หนึ่ง
แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านร่องเล็กใหญ่เข้ามากระทบร่างบางของสตรีสองนางที่นั่งอยู่ภายในเรือนหลังหนึ่ง ร่างออกอวบหนาสวมเสื้อผ้าเก่าที่เต็มไปด้วยรอยปรุแทบทั้งชุดกำลังก้ม ๆเงย ๆหน้าเตาเติมฟืนเพื่อเคี่ยวน้ำในหม้อก่อนหันไปมองสตรีอีกนางที่นั่งอยู่ด้านหลังหน้ากองผ้ากองโต ใบหน้านวลไร้เครื่องประทินผิวต้องแสงอาทิตย์ดูงดงามสบายตาขัดกับเรียวคิ้วขมวดมุ่นและริมฝีปากมู่ทู่อย่างยิ่ง
“ข้าไม่ไหวจริง ๆงานเย็บปักมิใช่ทางถนัดข้าเสียเลย”
เจ้าของร่างผอมบางเจ้าของนามว่าเหม่ยจูโยนเข็มและผ้าที่ตัวเองกำลังเย็บอยู่ลงบนกองผ้ากองใหญ่ข้างหน้า น้ำเสียงแฝงความไม่พอใจกึ่งเล่นนั่นสร้างรอยยิ้มเอ็นดูขึ้นบนใบหน้าขอสตรีวัยกลางทันที
“คุณหนูนั่งเฉย ๆรอบ่าวเตรียมสำรับเถอะเจ้าค่ะ บ่าวก็บอกแล้วว่างานพวกนี้ท่านไม่ต้องทำ หากบ่าวทำอาหารเสร็จเดี๋ยวไปทำต่อเอง”
“คุณหนูอะไรกัน ข้าก็บอกให้ท่านเรียกข้าว่าเสี่ยวจูอย่างไรเล่า”
ไม่พูดเปล่าร่างบอบบางในชุดสีหม่นเนื้อผ้าหยาบก็เดินเข้ามาเกยคางกับบ่าวที่เปรียบเสมือนแม่อีกคนนามว่าจื่อเหยียน นางอายุราวสี่สิบปีต้น รูปร่างอวบเล็กน้อย แต่มีความสูงน้อยกว่านาง ใบหน้าของจื่อเหยียนมักจะประดับรอยยิ้มอบอุ่นเสมอแม้ว่าจะเจอเรื่องร้ายอันใดก็ตาม เป็นเพราะนางนั้นมิอยากให้คุณหนูของตนต้องทุกข์ใจไปมากกว่านี้
“บ่าวก็ลืมไปบ้างเจ้าค่ะ เสี่ยวจูไปนั่งรอเถิด”
“นี่แหนะ เรียกแทนตัวเองว่าบ่าวได้อย่างไรกัน ข้าบอกแล้วว่าข้านับถือท่านอย่างแม่คนหนึ่ง มิใช่ในฐานะบ่าว”
เหม่ยจูตีเบา ๆที่แขนของแม่นมตน ก่อนไปนั่งตามที่นางเอ่ยแนะ
“เมื่อวานนี้ข้าไปหางานได้แล้ว หากข้าได้เงินก้อนแรกมาท่านจะได้เลิกทำงานพวกนี้เสีย”
เหม่ยจูนึกย้อนไปตอนที่นางเพิ่งเข้ามาเกิดในร่างนี้ใหม่ ๆ ครานั้นร่างเดิมทนพิษไข้ไม่ไหวจึงหมดลมหายใจไป และเป็นนาง นามเหม่ยจูเช่นเดียวกัน แต่เป็นคุณหมอดาวรุ่งรุ่นใหม่ในยุคศตวรรษที่ยี่สิบ ที่เพิ่งเรียนจบหมาด ๆด้วยความไฟแรงอยากทำงานที่มีความก้าวหน้าสูงเงินเดือนมาก จึงตอบรับคำเชิญไปเป็นหมอในองค์กรลึกลับแห่งหนึ่ง หลังจากทำงานไปได้ไม่ถึงสิบปีเพิ่งมารู้ก่อนตายว่าตนเองถูกนำมาเป็นหนึ่งในหนูทดลองการเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอ ซึ่งในปีสุดท้ายก่อนตายนั้น นางถูกจับฉีดสารบางชนิดเข้าร่างกายซึ่งเป็นขั้นสุดท้ายของการทดลองนั้น และก็เป็นเรื่องที่น่าผิดหวังเพราะหากการทดลองสำเร็จนางคงไม่ตายแล้วเกิดใหม่ในยุคโบราณเช่นนี้หรอก
