หัวใจที่ต้องสลาย
คำพูดของไป๋เฉินหานดังก้องในใจของซูเหยา
"เจ้าต้องแข็งแกร่งขึ้น ประหนึ่งต้องไม่มีหัวใจ"
นางรู้ว่าเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ ต้องไร้ซึ่งความอ่อนแอ แต่สิ่งที่อาจารย์ของนางกล่าวมันหมายความว่า ความรู้สึกของนางเป็นสิ่งที่ไม่ควรมีใช่หรือไม่?
หากไร้หัวใจแล้ว...จะยังเรียกว่ามนุษย์ได้อีกหรือ?
สามวันต่อมาลานฝึกยุทธ ซูเหยาทุ่มเทให้กับการฝึกหนักขึ้นกว่าเดิม นางมิยอมให้จิตใจไขว้เขว และฝึกทุกกระบวนท่าราวกับจะลบเลือนความรู้สึกทุกอย่างไปจริง ๆ
เพล้ง!
"ศิษย์น้องไป๋!"
เสียงร้องของศิษย์คนอื่นดังขึ้นอย่างตกใจ เมื่อกระบี่ในมือนางหลุดจากมือ กระแทกพื้นเสียงดัง นางหอบหายใจหนัก ฝ่ามือทั้งสองแดงช้ำจากการจับกระบี่แน่นเกินไป
"เจ้าฝืนตัวเองมากเกินไปแล้ว"
เซี่ยลู่เหวินก้าวเข้ามาหานาง มองด้วยสายตาเป็นห่วง
"นี่มิใช่สิ่งที่เจ้าต้องการใช่หรือไม่?"
ซูเหยากำมือแน่น นางรู้ว่าสายตาของศิษย์พี่ใหญ่ไม่อาจหลอกได้ แต่หากความรู้สึกนี้เป็นสิ่งที่ผิด นางก็จำเป็นต้องกำจัดมันทิ้งไป แม้จะรู้สึกว่ายากเย็นแสนเข็น นางจะต้องทำให้ได้
"ข้าต้องการแข็งแกร่งขึ้น" นางตอบเสียงเรียบ
เซี่ยลู่เหวินจ้องมองนางนิ่ง ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมา
"บางที...อาจารย์สอนเจ้ามาดีเกินไป"
คืนเดียวกันศาลากลางน้ำ ซูเหยายืนเงียบ ๆ มองเงาสะท้อนของตัวเองในผืนน้ำ มือของนางกำกระบี่แน่น นางจะตัดใจจากเขาได้จริงหรือ?
"เจ้ามาฝึกคนเดียวเช่นนี้ คิดว่าข้าจะไม่รู้หรือ?"
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นเบื้องหลัง ซูเหยาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไป พบว่าไป๋เฉินหานยืนกอดอกอยู่ใต้เงาจันทร์ แม้เขาจะดูเย็นชา แต่แววตาที่มองนางกลับไม่ได้ว่างเปล่าอย่างที่เคย
"ท่านอาจารย์..."
"เจ้าคิดจะฝึกให้หนักจนตัดใจจากข้าให้ได้ใช่หรือไม่?"
ซูเหยาชะงัก ความรู้สึกถูกเปิดโปง ทำให้นางไม่อาจพูดอะไรต่อได้ ไป๋เฉินหานเดินเข้ามาใกล้ ดวงตาของเขานิ่งลึก
"หากเจ้าคิดว่าการลืมเลือนคือคำตอบ เจ้ากำลังทำผิด"
ซูเหยากำกระบี่แน่น
"แล้วสิ่งที่ข้าควรทำคืออะไร? ปล่อยให้ตนเองจมอยู่กับความรู้สึกที่ไม่มีวันเป็นไปได้เช่นนี้หรือ?"
