ดั่งเงาที่ไร้ตัวตน
หลายเดือนผ่านไป ไป๋ซูเหยาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นางกลายเป็นศิษย์ในแบบไร้ที่ติ กระบวนท่าของนางดุดันและสมบูรณ์แบบ ราวกับไร้ซึ่งความรู้สึก นางมิได้พูดคุยกับใครมากนัก แม้แต่เซี่ยลู่เหวินที่เคยเป็นพี่ชายที่คอยดูแล นางก็เว้นระยะห่างจากเขา ในสายตาของศิษย์พี่น้องทั้งหลาย นางเป็นราวกับกระบี่ไร้อารมณ์ ที่พร้อมจะสังหารได้ทุกเมื่อ
ทว่าในค่ำคืนที่ไร้ผู้คน นางกลับยืนมองจันทร์เงียบ ๆ นางไม่รู้ว่าตัวเองทำสำเร็จหรือยัง
นางลืมเขาได้หรือยัง?
ไป๋เฉินหานยืนอ่านคัมภีร์อยู่ใต้แสงเทียนภายในตำหนัก แม้สายตาของเขาจะจดจ่ออยู่กับตัวอักษร แต่ในห้วงคำนึงกลับเต็มไปด้วยเงาของใครบางคน
"เจ้าต้องแข็งแกร่งขึ้น ประหนึ่งต้องไม่มีหัวใจ" เขาเคยกล่าวเช่นนั้นกับนาง แต่ตอนนี้ผู้ที่กำลังพยายามทำสิ่งนั้นกลับเป็นตัวเขาเอง
ซูเหยาหลีกเลี่ยงเขาโดยสมบูรณ์ นางทำตามคำสั่งของอาจารย์อย่างเคร่งครัด ไม่มีการพบปะ ไม่มีการพูดคุย ไม่มีแม้แต่สายตาที่มองกัน นางทำได้...แต่นั่นกลับทำให้หัวใจของเขาหนักอึ้งกว่าที่เคย ไป๋เฉินหานหลับตาลงช้า ๆ มือที่จับม้วนคัมภีร์กำแน่นโดยไม่รู้ตัว
"ดีมากซูเหยา...เจ้าทำได้ดี"
พิธีทดสอบประจำปีเหล่าศิษย์ทุกคนต่างต้องแสดงฝีมือของตนเพื่อไต่ระดับขึ้นไป ซูเหยาเป็นหนึ่งในศิษย์ที่ได้รับความคาดหวังสูงสุดและคู่ประลองของนางคือ เซี่ยลู่เหวิน
"เจ้าคิดว่าข้าจะออมมือให้หรือ?" เซี่ยลู่เหวินเอ่ยถาม
ไป๋ซูเหยาไม่ตอบ นางเพียงตั้งกระบี่อย่างเงียบงัน
"เจ้ากลายเป็นเช่นนี้เพราะเขาใช่หรือไม่?"
มือของนางสั่นไหวเพียงเสี้ยววินาที แต่สุดท้ายก็กลับมาแน่นิ่ง
"หากเจ้าไม่พูด ข้าจะทำให้เจ้าพูดเอง!"
ฉัวะ! เซี่ยลู่เหวินโจมตีทันที ไป๋ซูเหยาตั้งรับได้อย่างรวดเร็ว ทั้งสองปะทะกันอย่างดุเดือด ท่วงท่าของพวกเขารวดเร็วจนศิษย์คนอื่นมองตามแทบไม่ทัน
ไป๋เฉินหานยืนมองจากที่ไกล ๆ สายตาของเขาจับจ้องไปยังร่างของซูเหยาโดยไม่รู้ตัว นางแข็งแกร่งขึ้นมาก...แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ นางแข็งแกร่ง...แต่ไร้ชีวิต
เพล้ง!
กระบี่ของไป๋ซูเหยาปะทะกับกระบี่ของเซี่ยลู่เหวินอย่างรุนแรงจนกระบี่ทั้งสองหักสะบั้น เลือดไหลซึมจากฝ่ามือของนาง แต่นางกลับยืนอย่างมั่นคง ไม่มีแววเจ็บปวด ไม่มีแม้แต่ความหวั่นไหว
เงาที่ไร้ตัวตน...นี่หรือคือสิ่งที่นางกลายเป็น?
ไป๋เฉินหานกำมือแน่น ก่อนจะหันหลังเดินจากไป เขาต้องไม่ปล่อยให้นางเป็นเช่นนี้ต่อไป
หลังพิธีทดสอบประจำปีไป๋ซูเหยายืนอยู่ในลานฝึก ร่างกายของนางเต็มไปด้วยบาดแผลจากการประลอง แต่สายตากลับว่างเปล่า นางทำสำเร็จแล้ว...นางแข็งแกร่งขึ้นแล้ว และนางตัดใจจากเขาได้แล้วใช่หรือไม่?