โดยตอนที่คุณหมอเหม่ยจูมาเกิดร่างกายนี้ช่างอ่อนแอยิ่งนัก ร่างกายก็ผ่ายผอม ทั้งยังเป็นไข้หนัก ยาก็ไม่มีรักษา ด้วยโชคของนางหรืออย่างไรไม่สามารถรู้ได้ นอกจากจะได้เกิดใหม่แล้วยังได้พรทำให้ร่างกายค่อย ๆดีขึ้นจนกระทั่งหายจากป่วยได้ในสามวันต่อมา โดยมิต้องดื่มยาสักเทียบ
และหากนับแต่วันที่คุณหมอเหม่ยจูรู้สึกตัวในร่างนี้นางก็เห็นเพียงสตรีวัยกลางคนนามจื่อเหยียนซึ่งคือบ่าวที่รับใช้มาตั้งแต่สมัยที่มารดาของร่างนี้แต่งเข้าสู่ตระกูลหงใหม่ ๆจวบจนตายจากไป และหลังจากนั้นไม่นานคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหงนามเหม่ยจูคนนี้ก็ค่อย ๆถูกละเลยจากบิดาผู้ให้กำเนิดและมารดาใหม่ที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งฮูหยินใหญ่ เรือนที่อาศัยอยู่ก็ตั้งอยู่ท้ายสุดในจวน รอบข้างมีแต่ป่า เบี้ยหวัดที่ควรได้รายเดือนก็ค่อย ๆลดลงจนเงียบหายเข้ากลีบเมฆ ทำให้จื่อเหยียนต้องอาศัยที่ตนมีฝีมือปักเย็บผ้างามยิ่งรับจ้างซ่อมแซมเสื้อผ้าหรือปักผ้าจากบ่าวฝ่ายเสื้อผ้าในจวน เพื่อนำเงินมาซื้ออาหารเลี้ยงดูตนเองและคุณหนูอย่างนาง
ซึ่งพอกลายเป็นคุณหมอเหม่ยจูคนนี้เข้ามาอาศัยร่างนี้อยู่แล้วนางย่อมไม่ยอมงอมืองอเท้ารอวันอดตายเด็ดขาด เมื่อวานนี้นางออกไปหางานข้างนอกและได้งานมาแล้ว รอคืนนี้เป็นคืนแรกที่นางจะได้เริ่มงาน
“หากเสี่ยวจูหมายถึงงานที่หอนางโลมซือเซียนล่ะก็ บ่าวไม่ให้ไปนะเจ้าคะ”
แม่นมจื่อเหยียนหันกลับมาจ้องเขม็งปรับสีหน้าให้ดูจริงจัง ซึ่งแม้ครานี้จื่อเหยียนจะเรียกแทนตัวเองต่ำต้อยอย่างเคย เหม่ยจูก็ไม่กล้าขัดแล้ว นางเปลี่ยนเป็นโหมดจริงจังโต้กลับอย่างไม่คิดยอมให้
“ข้าไม่อยากให้ท่านต้องทำงานหนัก หลังแข็งปักผ้าที่ได้เพียงเสี้ยวเงินอย่างนี้ต่อไปแล้ว งั้นเอาอย่างนี้ไหม เสี่ยวจูคนนี้จะขอทำงานที่นั่นเพียงชั่วคราว พอได้เงินสักก้อนหนึ่งแล้วจะรีบออกทันที”
สิ้นเสียงใส ตาสองคู่จ้องอยู่ชั่วครู่ก็เป็นฝ่ายแม่นมยอมละสายตากลับไปดูน้ำในหมอดินตรงหน้าเป็นเชิงยอมอย่างไม่มิอาจขัดได้