ไป๋เฉินหานเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมาแตะปลายกระบี่ของนางเบา ๆ
"เจ้าจะไม่มีวันลืมมันได้...เช่นเดียวกับข้า" เสียงของเขาแผ่วเบา
หัวใจของซูเหยาหยุดเต้นไปชั่วขณะ นางเงยหน้ามองเขาอย่างตกตะลึง ไป๋เฉินหานมองนางอย่างลึกล้ำ ทว่าหลังจากนั้นเพียงครู่เดียว เขาก็หมุนตัวเดินจากไป ราวกับคำพูดเมื่อครู่นี้ไม่เคยเกิดขึ้น
ซูเหยายืนมองแผ่นหลังของเขาที่ลับหายไป แม้เขาจะผลักไสนาง...แต่เขาก็มิอาจปฏิเสธความรู้สึกของตนเองได้
หลังจากคืนนั้นซูเหยาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตนเองลืมคำพูดของอาจารย์
"เจ้าจะไม่มีวันลืมมันได้ เช่นเดียวกับข้า"
ทุกครั้งที่นางนึกถึงประโยคนั้น หัวใจกลับสั่นไหวราวกับมีพายุโหมกระหน่ำ นางไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงพูดเช่นนั้นในเมื่อเขาเป็นผู้ที่ผลักไสนางออกไปเอง
วันต่อมาลานฝึกยุทธ
"เจ้ามีใจไม่อยู่กับตัว" เสียงกระบี่ปะทะกันดังสนั่น แต่ครั้งนี้กลับมิใช่เสียงของซูเหยากับเซี่ยลู่เหวิน หากแต่เป็นของไป๋เฉินหานเอง เขาเรียกให้นางมาประลองกับเขาโดยตรง ซูเหยาไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ไม่มีทางปฏิเสธได้
"ศิษย์จะทำให้ดีที่สุด" นางกล่าวก่อนจะตั้งกระบี่ให้มั่น
ฉัวะ! เพียงไม่กี่กระบวนท่า นางก็ถูกต้อนให้จนมุม ไป๋เฉินหานรุกหนักกว่าปกติ รวดเร็วและเฉียบขาด เขาโจมตีด้วยพลังเต็มที่โดยมิได้ออมมือให้นางเหมือนทุกครั้ง
"อาจารย์!"
ฉัวะ! ชายแขนเสื้อของนางขาดสะบั้น เลือดไหลซึมออกมาเป็นทางยาว แต่นางไม่มีเวลาหยุดมองมัน เพราะกระบี่ของเขาจ่ออยู่ที่ลำคอนาง
"เหตุใดเจ้าถึงลังเล?"
ไป๋เฉินหานเอ่ยถาม ดวงตาคมกริบจ้องมองนางอย่างไม่ลดละ ซูเหยาหอบหายใจหนักด้วยความเหนื่อย นางกำกระบี่แน่นจนมือสั่น
"ศิษย์...มิได้ลังเล"
"โกหก" ไป๋เฉินหานกล่าวเสียงเย็น
นางรู้ว่าเขามองออก
"เจ้ามัวแต่คิดถึงสิ่งที่มิอาจเป็นไปได้"
คำพูดของเขาคมกริบราวกับกระบี่ที่ฟันลงกลางใจของนาง
"เช่นเดียวกับท่านใช่หรือไม่?" นางตอบกลับโดยไม่ลังเล
ไป๋เฉินหานชะงักไปครู่หนึ่ง แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น สีหน้าของเขาก็กลับเป็นเย็นชาเช่นเดิม เขาถอยกระบี่กลับ ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ
"ในเมื่อเจ้ามิอาจตัดใจ เช่นนั้นจงทำให้มันกลายเป็นพลัง"
"พลัง?" นางทวนคำอย่างไม่เข้าใจ
ไป๋เฉินหานมองนางก่อนจะกล่าวอย่างหนักแน่น
"หากเจ้ารักข้า ก็จงใช้มันเป็นพลังในการก้าวไปข้างหน้า"
ซูเหยาตกตะลึง นางไม่เคยคาดคิดว่าจะได้ยินถ้อยคำเหล่านี้จากปากของเขา
"ท่านอาจารย์..."
