สอง
หนุ่มน้อยในชุดสีฟ้าหม่นมีรอยปะชุนหลายแห่งเร่งฝีเท้าก้าวเดินไปตามถนนจนกระทั่งหยุดลงที่หน้าหอนางโลมนามซือเซียน ด้านหน้าไร้ผู้คนเดินเข้าออกอย่างร้านหรือหออาหารข้างเคียง เพราะเวลานี้เพียงยามเว่ยเท่านั้น หอนางโลมแห่งนี้ยังไม่เปิดให้บริการ
พอเหม่ยจูมาถึงก็เอ่ยสองสามประโยคแก่คนเฝ้าหน้าประตูข้างหน้าก็ได้เข้าไปแล้ว ภายในหอนางโลมมีบุรุษหลายสิบคนกำลังช่วยกันจัดของและล้างทำความสะอาดเยี่ยงทุกวัน จุดดึงดูดสายตาของหอนางโลมแห่งนี้คงจะเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านซ้าย โดยกึ่งกลางสระมีพื้นที่ขนาดพอดีไว้สำหรับจัดแสดงแล้วแต่วันว่ามีการแสดงใด พอเดินเข้ามาด้านในจะเป็นแหล่งรวมชุดโต๊ะทานอาหารระดับหนึ่งหรือก็คือระดับต่ำสุด ราคาเข้าถึงง่าย พอเดินเข้าไปอีกหน่อยทางขวามือเป็นชุดโต๊ะระดับสอง และทางซ้ายมือเป็นบันไดขึ้นไปยังห้องพิเศษที่แยกเป็นส่วนระดับสาม และด้านในสุดคือห้องระดับสี่ที่มีเตียงและห้องอาบน้ำพร้อมอยู่ค้างคืน
และส่วนสุดท้ายเข้าไปลึกสุดของชั้นสองผ่านห้องระดับสี่ไปจะเป็นห้องของเหล่าสาวงาม เป็นแหล่งที่หลับนอน อยู่กิน มีสองชั้นสามารถเข้าได้จากทางเดินชั้นหนึ่งและทะลุห้องระดับสี่มาทางชั้นสอง
ซึ่งเหม่ยจูก็กำลังไปที่นั่น ที่พักของเหล่าสาวงาม
“หมอจูมาแล้ว พวกนางกำลังรอเจ้าอยู่จริงเชียว”
เหม่ยจูถูกสตรีแต่งหน้าเข้มปากแดงคนหนึ่งที่ดูมีอายุมากที่สุดในนี้ดึงแขนไป นางคนนี้นามว่าลี่ฮวาเป็นมามาของที่นี่และเป็นคนรับเหม่ยจูเข้ามาทำงานที่นี่เช่นกัน
ลี่มามาหมุนตัวกลับไปยังแม่นางน้อยหลายสิบคนที่ตอนนี้มารวมกันที่ห้องใหญ่แห่งนี้เพื่อทำการแต่งตัวแต่งหน้า เตรียมทำงานในคืนนี้
“แม่นางคนนี้ให้พวกเจ้าเรียกว่าหมอจูแล้วกัน ต่อไปนี้จะมาเป็นหมอประจำที่หอซือเซียนแห่งนี้เป็นต้นไป หากพวกเจ้ามีปัญหาอันใดเรียกหมอจูได้”
“รับทราบเจ้าค่ะ” เสียงตอบรับพร้อมเพรียงทำให้เหม่ยจูหยักยิ้มสบายใจขึ้น
“หมอจูหยิบชุดสีแดงลายดอกกุ้ยฮวาให้ข้าหน่อย...”
“หมอจูทาชาดให้ข้าหน่อย ข้าจะต้องรีบไปแสดงเต้นรำแล้ว...”
“หมอจูยกน้ำมาให้พวกข้าที พวกข้าทำงานมาเหนื่อย ๆ กระหายไม่ไหวแล้ว...”
“หมอจู...”
“หมอจู...”
“หมอจู...”