...ตั้งแต่คุณหนูของนางฟื้นจากอาการไข้ก็เปลี่ยนไปราวคนละคน จากนิสัยยอมคน เชื่อฟังนางมาโดยตลอดกลับกลายเป็นมักต่อต้านนางเสียอย่างนั้น ซึ่งมิใช่ว่าไม่ดี นางออกจะชอบคุณหนูตอนนี้ที่ร่าเริงสดใสกว่าในอดีตที่เอาแต่ทำหน้าอมทุกข์นิ่งเงียบตลอดเวลาเสียด้วยซ้ำ แต่บางอย่างมันก็เกินรับไหว จากแต่ก่อนเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ครานี้เสี่ยวจูของนางกลับแอบหนีออกไปนอกจวนเสียทุกวัน ล่าสุดเมื่อวานหนีออกไปยามค่ำคืนโดยไม่บอกนางสักคำ รู้อีกทีก็เห็นคุณหนูของนางย่องเบากลับเรือนตอนย่ำรุ่งวันใหม่เสียแล้ว
เวลาผ่านไปราวสองเค่อน้ำแกงที่แม่นมเคี่ยวก็เป็นอันเสร็จสิ้น ร่างหนาของสตรีวัยกลางคนยกถ้วยน้ำแกงไก่สีใสมาวางที่ตั่งกลางห้องสองชาม ดวงตาเรียวกวาดสายตามองเศษผักสีเขียวและไชเท้าสองชิ้นในชามของตน ก่อนมองไปยังชามของสตรีที่ลงมือทำเมื่อครู่ซึ่งมีเพียงน้ำแกงสีใสและไชเท้าหนึ่งชิ้นเท่านั้น
“หากไม่อิ่มเดี๋ยวบ่าวจะไปอุ่นซาลาเปาให้นะเจ้าคะ”
เหม่ยจูนึกถึงก้อนแป้งสีขาวไร้ไส้ก็พลันส่ายหน้า
“เช้านี้ข้าไม่หิวเลยสักนิด แม่นมทานในส่วนของข้าไปเถอะ ไว้หิวแล้วข้าจะหากินเอง”
พูดพลางเลื่อนชามน้ำแกงของตนไปไว้ตรงหน้าแม่นมและลุกขึ้นจะกลับเข้าห้องตัวเอง แต่ก่อนไปก็หันกลับมากำชับเสียงแข็งกับสตรีที่ตนเคารพก่อน
“หากข้าจับได้ว่าท่านไม่กินข้าจะนำน้ำแกงไปทิ้งเสีย”
จื่อเหยียนมองแผ่นหลังบอบบางของคุณหนูพลางน้ำตาคลอ นางรู้ว่าคุณหนูนั้นเสียสละให้นางกิน มิใช่ไม่หิวหรอก
เหม่ยจูปิดประตูทิ้งร่างผอมบางนั่งลงกับพื้น พลันนึกย้อนไปเมื่อชาติก่อนที่นางอยู่อย่างสุขสบายมีทั้งพ่อและแม่ครบ แต่นางกลับขอออกไปทำงานห่างไกลบ้านไม่เหลียวแลพ่อแม่ตัวเอง วัน ๆทำแต่งาน ไม่อยู่ในห้องผ่าตัดก็ฝังตัวเองอยู่ที่ห้องทดลอง อาหารสามมื้อเลิศรสมิขาดปาก ใช้เงินราวเศษกระดาษ แต่พอมาชาตินี้สิ่งที่นางพบเจอกลับตรงข้ามเสียทุกอย่างไป
บิดาไม่เหลียวแลทิ้งให้หากินเอง อาหารสามมื้อก็เหลือเพียงเศษผักเศษเนื้อที่แม่นมบากหน้าไปขอที่ครัวมาทำอาหารให้นางกิน เงินสักก้อนไม่มีเหลือให้ได้สัมผัส
เฮ้อ ยิ่งคิดก็ยิ่งเหนื่อยใจ ฉะนั้นนางจะไม่คิดเสีย หาทางทำมาหากินนำเงินมาเลี้ยงแม่นมดีกว่า
สิ้นความคิด ร่างบอบบางที่ไหล่ห่ออยู่ก่อนหน้าก็เหยียดตึงโดยพลัน พาร่างกายไปยังหีบเสื้อผ้าจัดการเปลี่ยนชุดตัวเองเพื่อพร้อมออกไปหาเงินนอกจวน