ไป๋เฉินหานมิได้กล่าวอะไรอีก เขาหันหลังเดินจากไป ทิ้งให้นางยืนอยู่กลางลานฝึกเพียงลำพัง หัวใจของเขาและนาง...ไม่มีวันย้อนกลับไปเป็นเช่นเดิมอีกแล้ว
ไป๋ซูเหยายืนแน่นิ่งอยู่กลางลานฝึก ดวงตาของนางจับจ้องไปยังแผ่นหลังของไป๋เฉินหานที่กำลังห่างออกไปเรื่อย ๆ
"หากเจ้ารักข้า ก็จงใช้มันเป็นพลังในการก้าวไปข้างหน้า"
คำพูดนั้นสะท้อนก้องในหัวของนางไม่หยุด นี่หมายความว่า...
เขายอมรับความรู้สึกของนางใช่หรือไม่?
หรือเป็นเพียงอีกหนึ่งบททดสอบที่เขาต้องการให้นางก้าวข้ามไป?
คืนนั้นเรือนพักของไป๋ซูเหยาลมเย็นพัดผ่านม่านหน้าต่าง ซูเหยานั่งกอดเข่าบนเตียง ดวงตาจ้องมองแสงจันทร์ที่ลอดผ่านช่องไม้ นางไม่เข้าใจเลย...ตั้งแต่เมื่อใดกันที่หัวใจของนางมีเพียงเขา?
ตั้งแต่เมื่อใดที่การถูกทอดทิ้งเพียงแค่หนึ่งก้าว ทำให้นางรู้สึกว่างเปล่าถึงเพียงนี้?
"ข้าไม่อยากเป็นเพียงศิษย์ของท่าน"
ความคิดนั้นไหลเวียนอยู่ในใจ ทว่าไม่มีคำตอบใดที่จะทำให้มันเป็นจริงได้เลย
รุ่งเช้าวันถัดมา ตำหนักของไป๋เฉินหาน
"อาจารย์ ข้ามีเรื่องอยากถาม"
ไป๋เฉินหานเงยหน้าขึ้นจากคัมภีร์ที่กำลังอ่านอยู่ ดวงตาของเขามองซูเหยาอย่างเรียบเฉย
"ว่ามา"
ไป๋ซูเหยากัดริมฝีปากแน่น ก่อนจะกล่าวออกไปตรง ๆ
"เพราะเหตุใดท่านถึงพูดเช่นนั้น?"
ไป๋เฉินหานเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเบา พร้อมใบหน้าเรียบนิ่ง ดุจกระแสน้ำที่ไร้สายลมพัดผ่าน
"เพราะข้าไม่ต้องการให้เจ้าหลงทาง"
"แล้วท่านเล่า?" ซูเหยาสบตาเขาตรง ๆ "ท่านแน่ใจหรือว่าไม่ได้หลงทางเอง?"
แววตาของไป๋เฉินหานสั่นไหวเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะกลับมาเป็นเช่นเดิม
"เจ้าไม่ควรถามคำถามนี้"
"แล้วข้าควรถามสิ่งใดเล่า?" นางก้าวเข้าไปใกล้เขา "หรือข้าควรถามว่า ท่านต้องการให้ข้าเป็นเพียงศิษย์ของท่านจริง ๆ หรือ?"
ระยะห่างระหว่างพวกเขาแคบลง จนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน ไป๋เฉินหานไม่ขยับหนี แต่ก็มิได้เอื้อมมือออกไปเช่นกัน
"...มันไม่มีความหมาย" เขากล่าวเสียงเรียบ
"มีสิ" ซูเหยากล่าวเสียงเบา "อย่างน้อยมันมีความหมายสำหรับข้า"
ความเงียบโรยตัวอยู่ในห้อง ก่อนที่ไป๋เฉินหานจะถอนหายใจแผ่วเบา
"เจ้ากำลังทำให้เรื่องมันยุ่งยาก"
"หรือว่าท่านกำลังกลัว?"
ไป๋เฉินหานเงียบไป ดวงตาของเขานิ่งลึก ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ซูเหยาหัวใจเต้นแรง
"หากข้ามิใช่อาจารย์ของเจ้า..."
"?"
"เจ้าจะเลือกเดินเข้าหาข้า หรือเดินจากไป?"
