเหรอคะ” เมื่อเห็นท่าทีลำบากใจของอีกฝ่ายเคียงรักจึงสงสัยว่าเมื่ออยู่ที่บริษัทปะป๊าผู้แสนใจดีของเธอเป็นคนแบบไหน
“ใช่ค่ะ ใครเข้าไปคุยงานด้วยก็เกร็งจนเป็นตะคริวกันเลยล่ะค่ะ” หล่อนหลุดปากตอบอย่างไม่ทันคิด
ไม่แปลกหรอกที่หญิงสาวตรงหน้าจะถาม เป็นถึงลูกเลี้ยงคงไม่เคยเจอโหมดที่บอสโกรธหรือวีนจนพนักงานหน้าซีดไปตาม ๆ กัน ดูจากกิริยาและน้ำเสียงแล้วก็คงเป็นลูกสาวที่เชื่อฟังมาก เธอดูเรียบร้อย ไม่มีอะไรที่จะทำให้บอสนั้นดุได้
ระหว่างที่คุยกันสัพเพเหระทั้งสองก็มาถึงห้องทำงานของพิธา พนักงานสาวจึงไหว้วานให้เคียงรักนั้นเอางานไปให้เขาแทน เพราะขืนเธอเข้าไปอย่างไรบอสก็คงไล่ออกมาอย่างรวดเร็วอยู่ดี
ก๊อก ๆๆ
“เข้ามา” เสียงทุ้มเข้มห้วนเสียยิ่งกว่าอะไรเอ่ยออกมาจากในห้อง เพราะว่าไม่รู้ว่าคนที่กำลังเคาะอยู่เป็นลูกเลี้ยงของตัวเอง น้ำเสียงจึงติดจะสั่งการตามตำแหน่งประธาน
“ขออนุญาตนะคะ” เคียงรักตอบกลับขณะเปิดประตูเข้าไปในห้อง ฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้วก็ไม่แปลกที่ใครต่อใครต่างหวาดกลัว เพราะน้ำเสียงนี้ไร้ซึ่งความอ่อนโยนหรืออบอุ่น ไม่เหมือนยามที่ใช้คุยกับเคียงรักเลยสักนิด
“ส้ม” พิธาที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอยู่ไม่ได้สนใจว่าใครเคาะประตู แต่เมื่อได้ยินน้ำเสียงหวานใสนี้เขาถึงกับต้องรีบเงยหน้าขึ้นไปมองทันที
“ค่ะ ส้มเอง ตกใจเหรอคะที่เป็นหนู” เคียงรักยิ้มแฉ่งอย่างสดใสให้คนตรงหน้า
“ใช่ครับ ไม่คิดว่าหนูจะมาหาปะป๊าที่บริษัท” คิ้วเข้มที่ขมวดมุ่นพลันคลายออกอัตโนมัติ
“เพราะว่าหนูอยู่บ้านแล้วเบื่อน่ะค่ะเลยมาหาปะป๊า ดีใจไหมคะที่เจอหนู” ร่างบางเดินตรงไปหาเจ้าของห้อง
“ทำไมต้องน่ารักขนาดนี้ครับ ฮึ” พิธามองดูหญิงสาวที่กำลังพูดจาน่ารักน่าเอ็นดูไม่วางตา
จะทำให้เขาหลงเลยหรือไงกัน
“ปะป๊าทำงานอยู่เหรอคะ” เคียงรักวางเอกสารของเลขาลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินอ้อมไปใกล้เขาแล้วโน้มตัวมองไฟล์งานที่อยู่ในหน้าจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่
“ใช่ครับ” พิธาตอบทั้งที่ดวงตาคมเข้มของตัวเองนั้นเอาแต่จดจ้องมองใบหน้าหวานของหญิงสาวที่อยู่ห่างกันแค่คืบจนเห็นเลือดฝาดบนแก้มนวล พลางคิดว่าเขาเอาอะไรให้เธอกินนะถึงได้น่ารักเสียขนาดนี้
ตอนนี้พิธานั่งอยู่บนเก้าอี้ทำให้ใบหน้าเขาอยู่ตำแหน่งเดียวกับหน้าอกของหญิงสาว สายตาคมเผลอมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจ จนกระทั่งความคิดเริ่มเลยเถิดเขาจึงต้องพยายามระงับมันเอาไว้ ยิ่งบางครั้งที่ความต้องการร้อนระอุขึ้นมา เขาก็ต้องคอยย้ำตัวเองเสมอว่าเคียงรักคือลูก คือลูกเลี้ยงของตัวเอง