เสียงลมพัดกระทบหน้าต่างตำหนักของไป๋เฉินหานดังเอี๊ยดอ๊าด แต่เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม สายตาจ้องมองไปยังสมุดตำราเบื้องหน้า เป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่เขาและซูเหยาเว้นระยะห่างจากกันโดยสิ้นเชิง
นางทำได้ดี...ดีเสียจนเขาเริ่มหวั่นไหว
"เช่นนั้นเจ้าควรพอใจมิใช่หรือ?" เขาเคยต้องการให้ซูเหยาตัดใจจากเขา และตอนนี้นางก็ทำมันสำเร็จแล้ว แต่เหตุใดกัน...เหตุใดเขาจึงรู้สึกเหมือนสูญเสียบางสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไป?
ศาลากลางน้ำค่ำคืนที่ไร้ผู้คนไป๋ซูเหยายืนอยู่เพียงลำพัง มองเงาสะท้อนของตนเองบนผืนน้ำ แม้จะหลอกตัวเองอย่างไร หัวใจของนางก็ยังสั่นไหวอยู่ดี
"ข้าต้องตัดใจให้ได้...ข้าต้องตัดใจให้ได้!" นางพร่ำบอกตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่หัวใจกลับไม่ยอมทำตามคำสั่ง
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง นางรู้ดีว่าใครคือผู้ที่มาเยือนโดยไม่ต้องหันไปมอง
"ศิษย์มีความผิดใดหรือ อาจารย์ถึงมาด้วยตนเอง?" นางกล่าวเสียงเรียบ
ไป๋เฉินหานยืนอยู่เบื้องหลังของนาง เขาจ้องมองแผ่นหลังของซูเหยาโดยไม่กล่าวสิ่งใด
"เจ้าเปลี่ยนไปมาก" ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้น
"เช่นนั้นหรือ?" ซูเหยาหัวเราะเบา ๆ "ก็นับว่าเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ?"
"มิใช่" ซูเหยาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ หันไปสบตากับเขา
"เหตุใดเล่า? หรืออาจารย์ไม่ต้องการให้ศิษย์แข็งแกร่งขึ้น?" ไป๋เฉินหานมองลึกเข้าไปในดวงตาของนาง
"ข้าต้องการให้เจ้าก้าวไปข้างหน้า ไม่ใช่กลายเป็นเงาที่ไร้ตัวตน"
ไป๋ซูเหยากำมือแน่น แต่ยังคงฝืนยิ้ม "ข้าก็แค่เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง"
ไป๋เฉินหานก้าวเข้ามาใกล้ "แล้วเหตุใดดวงตาของเจ้าจึงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด?"
ซูเหยาสะอึกไปครู่หนึ่ง ก่อนจะปรับสีหน้าให้กลับมาเรียบนิ่ง
"เช่นนั้นอาจารย์ต้องการให้ข้าทำเช่นไร? ต้องการให้ข้ากลับไปเป็นสตรีอ่อนแอที่เฝ้ารอท่านอยู่เช่นเดิมหรือ?"
"ข้าไม่ต้องการให้เจ้ารอข้า" ไป๋เฉินหานกล่าวเสียงเข้ม "แต่ข้าก็ไม่ต้องการให้เจ้ากำลังทำร้ายตนเองเช่นนี้"
ซูเหยาหัวเราะเบา ๆ น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
"ข้าทำร้ายตนเอง? หรือที่จริงแล้วข้าแค่กำลังทำตามคำสั่งของท่าน?"
ไป๋เฉินหานนิ่งเงียบ
"ท่านสั่งให้ข้าตัดใจ ข้าก็ตัดใจ ท่านสั่งให้ข้าห่างจากท่าน ข้าก็ทำตาม แล้วเหตุใดท่านถึงยังมาใส่ใจอีก?"
แววตาของไป๋เฉินหานสั่นไหวเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปคว้าแขนนางไว้
"เพราะมันผิด"
ซูเหยาสะบัดแขนออก
"ผิดเช่นไร? ผิดเพราะข้าทำสำเร็จ หรือผิดเพราะท่านไม่สามารถปล่อยข้าไปได้กันแน่?"
ความเงียบโรยตัวอย่างหนักอึ้ง ไม่มีใครพูดสิ่งใดออกมา ไป๋เฉินหานมองซูเหยา ดวงตาของเขาหนักแน่นและเต็มไปด้วยความขัดแย้ง
"ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้"
ซูเหยาแทบหยุดหายใจเมื่อได้ยิน
"แต่ข้าก็ไม่สามารถก้าวข้ามเส้นนี้ไปได้เช่นกัน"
นางหลับตาลง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ "เช่นนั้นเราก็เป็นเพียงสองเงาที่ติดอยู่ในวังวนนี้...มิใช่หรือ?"