ซูเหยาตกตะลึงไปชั่วขณะ เขากำลังบอกนางถึงสิ่งใดกันแน่? นางเงียบดวงตาของนางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของไป๋เฉินหาน คำถามนั้นคมกริบราวคมกระบี่ กรีดลงกลางใจของนางจนแทบแตกสลาย
("หากเขามิใช่อาจารย์ของนาง...หากทุกพันธะมิได้ขวางกั้น...นางจะเลือกเดินเข้าหาเขาหรือไม่?") นางคิดทบทวนย้อนถามตนเองในใจ
ไป๋ซูเหยากำมือแน่น ก่อนจะตอบออกไปด้วยเสียงหนักแน่น
"แต่ท่านเป็นอาจารย์ของข้า และข้าเป็นเพียงศิษย์ของท่าน"
ไป๋เฉินหานชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่แววตาของเขาจะกลับมาเรียบนิ่งอีกครั้ง
"ถูกต้อง" เขากล่าวเสียงเรียบ "และเพราะเหตุนี้ เจ้าจึงควรตัดใจเสีย"
("เช่นเดียวกับท่านหรือไม่?") นางอยากจะถามเช่นนั้น แต่นางรู้ดีว่าหากกล่าวออกไป ทุกอย่างจะไม่มีวันเหมือนเดิม
ไป๋เฉินหานมองนางอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวประโยคสุดท้าย
"ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าไม่ต้องมาพบข้าโดยไม่จำเป็น"
หัวใจของซูเหยากระตุกวูบ นางเผลอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
"อาจารย์..."
"เจ้าต้องมีสมาธิกับเส้นทางของเจ้า" ไป๋เฉินหานกล่าว
"และข้าจะไม่ให้สิ่งใดมาขวางเส้นทางนั้น" ดวงตาของเขาเย็นชา ราวกับกำลังตัดขาดจากความรู้สึกทั้งหมด
ซูเหยาหัวเราะเบา ๆ เสียงของนางเต็มไปด้วยความขมขื่น
"ข้าเข้าใจแล้ว" นางประสานมือคำนับเขาอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม ก่อนจะหมุนตัวจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง
ไป๋เฉินหานยืนมองแผ่นหลังของนางห่างออกไปเรื่อย ๆ
เขาตัดใจแล้วจริงหรือ?
หลายวันต่อมาลานฝึกยุทธ ตั้งแต่วันนั้นซูเหยาก็ฝึกฝนหนักขึ้น นางแทบไม่หยุดพัก ดวงตาของนางแน่วแน่และไร้อารมณ์มากกว่าที่เคย เซี่ยลู่เหวินมองนางอย่างเป็นกังวล
"เจ้าฝึกหนักเกินไปแล้ว"
"ข้ายังไม่แข็งแกร่งพอ" ซูเหยากล่าวเสียงเรียบ
"หรือเจ้าพยายามฝึกเพื่อให้ลืมใครบางคน?"
มือของนางที่จับกระบี่สั่นไหวเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่นางจะกดมันให้สงบลง
"เจ้าไม่มีสิทธิ์ถามเรื่องนี้"
เซี่ยลู่เหวินถอนหายใจ
"เช่นนั้นก็ได้ แต่จำไว้ว่าเจ้าสามารถฝืนร่างกายได้ แต่เจ้าจะไม่มีวันฝืนหัวใจของตัวเองได้"
ไป๋ซูเหยาไม่ตอบ นางเพียงสะบัดกระบี่โจมตีต่อ
คืนนั้นศาลากลางน้ำไป๋เฉินหานยืนอยู่เงียบ ๆ จ้องมองเงาของจันทร์สะท้อนอยู่บนผืนน้ำ ตั้งแต่วันนั้น เขาไม่พบซูเหยาอีกเลย แม้จะเป็นสิ่งที่เขาต้องการ แต่หัวใจของเขากลับไม่เคยสงบนิ่ง
"เจ้าสามารถฝืนร่างกายได้ แต่เจ้าจะไม่มีวันฝืนหัวใจของตัวเองได้" คำพูดของเซี่ยลู่เหวินที่เขาได้ยินโดยบังเอิญ ดังก้องในใจของเขา ไป๋เฉินหานกำมือแน่น เขาต้องฝืนมันให้ได้ ไม่ว่ายากเพียงใดก็ตาม