หมอจูบ้าบอน่ะสิ นี่มันหน้าที่บ่าวรับใช้ชัด ๆ จะต่างกันก็แค่เพียงสรรพนามที่พวกนางเรียกเหม่ยจูว่าหมอจูเท่านั้น นอกนั้นก็เป็นเยี่ยงบ่าวคนนึง อาจเพราะเหม่ยจูแต่งกายด้วยชุดเยี่ยงบุรุษ สีชุดเป็นชุดสีซีดและรวบผมขึ้นพันผมด้วยผ้าผืนหนึ่ง และนอกจากนี้นางก็ใช้ถ่านผสมน้ำและทาทั่วตัวทั่วหน้า ทำให้ผิวหมองคล้ำ อีกทั้งเหม่ยจูคนนี้ก็ถือว่าเป็นสตรีร่างเล็ก ส่วนสูงเพียงหกฉื่อกว่า(150เซนติเมตรกว่าเกือบ160เซนติเมตร) ทำให้ดูไม่มีพิษมีภัย และสั่งให้ทำอะไรก็คล่องแคล่วว่องไว นางจึงถูกใช้ให้ทำหลายอย่างเสียยิ่งกว่าบ่าวของหอแห่งนี้เสียอีก
การที่เหม่ยจูแต่งกายเยี่ยงบุรุษนั้นเป็นคำแนะนำของมามาเอง เพื่อป้องกันไม่ให้นางปะปนแยกสถานะจากนางคณิกาชัดเจน โดยไม่ว่าจะเป็นมามาหรือว่าเหล่านางในหอนางคนต่างก็รู้ว่าหมอจูคือสตรีเพียงแต่งกายเป็นชายเท่านั้น
พอเข้ายามโหย่วเป็นเวลาที่หอซือเซียนเปิดทำการเหล่านางคณิกาทั้งที่ขายเพียงศิลปะและขายเรือนร่างด้วยก็ออกไปจากห้องแต่งตัว เพื่อเตรียมทำงานทำให้เหม่ยจูได้มีโอกาสหยุดพักบ้าง
เหม่ยจูมีหน้าที่เพียงรอช่วยเหลือเหล่านางคณิกาที่ด้านหลังเท่านั้นไม่จำเป็นต้องไปด้านหอที่เปิดให้คนเข้ามาใช้บริการ เป็นการที่เหมือนจะลำบากแต่ก็ถือว่าสบายมากสำหรับนาง
ตลอดหลายวันที่เหม่ยจูทำงานงานเป็นหมอประจำที่หอนางโลมซือเซียนแห่งนี้นางทำหน้าที่หมอจริง ๆนับจำนวนครั้งได้เลย ส่วนใหญ่จะไปช่วยพี่ ๆบ่าวของหอที่นี่ทำงานเสียมากกว่า เพื่อเป็นการผูกมิตรการทำงานที่นี่จะได้ราบรื่นอย่างไรเล่า
“หมอจูแม่นางฟางซินเกิดหมดสติตอนรำขึ้นมา ไปดูนางหน่อยเถิด”
บ่าวนางหนึ่งเดินเข้ามาบอกแก่นางจากนั้นก็นำไป แม่นางฟางซินตอนนี้อยู่บนเตียงขนาดพอดีตัวในห้องพักห้องหนึ่ง ใบหน้าขาวซีด มีบ่าวสตรีอีกนางคอยให้ดมยาหอมทำให้อาการดีขึ้น
แม่นางฟางซินผู้นี้ถือเป็นดาวเด่นของหอซือเซียน เป็นนางคณิกาขายศิลป์ไม่ขายเรือนร่าง มีฝีมือการร่ายรำโดดเด่น อีกทั้งรูปร่างและใบหน้าของนางก็สวยสง่า ทรวดทรง อก เอว นูนเด่น จะเป็นด่าวเด่นก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร เหม่ยจูเดินมานั่งลงข้างเตียง เอื้อมมือขึ้นคลำชีพจร นิ่งสักพักและก็ต้องตกใจโดยพลัน ดวงตากลมโตเหลือกขึ้นมองเจ้าของใบหน้าซีดขาวที่ลืมตาได้สติพอดี
