ตอนที่4.2ลังเล
[“อย่ามากความได้ไหมไอ้คุณโอ ตอนนี้ฉันอยากรู้มากกว่า ว่าผู้หญิงคนนั้นตกลงรับข้อเสนอหรือเปล่า หวังว่านายคงจะได้ข่าวดีมานะ”]
[“คืออย่างนี้นะ ผู้หญิงคนนั้น...”] โอฬารพึมพำงึมงำ
[“เท่าไหร่ ผู้หญิงคนนั้นต้องการเท่าไหร่”] อภิวัฒน์เร่งถามอีกฝ่าย
[“ฟังให้ดีนะไอ้พ่อเลี้ยงอภิวัฒน์ อะแฮ่ม”] กระแอมไอ ลดแรงกดดัน
[“เออ สรุปเท่าไหร่”] อภิวัฒน์ขึ้นเสียง
[“คืองี้นะ ผู้หญิงที่กูให้ไอ้ต๋องมันหาให้ เธอไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่นายคิด เธอไม่รู้เรื่อง ไม่ได้เป็นผู้หญิงอย่างว่า หรือไซด์ไลน์อะไรทั้งนั้น ไอ้ต๋องมันเลว มันล่อลวง วางยาปลุกเซ็กส์ หวังค่าตอบแทน คือ เรื่องนี้กูไม่รู้เรื่องจริงๆนะโว้ยไอ้วัฒน์ ทำไงดีวะ”]
คนทางเชียงใหม่ได้แต่นิ่งเงียบ รู้สึกจุกในอก เหมือนตึกสูงทับอยู่บนตัว อภิวัฒณ์อึ้งกับคำบอกเล่าของเพื่อนถึงนางฟ้ายามราตรี ตอนนี้เขาคิดอะไรไม่ออก ได้แต่เอ่ยเสียงทุ้มเบาส่งไปให้เพื่อน
[“มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง นายต้องติดต่อกับไอ้ต๋อง ฉันต้องเจอผู้หญิงคนนั้นให้ได้ เข้าใจไหมโอฬาร”]อภิวัฒน์รีบกดวางสาย แล้วสูดลมหายใจยาวๆเข้าปอด โยนสมาร์ทโฟนลงบนโต๊ะกระจกอย่างแรง แล้วคว้าวิสกี้ที่วางอยู่ตรงหน้าดื่มแบบไม่ขาดช่วงอย่างโมโหให้กับตัวเอง ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเริ่มถาโถมเข้ามา
“ผมขอโทษ...”
ริชซี่รู้สึกตัวตื่น เพราะข้างกายไร้คนตัวโตนอนกอด เธอลุกขึ้นลงจากเตียงแล้วคว้าเสื้อคลุมสวมใส่ไว้พอหลวมๆ เดินมาหาพ่อเลี้ยง เรียวแขนขาวโอบรอบคอ แล้วยื่นหน้าเกือบชิดปลายจมูกโด่ง
“ตื่นเร็วจัง เราออกไปดินเนอร์ด้วยกันนะคะ” เธอคลอเคลียเขาด้วยริมฝีปากอวบอิ่ม
“ขอผมคิดดูก่อน”
“ทำไมล่ะคะ ก็วัฒน์ยกเวลาให้ริชซี่ทั้งวัน”
“ผมมีงานด่วน แล้วผมจะส่งข้อความหาคุณ” ร่างสูงวางเช็คเงินสดไว้บนโต๊ะกระจกด้วยท่าทีเย็นชา
“วัฒน์!! วัฒน์คะ!!” ขณะที่เธอพยายามรั้งเขาไว้ ร่างสูงคว้าเสื้อสูท แล้วรีบเร่งเดินออกไปจากโรงแรม มือกดสมาร์ทโฟนเรียกหาคนสนิท
[“ยอดมารับฉันด่วน”]
[“ครับคุณวัฒน์”]
รถคันโก้ขับเคลื่อนมาจอดอยู่ตรงหน้าอภิวัฒน์ นายยอดยังไม่ทันลงจากรถไปเปิดประตูรับเจ้านาย พ่อเลี้ยงหน้าเข้มก็เปิดประตูขึ้นรถเองแล้วปิดประตูดัง เผยท่าทางไม่สบอารมณ์
