บทย่อ
รักที่ควรจะห้าม กลับยิ่งฝังลึกลงในหัวใจ ซูเหยา เด็กสาวใต้ต้นเหมย ผู้เฝ้ามองอาจารย์ด้วยความรู้สึกที่ไม่ควรมี ไป๋เฉินหาน ชายผู้ต้องแบกภาระหน้าที่ของแผ่นดิน แต่กลับเผลอใจให้ศิษย์ตัวน้อย ความรักของพวกเขาคือ เส้นทางที่เต็มไปด้วย เลือด น้ำตา และการฝืนทน แต่สุดท้ายชะตาฟ้าจะใจร้ายได้สักแค่ไหน เมื่อหัวใจไม่อาจโกหกตัวเองได้อีกต่อไป *****
ลิขิตฟ้าหรือโซ่ตรวน
สายลมหนาวพัดผ่านป่ากลางหุบเขากิ่งไม้ไหวเอนราวกับกำลังรำพึงถึงชะตากรรม ของผู้คนที่อาศัยอยู่ใต้ผืนฟ้านี้ ที่ลานฝึกยุทธ์ของสำนักกระบี่หยกขาว เสียงกระบี่กระทบกันดังกังวาน
ศิษย์มากมายกำลังฝึกฝนวิชากระบี่กันอย่างมุ่งมั่น ทว่าท่ามกลางหมู่ศิษย์นับร้อยมีเพียงสตรีนางหนึ่งที่ดูโดดเด่นท่ามกลางฝูงชน ไป๋ซูเหยา ยืนประจันหน้ากับศิษย์พี่ร่วมสำนัก กระบี่ในมือของนางสั่นไหวเล็กน้อยแม้นางจะฝึกยุทธ์มาได้หลายปี แต่เทียบกับศิษย์คนอื่นแล้วยังถือว่าอ่อนด้อยนัก
"ไป๋ซูเหยา เจ้าอ่อนแอเกินไปเช่นนี้ จะมีหน้ากลับไปพบท่านอาจารย์ได้อย่างไร!" ศิษย์พี่หญิงเอ่ยพลางจ้องนางด้วยสายตาเย้ยหยัน
ซูเหยากัดริมฝีปากแน่นนางรู้ตัวดีว่าตนเองมิได้เก่งกาจ ทว่าเพียงเพราะนางเป็นสตรี มิได้หมายความว่านางจะยอมแพ้
"ข้าขอประลองใหม่!"
นางประกาศอย่างแน่วแน่เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านบน หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมอง เห็นร่างของบุรุษในอาภรณ์ขาวสะอาดสะอ้านยืนอยู่บนระเบียงสูงของวิหารกลางสำนัก
ไป๋เฉินหาน อาจารย์ของนางกำลังมองลงมา สายตาของเขายังคงเรียบเฉยดุจน้ำแข็ง ทว่าเพียงหนึ่งเสี้ยววินาทีที่ดวงตาคู่นั้นสบกับนาง ซูเหยากลับรู้สึกถึงไออุ่นที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังความเย็นชา
"ศิษย์ที่ดี มิใช่ผู้ที่ชนะทุกการประลอง...แต่เป็นผู้ที่ไม่เคยยอมแพ้" เสียงของเขาแผ่วเบา ทว่ากลับก้องกังวานในหัวใจของซูเหยา ดวงตาของนางฉายแววแน่วแน่ นางสูดลมหายใจลึกก่อนจะกุมกระบี่แน่น และพุ่งเข้าโจมตีศิษย์พี่อีกครั้ง...
เสียงกระบี่กระทบกันดังกังวานทั่วลานฝึก การประลองดำเนินไปอย่างดุเดือด ไป๋ซูเหยา แม้ร่างกายจะบอบบาง แต่กลับมีความมุ่งมั่นเกินใคร
ฉัวะ!
กระบี่ของศิษย์พี่ตวัดเฉียดไหล่นางไปเพียงเสี้ยวคืบ ความเจ็บแล่นผ่านร่างแต่ซูเหยากลับไม่ยอมถอย นางกัดฟันแน่น ก่อนจะโต้กลับด้วยกระบวนท่าเรียบง่ายแต่เฉียบคม
เพล้ง! เสียงกระบี่ของศิษย์พี่ร่วงลงพื้น ทุกคนพากันอึ้งไปชั่วขณะก่อนที่เสียงฮือฮาจะดังขึ้นทั่วลานฝึก
“ไป๋ซูเหยาชนะแล้ว!”