“งั้นหนูไม่รบกวนแล้วค่ะ หนูแค่เอาเค้กกล้วยหอมมาให้เป็นของว่าง” เคียงรักที่คิดว่าตัวเองคงจะมารบกวนเวลางานของเขาแล้วรีบหยัดตัวตรงและชูกล่องในมือขึ้น เธอเปิดเอาฝากล่องออกให้เขาเห็นว่าข้างในเป็นเค้กกล้วยหอม ขนมชนิดโปรดของเขา
“หนูทำเองใช่ไหมครับ หอมและน่ากินขนาดนี้” พิธารับกล่องสีครีมที่ตัวกล่องยังอุ่น ๆ อยู่จากหญิงสาวมาถือเอาไว้ เขาก้มหน้ามองดูเค้กหน้าตาสวยงามข้างในสี่ชิ้นพลางใช้จมูกสูดดมกลิ่นหอมหวาน
“ปะป๊ารู้ด้วยเหรอคะ”
“ใช่ครับ คนที่ชอบอบเค้กเป็นรูปหัวใจและใส่กล่องลายจุดแบบนี้จะเป็นใครได้อีกนอกจากฝีมือของส้ม คนน่ารักของปะป๊า” เขารู้ดีว่าเธอชอบลายจุดขนาดไหน
“งั้นถ้ารู้ว่าหนูทำก็ต้องกินให้หมดนะคะ หนูตั้งใจทำมาก ๆ เลยนะ กว่าจะออกมาสวยต้องอบตั้งหลายรอบเลย” เคียงรักพูดเจื้อยแจ้ว แม้จะไม่ใช่เมนูที่ทำยากแต่เธอเพิ่งทำครั้งแรก และลงมือทำเองทุกขั้นตอนโดยไม่ให้แม่บ้านเข้ามาช่วย
“ได้สิ แล้วนี่ไปเอากล้วยมาจากไหนล่ะครับ หรือไปซื้อมา”
“คุณแม่พรเอามาให้ค่ะ หนูเห็นว่ากล้วยสุกแล้วถ้าไม่เอามาแปรรูปอาจจะทานไม่ทันและเน่าไปก่อน หนูก็เลยเอามาทำเป็นเค้กกล้วยหอมให้ปะป๊า”
“ดีมากครับ ปะป๊าเองก็อยากกินอยู่พอดีเลย” พิธาพูดพลางวางกล่องลงบนที่ว่างบนโต๊ะ แล้วยกเค้กออกมาหนึ่งชิ้น เขาแกะเนื้อเค้กออกจากพิมพ์และกระดาษฟอยล์ก่อนจะกัดเข้าไปคำโต
“เป็นไงบ้างคะ อร่อยไหม” เคียงรักที่เห็นเขากินเลยก็ตื่นเต้นทันที
เธอไม่ค่อยเก่งเรื่องการทำขนม แต่ที่ช่วงนี้เข้าครัวฝึกทำของหวานเพราะเห็นว่าเขาชอบ เคียงรักเริ่มจากบัวลอยไข่หวาน กล้วยบวชชี วุ้นกะทิ วุ้นใบเตย อะไรที่ทำง่าย ๆ ขั้นตอนไม่ซับซ้อนเธอก็จะทำโดยมีแม่บ้านคอยให้คำแนะนำอยู่ห่าง ๆ แต่อะไรที่ยากหน่อยก็ต้องเป็นลูกมือทั้งแม่บ้านและคุณแม่พรเพื่อไม่ให้ครัวพังไปเสียก่อน
“อื้ม อร่อยมากเลยครับ ไม่หวานมาก เก่งขึ้นนะเนี่ย” พิธาเอ่ยชมออกไปจากใจจริงเพราะรสชาตินี้อร่อยถูกปากเขา
“ค่อยยังชั่ว หนูดีใจที่ปะป๊าชอบนะคะ” เคียงรักยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจที่ได้รับคำชม แม้จะได้รับคำชมมาเสมอ แต่เมื่อได้ยินอีกเมื่อใดหญิงสาวก็มักจะมีความสุข และยิ้มออกมาด้วยหัวใจที่เบ่งบานทุกครั้ง
“หนูทำอะไรให้ปะป๊า ปะป๊าก็ชอบหมดแหละครับ” พิธาจัดการเค้กกล้วยหอมทุกชิ้นจนหมด เขาหยิบเอากระดาษทิชชูจากลิ้นชักมาเช็ดทำความสะอาดที่มือ ก่อนจะกวักมือเรียกให้หญิงสาวมานั่งลงบนตัก
“ปะป๊า...”