“ไปไหนดีครับ”
“กลับรีสอร์ท แล้วเดี๋ยวนายไปเตรียมจัดกระเป๋าเดินทางของฉันให้เรียบร้อย พรุ่งนี้ฉันจะกลับกรุงเทพฯ”
“มีเรื่องด่วนอะไรเหรอครับ คุณวัฒน์เพิ่งกลับมาจากกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ยังไม่ถึงอาทิตย์เลย แล้วทำไมถึงจะกลับกรุงเทพฯซะล่ะครับ”คนสนิทถามอย่างสงสัย
“ฉันต้องรายงานนายทุกเรื่องเลยหรือไง”
“เอ่อ ไม่ต้องครับ ผมขอโทษครับคุณวัฒน์”ยอดตั้งใจขับรถ ถึงรีสอร์ทดุจตะวัน พ่อเลี้ยงก็สั่งแม่บ้าน จัดการจัดกระเป๋าเสื้อผ้าจนเรียบร้อยพร้อมออกเดินทางกลับกรุงเทพฯในวันรุ่งขึ้น
หน้ารั้วมหาวิทยาลัย
“เกว แกไม่จำเป็นต้องออกจากแกรนด์รอยัลตามฉันก็ได้ ฉันรู้ว่าแกอยากทำงานที่นั่น ”น้ำตาลเผยสีหน้ากังวล
“อย่าคิดมากได้เปล่าตาล ทำงานที่ไหนก็เหมือนกันแหละ แล้วตอนแกไปขอเอกสารการสมัครงานคืน ฝ่ายบุคคลไม่ว่าหรือไง”เกวถามด้วยความสงสัย
“ว่าสิ แต่ทำไงได้ ฉันอยากได้คืน แต่ก็สมควร เฮ้อ!!สายแล้วเรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวเข้างานไม่ทัน วันแรกซะด้วย” น้ำตาลพูดเสียงเบา แล้วก้มดูเวลาในโทรศัพท์ เธอรีบโบกรถแท็กซี่แล้วนั่งรถตรงไปที่ทำงานใหม่พร้อมกับเกว
ถึงโรงแรมพาราไดซ์ สองสาวรีบเปลี่ยนชุดยูนิฟอร์ม พร้อมเข้าทำงานที่ใหม่ด้วยความขยัน โดยเฉพาะน้ำตาล
ห้องLiving room
“นี่ตาล” เกวสะกิดแล้วกระซิบข้างหู
“อะไร”หยุดฟัง มือยังขะมักเขม้นกับการเช็ดโต๊ะกระจก
“ตอนนี้ทุกอย่างลงตัว งานพาร์ทไทม์ก็ได้ทำแล้ว แถมเป็นโรงแรมดังน้องๆแกรนด์รอยัลเลยนะ ฉันว่าเราไปฉลองกันดีไหม ฉันติดใจคอลเทลฟรีที่รอยัลผับอ่ะ ศุกร์นี้เป็นไง” เกวยิ้มกว้าง
“ไม่!”ปฏเสธเสียงลั่น อีกทั้งยังฉายแววตาแค้นเคือง จนพนักงานคนอื่นที่กำลังทำงานอยู่หันมามองเป็นตาเดียวกัน เกวรีบยิ้มกลบเกลื่อนและเตือนเพื่อนสนิท
“เบาๆหน่อยซิตาล แกเป็นอะไร ได้ยินชื่อแกรนด์รอยัลไม่ได้เลย ตั้งแต่คืนนั้น เหมือนแกโกรธเคืองใคร หรือตอนฉันไปเข้าห้องน้ำแกโดนแกล้ง ไหนเล่าให้ฉันฟังซิ” เกวมองหน้าเพื่อนด้วยความสงสัย
“เอ่อ ไม่ ไม่มีใครแกล้งฉัน แต่ ฉันขออะไรแกอย่างได้ไหมเกว ขอร้องเป็นครั้งสุดท้าย แกอย่าพูดถึงโรงแรมบ้าๆนั้นอีก ฉันไม่อยากได้ยินเข้าใจไหม”น้ำตาคลอเบ้า ดวงหน้าหวานๆดูเศร้าจนเพื่อนไม่ซักถามต่อ เกวได้แต่พยักหน้า