“พวกพี่ทั้งสองช่วยไปเตรียมผ้าชุบน้ำให้ข้าทีเถิด แล้วก็นำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้แม่นางฟางซินด้วย”
เหม่ยจูหันไปสั่งบ่าวด้านหลังรอจนทั้งสองนางออกไปจากห้องหมดก็หันกลับมามองสบหน้ากับสตรีบนเตียงนิ่ง
“เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าตั้งครรภ์อยู่”
เสียงไม่ดังมากดังออกมาจากปากเหม่ยจู เจ้าตัวที่ควรตกใจแต่ความจริงแล้วกลับมาสีหน้าเฉยเมยติดเศร้าสลด “แล้วจะเอาอย่างไรต่อหรือ ตามหน้าที่ของข้าแล้วจำต้องบอกลี่มามานะ”
เหม่ยจูให้บ่าวทั้งสองคนออกไปก่อนเพราะนางอยากคุยกับคนตรงหน้า เพราะนางรู้ว่าการที่ตั้งครรภ์ขึ้นมานี้หากคนอื่นรู้เข้าย่อมไม่เป็นผลดีต่อนางคณิกาเป็นแน่ และยิ่งสตรีตรงหน้าคือดาวเด่นเสียด้วย ดังนั้นเหม่ยจูจึงให้โอกาสฟางซินก่อน นางไม่อยากทำร้ายอนาคตใคร
“ข้ารู้และต้องขอบใจเจ้ามากที่ไม่บอกใคร ข้ากำลังจะจัดการอีกไม่นาน”
เหม่ยจูมองสตรีตรงหน้าอย่างรู้สึกเวทนา ที่ฟางซินบอกว่าจัดการคงหมายถึงทำแท้งกระมัง แววตาเด็ดเดี่ยวแต่แอบแฝงความเศร้านั่นทำเอาเหม่ยจูเบือนหน้าหนี
...เหม่ยจูช่วยนางได้เพียงเท่านี้แหละ นอกจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวแล้ว นางไม่สามารถตัดสินใจแทนได้
“อย่างนั้นข้าจะไม่บอกใครเรื่องนี้แล้วกัน ข้าจะบอกกับทุกคนว่าแม่นางเป็นไข้หนักและขอให้ลี่มามาให้เจ้าหยุดงานสักพักหนึ่ง”
ฟางซินเงยหน้าขึ้นสบตาหมอจูด้วยสายตาขอบคุณ หากไม่ได้หมอจูนางคงจะถูกปลดออกจากการเป็นนางโลมขายศิลป์เสียแล้ว ที่หอซือเซียนแห่งนี้ให้อิสระเรื่องการให้นางคณิกาเลือกว่าจะขายร่างกายหรือไม่ก็จริง แต่ก็มีกฎอยู่ว่านางคณิกาที่ขายศิลป์นั้นต้องเป็นสาวบริสุทธ์ มิเช่นนั้นจะต้องถูกนำไปเป็นนางคณิกาขายเรือนร่างทันทีไม่สามารถเลือกได้ ความจริงนางเคยมีคนรักและมีอะไรกัน ไม่คิดว่าจะเผลอเลอจนตั้งครรภ์ได้ และที่นางอยากขอบคุณหมอจูผู้นี้มากยิ่งขึ้นเมื่อนอกจากจะช่วยปกปิดความลับนี้แล้ว นางยังช่วยหาเหตุผลให้ฟางซินได้หยุดพักเพื่อทำแท้งและรักษาตัวด้วย
ไม่นานบ่าวทั้งสองก็เดินถือของเข้ามา และเหม่ยจูก็ไปบอกลี่มามาตามที่ให้สัญญาไว้กับฟางซิน