หญิงสาวหอบหายใจหนักดวงตาเต็มไปด้วยประกายแห่งชัยชนะ นางมองขึ้นไปยังระเบียงสูงอีกครั้ง ทว่าไป๋เฉินหานไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว
ค่ำคืนนั้นเรือนพักของอาจารย์ ไป๋ซูเหยาก้าวเข้าสู่โถงใหญ่ นางถูกเรียกตัวมาหลังจบการประลอง ในใจอดกังวลไม่ได้ ว่าท่านอาจารย์จะพอใจหรือไม่
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าพลาดตรงไหน” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น ไป๋เฉินหานนั่งอยู่เบื้องหน้า มือข้างหนึ่งถือถ้วยชา ดวงตายังคงสงบนิ่งดั่งน้ำแข็ง
ซูเหยาคุกเข่าลงอย่างนอบน้อมนางนิ่งคิดก่อนตอบ
“ศิษย์เคลื่อนไหวช้าเกินไป ทำให้เปิดช่องโหว่ให้ศัตรูได้โจมตี”
ไป๋เฉินหานพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะลุกขึ้น นางเงยหน้าขึ้นมองดวงตาคู่นั้น ที่จ้องมายังนางอย่างลึกซึ้ง
“เจ้ามีความพยายาม แต่หากคิดจะยืนหยัดในยุทธภพ อย่าปล่อยให้หัวใจครอบงำการตัดสินใจ”
ซูเหยาชะงัก นางรู้ว่าอาจารย์กำลังสอนเรื่องกระบี่ ทว่าเหตุใดกัน...นางถึงรู้สึกว่าคำพูดนี้ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การต่อสู้? หรือว่าท่านอาจารย์กำลังเตือนนางถึงบางสิ่ง?
หลังจากการประลองผ่านพ้นไป ไป๋ซูเหยากลายเป็นที่ยอมรับของเหล่าศิษย์มากขึ้น นางฝึกฝนอย่างหนักขึ้นทุกวัน แต่ทุกครั้งที่เงยหน้าขึ้น นางกลับพบว่าตัวเองกำลังมองหาภาพของ ไป๋เฉินหานอย่างไม่รู้ตัว เป็นไปได้หรือไม่...ว่าหัวใจของนางกำลังไขว้เขว?
หนึ่งเดือนต่อมาในป่าลึกนอกสำนัก ท่ามกลางแสงจันทร์อันเยือกเย็น ร่างของไป๋เฉินหานยืนเด่นอยู่บนโขดหินสูง กระบี่ในมือสะท้อนเงาจันทร์งดงามแต่เย็นชา
“เข้ามา” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น
ซูเหยาถือกระบี่แน่น นางรู้ว่าคืนนี้มิใช่การฝึกเช่นทุกวัน หากแต่เป็นบททดสอบสำคัญที่อาจารย์มอบให้ หากนางพลาดเพียงนิดเดียวอาจได้รับบาดเจ็บหนัก
เงากระบี่พุ่งเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ซูเหยาใช้ทุกทักษะที่ฝึกมาโต้กลับ แต่ไม่ว่าอย่างไร นางก็ยังไม่อาจแตะต้องปลายชายอาภรณ์ของอาจารย์ได้เลย
ฟุ่บ!
เพียงพริบตาเดียว ปลายกระบี่เย็นเฉียบจ่ออยู่ที่ลำคอของนาง ซูเหยาหอบหายใจหนักเหงื่อเม็ดเล็กไหลซึมทั่วร่าง
“เจ้าคิดอะไรอยู่ ขณะต่อสู้ต้องไร้ซึ่งความลังเล” ไป๋เฉินหานพูดเรียบ ๆ ก่อนลดกระบี่ลง
ซูเหยากำมือแน่น นางอยากตอบว่านางมิได้ลังเลในกระบี่ แต่หัวใจของนางต่างหากที่สั่นไหว
“หากเจ้าเป็นเช่นนี้...ต่อไปอย่ามาเจอข้าอีก”
คำพูดนั้นเย็นชาเฉียบขาดดุจคมกระบี่ ทำให้ซูเหยาหนาวสะท้านถึงกระดูก
คืนนั้น ซูเหยานอนไม่หลับ นางมองออกไปนอกหน้าต่าง ลมพัดผ่านดอกเหมยที่กำลังร่วงโรย นางมิใช่คนโง่ นางรู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของนางคืออะไร
นางมิใช่เพียงศิษย์ที่เคารพอาจารย์อีกต่อไป นางรู้แล้วว่าหัวใจของนาง กำลังถลำลึกเกินไปทุกที แต่ความรักนี้จะเป็นไปได้หรือไม่?