“อื้ม...ฉันไม่รู้นะว่าเกิดอะไรขึ้นกับแก หรือมีเรื่องอะไรในใจ ก็ได้ฉันจะไม่พูดถึงโรงแรมบ้าๆ นั่นอีก เพื่อที่แกจะได้สบายใจ”
“ขอบใจมากนะเกว”
“ร้องไห้ทำไม เรามาตั้งใจทำงานกันดีกว่า ท่องไว้ เงินๆๆอนาคตสดใสที่พาราไดซ์ เย้!!” เกวยกมือแตะมือน้ำตาล
“เร็วหน่อยได้ไหมสองสาว จะเช็ดโต๊ะให้เลขขึ้นหรือไง จะหมดเบรกแล้วครับ” ผู้จัดการตะโกนลั่น
“ค่ะ/ค่ะ”
โรงแรมแกรนด์รอยัลซิกตี้
ภายในห้องพักอันหรูหรา อภิวัฒน์กำลังคุยโทรศัพท์กับครอบครัว เสียงอ่อนและสุภาพสมกับเป็นลูกชายที่คุณรำพึงจะห่วง หวง
[“ครับแม่”]
[“ครั้งที่แล้ววัฒน์ก็ไม่กลับมาพักที่บ้าน ครั้งนี้แม่ไม่ยอมนะ เย็นนี้วัฒน์ต้องมาทานข้าวพร้อมพ่อกับแม่”]
[“ครับ”]
[“พ่อกับแม่คิดถึงวัฒน์มากนะ อย่าลืมนัดของแม่ล่ะ”]
[“ไม่ลืมแน่นอนครับ”] รับคำของมารดาแล้วกดวางสาย ยังไม่ทันไรเพื่อนโอฬารก็โทรเข้ามา
[“ไง ได้เรื่องแล้วใช่ไหม”]
[“เออ..ได้เรื่องกูถึงได้รีบโทรหา ไอ้วัฒน์มึงรีบเปิดทีวีดูเดี๋ยวนี้เลย”] น้ำเสียงร้อนรนกว่าทุกครั้งที่โทรมา
[“มีอะไรพูดมาดีกว่าไอ้โอ”] เร่งถามอย่างฉุนเฉียว
[“ไอ้ต๋อง!! มันตายแล้ว โดนยิง”]
[“ไอ้โอ!!มึงสั่งเก็บเหรอวะ”]
[“ไม่ใช่โว้ย ไอ้ต๋องมันโดนเจ้าหนี้รายอื่นเก็บ ตอนนี้เรื่องผู้หญิงคนนั้น กูคงตามให้ไม่ได้แล้วว่ะ”]
[“ดี ที่มันได้ชดใช้กรรม เพราะถ้ามันไม่ตาย กูนี่แหละจะเป็นคนจัดการมันเอง”]
อภิวัฒน์วางสาย เขากระแทกก้นลงนั่งอย่างผิดหวัง ศรีษะพิงแนบบนโซฟา
“ไอ้คนที่มันทำร้ายเธอ ได้รับผลกรรมอันสาสมแล้วนะ ตอนนี้เธอกำลังทำอะไร อยู่ที่ไหน ฉันอยากรู้จักเธอให้มากกว่านี้” อภิวัฒน์กวาดสายตามองเพดานและภายในห้องอันหรูหราด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ ยื่นมือคว้าสมาร์ทโฟนมากดเบอร์โทรหาคนสนิท
[“ยอด”]
[“ครับคุณวัฒน์”]
[“ไปเอารถมารับฉันด่วน ไปบ้านคุณรำพึง”]
[“ครับ”]
ในยามที่ตะวันใกล้จะลับขอบฟ้าเป็นเวลาเลิกงานของสองสาว ทั้งคู่รีบวิ่งขึ้นรถเมล์ที่อัดแน่นไปด้วยผู้คน ทว่ายังโชคดีที่ยังมีที่นั่งพอให้พวกเธอได้พักขาหลังจากอ่อนล้ากับการทำงาน การเดินทางผ่านไปเกือบชั่วโมงครึ่งถึงบ้านของเกวก่อน