ไป๋เฉินหานไม่ตอบ ใช่ พวกเขาต่างติดอยู่ในวังวนแห่งความรู้สึกที่ไม่มีทางไปต่อ...และไม่มีทางหวนกลับไปเป็นเช่นเดิมได้อีกแล้ว
สายฝนโปรยปรายลงมาอย่างหนัก ลมแรงพัดกิ่งไม้ไหวโอนเอนไปมา ไฟจากโคมตามทางถูกดับลงทีละดวง จนทั่วทั้งเขาซีหลัวตกอยู่ในความมืด ไป๋ซูเหยานั่งขัดสมาธิอยู่ในห้อง นางพยายามฝึกปราณให้สงบ ทว่าจิตใจกลับว้าวุ่นเกินจะควบคุม
ตั้งแต่คืนนั้นที่ไป๋เฉินหานพูดว่า ไม่สามารถปล่อยนางไปได้ คำพูดของเขาไล่วนอยู่ในหัวของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางพยายามผลักมันออกไป ทว่ากลับยิ่งจมลึกลงไปอีก
"ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้" หัวใจของนางเต้นแรงจนแทบควบคุมไม่อยู่
"อย่าไหวหวั่นไปกับคำพูดของเขา อย่าหลงใหลไปกับความอ่อนโยนของเขา" นางพยายามเตือนตนเอง แต่สุดท้ายนางก็ยังคงคิดถึงเขาอยู่ดี
ไป๋เฉินหานยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองสายฝนที่ตกกระหน่ำลงมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เขาสัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนในจิตใจของตนเอง
"เจ้าต้องตัดใจจากนาง” เขาพูดประโยคนี้กับตัวเองมาหลายเดือนแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังคงติดอยู่ในวังวนนี้เช่นเดิม
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอก
"อาจารย์!" เป็นของศิษย์คนหนึ่ง ซึ่งรีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับสีหน้าร้อนรน
"เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ! หุบเขาอวิ๋นเฉิงถล่มลงมา ศิษย์หลายคนติดอยู่ในซากหิน รวมถึงศิษย์น้องไป๋ด้วย!" ดวงตาของไป๋เฉินหานพลันเย็นเยียบ
"พวกเขาอยู่ที่ใด?"
"อยู่ใกล้ผาเซียนหลัวขอรับ! ศิษย์น้องไป๋เข้าไปช่วยผู้อื่น แต่กลับถูกดินถล่มปิดทางออก!" ไม่รอให้ศิษย์ผู้นั้นพูดจบ ไป๋เฉินหานก็คว้ากระบี่และพุ่งตัวออกไปจากตำหนักทันที
หน้าผาเซียนหลัว
กลุ่มศิษย์จำนวนมากพยายามขุดซากหินออก แต่หินเหล่านั้นหนักเกินกว่าจะเคลื่อนย้ายได้ง่าย ๆ
"ข้าจะเข้าไปเอง" ไป๋เฉินหานกล่าวเสียงเรียบ
"แต่อาจารย์ หินยังไม่มั่นคง หากเข้าไปตอนนี้"
"ข้าบอกว่าจะเข้าไป" ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของเขา
ไป๋เฉินหานใช้พลังลมปราณของตนผลักหินก้อนใหญ่ที่ขวางทางอยู่ กระแสพลังของเขาส่งผลให้หินเล็ก ๆ กระเด็นออกไปเป็นระลอก ทันทีที่เขาเข้าไปถึง ก็พบว่าไป๋ซูเหยากำลังปกป้องศิษย์น้องอีกสองคนอยู่ นางยืนกั้นอยู่เบื้องหน้าพวกเขา แม้ร่างกายจะมีบาดแผลมากมาย แต่นางยังคงยืนอย่างมั่นคง ไป๋เฉินหานรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบีบรัดหัวใจของเขาให้เจ็บร้าว
"เจ้าบาดเจ็บหรือไม่?" คำถามนี้หลุดออกไปก่อนที่เขาจะทันได้ยั้งคิด
ซูเหยาสบตากับเขา ก่อนจะเบือนหน้าหนี
"ข้ายังไหว"
ไป๋เฉินหานไม่ได้พูดอะไรต่อ เขารีบพาลูกศิษย์ทั้งสองออกไปก่อน แล้วจึงกลับมาหานางอีกครั้ง
"เจ้าต้องออกไปเดี๋ยวนี้"
"อาจารย์ออกไปก่อนเถิด ข้าจะจัดการที่นี่เอง"
"อย่าดื้อไปนัก" ไป๋เฉินหานกล่าวเสียงเข้ม
ซูเหยากำกระบี่แน่นแล้วเอ่ยออกไป
"ข้าตัดสินใจแล้ว!"