ยามราตรีเงียบสงัด ดวงจันทร์ลอยเด่นเหนือสำนักกระบี่หยกขาว ไป๋ซูเหยายืนอยู่ที่ลานฝึกเพียงลำพัง นางสะบัดกระบี่ไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าหัวใจกลับฟุ้งซ่านไม่อาจสงบ คำพูดของ ไป๋เฉินหานยังดังก้องในหู
"หากเจ้าเป็นเช่นนี้...ต่อไปอย่ามาเจอข้าอีก"
ความเย็นชานั้นไม่ได้ทำให้ซูเหยาเจ็บปวดเท่ากับความจริงที่แฝงอยู่ในถ้อยคำ ท่านอาจารย์รับรู้ถึงความรู้สึกของนางแล้ว...และเลือกที่จะตัดมันออกไป
“เจ้ามายืนเหม่อสิ่งใดอยู่ที่นี่?”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง นางหันไปพบกับร่างสูงของ เซี่ยลู่เหวิน ศิษย์พี่ใหญ่ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในอัจฉริยะของสำนัก
“ข้าแค่ฝึกกระบี่” นางตอบสั้น ๆ ก่อนจะหันหลังกลับ ทว่าเซี่ยลู่เหวินขยับเข้ามาขวางหน้า
“หรือว่าเจ้ายังคิดถึงท่านอาจารย์?” ดวงตาของเขาคมกริบ ราวกับมองทะลุจิตใจของนาง
ซูเหยาสะดุ้งเล็กน้อย นางรีบหลบสายตา
“เป็นเพียงศิษย์มิกล้าคิดเช่นนั้น”
เซี่ยลู่เหวินหัวเราะเบา ๆ
“ข้าฝึกกระบี่กับเจ้ามาหลายปี เจ้าโกหกข้ามิได้ดอก”
เขาขยับเข้ามาใกล้อีกก้าว ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
“ความรู้สึกนี้มีแต่จะทำร้ายเจ้า ซูเหยา...ท่านอาจารย์ไม่อาจเป็นของเจ้าได้”
หัวใจของซูเหยากระตุกวูบ มือที่ถือกระบี่กำแน่น นางรู้ว่ามันคือความจริง แต่นางจะห้ามหัวใจของตนเองได้อย่างไร?
เช้าวันต่อมา หออักษรของสำนัก ซูเหยาถูกเรียกตัวมาเพื่อพบกับ ไป๋เฉินหานเป็นครั้งแรก หลังจากการฝึกคืนนั้น นางคุกเข่าอย่างนอบน้อม ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความกังวล อาจารย์จะกล่าวโทษนางหรือไม่?
ไป๋เฉินหานยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่ง เขาไม่แม้แต่จะมองหน้านาง เอ่ยเพียงว่า
“ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้ามีหน้าที่คัดลอกคัมภีร์ยุทธวันละสิบเล่ม”
ซูเหยาชะงัก นี่คือการลงโทษ? หรือเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อให้พวกเขาห่างกัน?
แต่ที่น่าประหลาดใจคือ ท่านอาจารย์มิได้จากไปในทันที กลับนั่งลงที่โต๊ะฝั่งตรงข้าม เปิดคัมภีร์อ่านเงียบ ๆ
ดวงตาของนางเหลือบมองบุรุษตรงหน้า แม้เขาจะไม่พูดอะไร แต่การมีเขาอยู่ใกล้ ๆ เช่นนี้ กลับทำให้นางรู้สึกสงบลงได้อย่างประหลาด
บางทีนี่อาจเป็นความเมตตารูปแบบหนึ่งของเขา แต่ซูเหยารู้ดีว่า ความเมตตานี้ก็เปรียบเสมือนคมกระบี่ที่ตัดความหวังของนางทีละน้อย