“พรุ่งนี้เจอกันที่มหาวิทยาลัยนะ” เกวตะโกนบอกตาลที่นั่งเบาะหลัง
“อื้ม รีบลงเถอะ เดี๋ยวก็หน้าทิ่มอีกหรอก”
“กลับบ้านดีๆล่ะ ลงก่อนนะ” เกวบอกเพื่อน แล้วรีบลงจากรถเมล์ประจำทาง
ในช่วงเวลาที่พุกพร่านไปด้วยผู้คนและรถติด ทำให้น้ำตาลใช้เวลานานในการเดินทางกว่าจะถึงบ้าน บรรยากาศรอบกายไร้แสงจากตะวัน และแทนที่ด้วยแสงไฟของอาคารบ้านเรือนจากตึกสูงระฟ้า
“จะติดอีกนานไหมเนี่ย ป้ายเดียวเอง เฮ้อ” น้ำตาลบ่นอยากถึงบ้านเต็มทน
อภิวัฒน์มองเส้นทางข้างหน้าอย่างหงุดหงิด เขาเบื่อความวุ่นวายและสภาพการจราจรติดขัดจนเริ่มโมโหเพราะคนสนิทขับรถไม่ได้อย่างใจ
“ยอด นายขับไปข้างหน้ารถเมล์ได้ไหม ตามหลังอยู่ได้ขับอย่างกับมือใหม่หัดขับ” เผยหน้าดุอีกตามเคย
“ผมพยายามอยู่ครับ ตอนนี้ไปทางไหนก็ไม่ได้ รถติดขนาดนี้” ยอดอธิบายหวังให้เจ้านายใจเย็น แล้วก็มองเส้นทางข้างหน้า รถติดยาวเหยียดอย่างเบื่อหน่าย สายตามองไปบนรถเมล์ประจำทาง
น้ำตาลเห็นว่ารถไม่ขยับเขยื้อน เธอจึงตัดสินใจลงจากรถ เดินมาทางด้านหลังท้ายรถเมล์คันใหญ่ ผ่านหน้ารถคันโก้หรูจังหวะเดียวกับที่นายยอดมองไปข้างหน้า แสงไฟส่องใบหน้าเรียวเล็ก ทำให้ยอดเห็นหน้าเธอชัด เขาจำได้ดี ยอดรีบกดแตรรถเสียงดังลั่น จนร่างบางตกใจมองไปที่รถคันหรู
“คุณหนู!! คุณวัฒน์ครับ คุณหนูคนนี้”
“อะไร !! คุณหนูอะไร”
“ผู้หญิงที่เดินผ่านหน้ารถ ที่คุณวัฒน์กำลังตามหา”
อภิวัฒน์มองไปที่หน้ารถตามคำบอกของยอด สายตาคมเข้มจ้องมองร่างเล็กบอบบาง ดวงหน้าของเธอไร้เครื่องสำอางแต่งแต้ม
“แน่ใจนะ” เขาทวนถามลูกน้อง
“ครับ”
น้ำตาลนึกว่าตัวเองทำผิดอะไรสักอย่าง เธอก้มศีรษะเหมือนเป็นการขอโทษ แต่แล้วสายตาก็เห็นคนขับรถเด่นชัด เธอตกใจ หวาดหวั่นและวิ่งอย่างรวดเร็วเพื่อข้ามไปให้ถึงอีกฟากของถนน หนีความทรงจำอันแสนเลวร้าย
อภิวัฒน์รีบเปิดประตูรถอย่างเร่งรีบ เขาก้าวขาวิ่งตามร่างบางไปอย่างรวดเร็วพร้อมตะโกนห้ามรั้งเธอไว้ แต่ทว่า เธอยิ่งเดินหนี
“เดี๋ยว หยุด !!หยุดก่อน ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณ” ดวงตาคมเข้มจ้องแผ่นหลังบอบบางอย่างไม่คลาดสายตา แม้เธอจะวิ่งหนีไปข้างหน้าอย่างไม่คิดจะหันกลับมามองเขา แต่ทว่าร่างสูงก็ยังคงวิ่งตามเธอ
“อย่ามายุ่งกับฉัน ฉันเกลียดคุณ !!”