“ฮื้ม ว่าไงครับ” พิธาเอ่ยถามขณะที่เกยคางอยู่บนบ่าของเคียงรัก
“นานมากเลยนะคะที่ปะป๊าจะเป็นคนชวนหนูมานั่งตรงนี้ ตั้งแต่หนูเข้ามหาลัยปะป๊าก็เหมือนตีตัวออกหากจากหนู” พูดจบเคียงรักก็หันกลับไปตวัดแขนโอบกอดลำคอกำยำไว้แน่น นานมากแล้ว นานมากที่เธอไม่ได้กอดร่างใหญ่แบบนี้
“ปะป๊าไม่ได้ตีตัวออกหากจากส้มนะครับ” พิธายกแขนขึ้นกอดตอบหลวม ๆ
“แต่หนูรู้สึกได้ พอหนูเข้าม.ปลายแล้วปะป๊าก็ให้แยกห้องนอน ไม่ให้หนูกอดหรือหอมเหมือนตอนที่แม่จากไปใหม่ ๆ” น้ำเสียงที่ต่อว่าเจือความเศร้าอยู่เล็กน้อยจนคนฟังต้องลูบศีรษะเล็กเพื่อปลอบโยน
“ก็เพราะหนูโตแล้วไงครับ หนูไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ปะป๊าก็จำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้น” พิธาพยายามอธิบาย
“ถ้าสมมุติหนูยังไม่โต ปะป๊าก็จะทำแบบเดิมเหรอคะ” เคียงรักถามอย่างสงสัย
“ครับ”
“งั้นหนูไม่อยากโตเลยค่ะ เพราะอ้อมกอดของปะป๊าอบอุ่น หนูกอดทีไรก็รู้สึกปลอดภัย แต่พอไม่มีแล้วหนูไม่ชินเอาซะเลย ถึงจะผ่านมาหลายปีแต่หนูก็ยังอยากกลับไปกอดปะป๊าอยู่ดี”
“ทำไมอยู่ ๆ ก็งอแงได้ครับ” พิธาลูบที่แผ่นหลังของเคียงรักเบา ๆ
“ก็เพราะหนูติดกอดจากปะป๊าไงคะ รู้ไหมว่าทุกคืนหนูต้องแอบย่องเข้าไปกอดปะป๊าทุกคืน พอกอดจนพอใจแล้วหนูถึงกลับไปนอนหลับได้” เคียงรักพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาข้างกกหูของพิธา
“และก็หอมปะป๊าก่อนกลับด้วยใช่ไหมครับ” เขาถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“ปะป๊ารู้...” เคียงรักเบิกตาโตด้วยความตกใจ
“ปะป๊าก็ว่าอยู่ แมวขโมยที่ไหนมาขโมยกอด และยังมาหอมที่แก้มปะป๊าด้วย” พิธายิ้มก่อนจะคลายอ้อมกอด เขาเอามือไปเกลี่ยที่พวงแก้มของเคียงรักแผ่วเบา น้ำเสียงที่แหบพร่าแต่กลับเย้ายวนใจนั้นเอ่ยกับคนที่นั่งอยู่บนตักจนหญิงสาวหน้าขึ้นสีเล็กน้อย
“ปะป๊ารู้ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ทำไมถึงไม่พูด” เคียงรักเม้มปากเข้าหากัน หน้าที่ขึ้นสีจาง ๆ บัดนี้ขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อเพิ่มขึ้นด้วยความประหม่าจากสายตาที่จ้องมองเธออยู่
“เจ็ดปี เจ็ดปีที่แมวขโมยมาขโมยกอดและหอมแก้มปะป๊า เอ หนูว่าปะป๊าควรทำยังไงกับแมวขโมยตัวนี้ดีครับ”
“ปะป๊ารู้มาตั้งแต่แรกเลยเหรอ”
“ครับ ปะป๊ารู้ตั้งแต่วันแรกที่แมวขโมยตัวนี้ทั้งกอด ทั้งจูบ แถมยังบอกรักปะป๊าด้วย”
“ปะป๊า...”
“ฮึ ว่าไงครับส้ม แมวขโมยของปะป๊า”