ช่วงกลางคืนเหม่ยจูทำงานที่หอนางโลมซือเซียนจนถึงยามโฉ่วก็กลับจวนตระกูลหง โดยเข้าทางรูข้างล่างกำแพงด้านกำแพงจวนที่อยู่ลึกเข้าไปในป่าไผ่ ตามจริงหลังจวนตรงเรือนที่เหม่ยจูอยู่นั้นก็มีประตูเข้าออกเล็กตามปรกติที่บ่าวในจวนใช้เข้าออกได้ แต่เพื่อความสะดวกนางจึงจัดการสร้างทางเข้าออกลับที่มีเพียงนางเท่านั้นรู้ดีกว่า โพรงที่เหม่ยจูใช้เข้าออกนี้มีขนาดไม่ใหญ่สตรีตัวเล็กประมาณนางเท่านั้นถึงจะผ่านได้ ตอนแรกที่นางบังเอิญมาเจอนั้นโพรงนี้ก็เป็นแค่รูขนาดเท่าหัวคนเท่านั้น แต่เหม่ยจูจัดการทุบให้ใหญ่ขึ้นเองแหละ เสร็จแล้วก็นำพุ่มใบไม่มาบังไว้ ดูผ่าน ๆย่อมไม่สังเกตเห็น และที่สำคัญบริเวณนี้ก็ไม่ใช่ที่ที่ใครจะมาเดินผ่านด้วย มันอยู่ในป่าไผ่ที่ทั้งมืดและรก
เหม่ยจูมักตื่นประมาณยามเฉิน เมื่อวานนางนำเงินส่วนหนึ่งที่ได้มาจากการไปทำงานที่หอซือเซียนไปซื้อวัตถุดิบมาให้แม่นมทำอาหารแล้ว ซึ่งเงินที่ได้มานั้นไม่พอที่จะซื้อเนื้อได้ นางจะเน้นซื้อเป็นของราคาถูกแต่ให้พลังงานเยอะแทน ซึ่งหากยังเป็นอย่างนี้ต่อไปทั้งเหม่ยจูและแม่นมคงได้แก่ตายหรอกอาจขาดสารอาหารจนตายก็ได้ นั่นทำให้นางคิดว่านางต้องใช้เวลาช่วงกลางวันหาทางทำเงินเพิ่ม ต้องเป็นงานที่ได้เงินมากหน่อยซึ่งเท่าที่คิดออกจำต้องเป็นเรื่องการค้า แต่ปัญหาคือนางจะขายอันใดเล่า ต้องเป็นสิ่งที่ไม่ใช้เงินลงทุนมากด้วยเพราะนางไม่มีเงินนั่นเอง
“คุณหนูเจ้าคะ บ่าวเอาผ้าไปส่งก่อนนะเจ้าคะ แล้วคงจะเลยไปทำงานในครัวเลย”
จื่อเหยียนหอบเสื้อชุดหนึ่งในอ้อมกอดกำลังจะเดินออกไป แต่เป็นเหม่ยจูเรียกไว้ก่อน
“แม่นมรับปักผ้าได้เงินเท่าไหร่หรือ”
ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนเกิดรอยเหี่ยวย่นขึ้นที่หว่างคิ้ว แต่ก็เอ่ยปากตอบ
“ชุดละห้าอีแปะบ้างสิบอีแปะบ้างเจ้าค่ะ คุณหนูถามทำไมหรือ”
...โห ถูกมาก แม่นมของนางนั่งหลังขดหลังแข็งทำทั้งคืนทั้งวันตัวนึงก็หลายวันได้เพียงไม่กี่อีแปะ และหากดูที่ฝีปักขนาดเหม่ยจูไม่ได้มีประสบการณ์ด้านการปักผ้ายังรู้ว่าฝีปักทั้งเรียบร้อยและสวยงามมาก เจ้าบ่าวพวกนั้นคงเห็นว่าพวกนางเป็นดังลูกพลับนิ่มถึงได้กดราคากันขนาดนี้
“ไม่มีอะไรจ้ะ แม่นมไปเถอะ ดูแลตัวเองด้วยนะ”
“เจ้าค่ะ คุณหนู”