“หยุดก่อน!ผมต้องคุยกับคุณ ผมขอโทษ !! ผมไม่ได้ตั้งใจ !!หยุดก่อนได้ไหม ผมขอร้อง!!” อภิวัฒน์วิ่งตามทันจนได้ แต่ก็ไม่อาจได้เข้าใกล้
“อย่าเข้ามานะ !! อย่ามาใกล้ฉัน !!” ร่างบางสั่นสะท้านยืนนิ่ง น้ำตาเอ่อล้นอาบแก้ม เธอไม่หันหน้าไปสบตาเขา
“ก็ได้ ผมจะยืนอยู่เฉยๆไม่เข้าใกล้มากไปกว่านี้ ขอให้ผมได้พูดกับคุณสักหน่อยได้ไหม” เสียงทุ้มกล่าวเว้าวอนแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา
“มีอะไรก็รีบๆพูดมา”
“ช่วยหันหน้ามาคุยกันก่อนได้ไหม คือ ผมอยากเห็นหน้าคุณให้ชัดๆ”
“คุณไม่พูด”น้ำตาลก้าวเท้าไปข้างหน้า
“พูด พูดก็ได้ ไม่หันก็ไม่หัน คือ เอ่อ คืนนั้น ผม ผม ผมขอโทษ ผมมันเลว ที่ทำแบบนั้นกับคุณ และคิดว่าคุณเป็นผู้หญิงอย่างว่า ผมเสียใจกับอารมณ์ชั่ววูบ ผมรู้ว่าผมเป็นคนแรกของคุณ ผมยินดีจะรับผิดชอบค่าเสียหาย เท่าที่คุณต้องการกับสิ่งที่คุณเสียไป ขอเพียงแค่คุณเอ่ยปาก เท่าไหร่ก็ได้ ผมยินดี”อภิวัฒน์พูดจบ ร่างเล็กที่กำลังสั่นเทิ้มแค้นเคืองก็หันหน้ามาที่เขา เธอกำมือแน่น ก้าวขาเดินเข้ามาใกล้คนตัวใหญ่อย่างรวดเร็ว แล้วฟาดฝ่ามือเล็กนุ่มลงบนหน้าหล่อเต็มแรง
“เพี้ยะ”
“นี่คุณ!! มันจะมากไปแล้วนะ ไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าทำกับผมแบบนี้!!”อภิวัฒน์จ้องดวงหน้าเรียวเล็กอย่างโมโห ที่ตอนนี้มีน้ำตาคลอเบ้า แต่ทว่ายังคงงดงามจนเขาไม่อาจละสายตาได้แม้เสี้ยววินาทีเดียวที่เผชิญหน้ากัน
“คุณพูดจบแล้วใช่ไหม ฉันไม่ต้องการความรับผิดชอบของคุณ อย่ามายุ่งกับฉันอีกเข้าใจไหม คุณมันก็แค่ความฝัน ความฝันที่ชั่วร้าย!!” น้ำตาลวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วให้พ้นจากความเจ็บช้ำ ที่คอยกัดกินหัวใจ