ทันใดนั้น เสียงแผ่นดินไหวดังขึ้น หินขนาดใหญ่บนเพดานถ้ำเริ่มแตกร้าวและร่วงหล่นลงมา! ไป๋เฉินหานไม่ลังเลแม้เพียงเสี้ยววินาที เขาพุ่งเข้ามาดึงซูเหยาเข้าไปในอ้อมแขน และใช้พลังลมปราณของตนสร้างม่านพลังขึ้นป้องกันหินที่ตกลงมา
“อาจารย์!"
"เงียบเสีย"
แขนของเขากระชับแน่นขึ้น ร่างของพวกเขาแนบชิดกันจนซูเหยาสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นกระทบผิวแก้ม เวลานี้มีเพียงเขาและนาง ซูเหยาได้ยินเสียงหัวใจของตนเองเต้นดังจนแทบจะระเบิดออกมา
"มิใช่เพียงข้าผู้เดียว...อาจารย์เองก็กำลังสั่นไหวเช่นกันใช่หรือไม่?"
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเสียงหินถล่มสงบลง ไป๋เฉินหานก็คลายวงแขนออก แต่สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่ซูเหยา นางพยายามทำตัวให้เป็นปกติ แม้จังหวะการเต้นของหัวใจจะไม่ปกติก็ตาม
"ข้าสามารถออกไปเองได้"
ไป๋เฉินหานไม่ตอบ เขาหันหลังและเดินนำออกไปก่อนตลอดทาง ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลยแม้คำเดียว แต่บางสิ่งได้เปลี่ยนไปแล้ว
วันรุ่งขึ้นลานฝึกยุทธ
แม้ร่างกายจะยังมีบาดแผล แต่ซูเหยาก็กลับมาฝึกฝนวิชาตามปกติ ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม ไม่ว่าอย่างไร นางก็ไม่สามารถสลัดสัมผัสของเขาออกจากใจได้
"ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้"
"เงียบเสีย"
"เจ้าบาดเจ็บหรือไม่?"
เสียงเหล่านั้นยังคงก้องอยู่ในความคิดของนาง และนางรู้ดี...ว่าไป๋เฉินหานเองก็ไม่อาจลบเลือนความรู้สึกเหล่านี้ได้เช่นกันแต่เส้นแบ่งระหว่างพวกเขายังคงอยู่ แม้จะก้าวข้ามไม่ได้...แต่พวกเขาก็ไม่อาจถอยหลังกลับไปได้อีกแล้ว
หลายวันหลังเหตุการณ์ดินถล่มไป๋ซูเหยากลับมาใช้ชีวิตตามปกติ นางฝึกฝนยุทธทุกวันอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และยังคงรักษาท่าทีสงบนิ่งของตนเอง ราวกับไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ราวกับคืนวันนั้นไม่เคยเกิดขึ้น แต่ลึกลงไปในใจ...นางรู้ดีว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
ไป๋เฉินหานจ้องมองเอกสารบนโต๊ะ แต่กลับไม่มีสมาธิพอจะอ่านมัน ตั้งแต่คืนนั้นเขาไม่ได้พูดกับซูเหยาแม้แต่คำเดียว และนางก็ไม่ได้มาหาเขาอีกเลย นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการหรอกหรือ? เขาเคยสั่งให้นางเว้นระยะห่าง และตอนนี้นางก็ทำตามอย่างสมบูรณ์แบบ แต่น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกว่างเปล่า
"ข้าปล่อยเจ้าไปได้เช่นไร" คำพูดของเขาเองย้อนกลับมาเหมือนคมกระบี่ที่ทิ่มแทงใจ เขาปล่อยนางไปไม่ได้...แต่ก็ไม่อาจข้ามเส้นนี้ไปได้เช่นกัน
ไป๋เฉินหานถอนหายใจยาว ถึงอย่างไรเสีย เขาก็ยังต้องรักษาระยะห่างนี้ไว้ แต่กระนั้น...ก็ไม่อาจละสายตาจากนางได้อีกต่อไป
ยามบ่ายซูเหยาฝึกกระบี่อย่างต่อเนื่อง นางทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับมันจนแทบลืมทุกสิ่งรอบตัว แต่แล้วจังหวะหนึ่ง นางเผลอออกแรงมากเกินไป ทำให้แรงสะท้อนจากกระบี่ทำให้ฝ่ามือของนางแตกและมีเลือดซึมออกมา
"ศิษย์น้องไป๋! เจ้าได้รับบาดเจ็บ!" ศิษย์คนหนึ่งร้องขึ้น แต่ซูเหยา เพียงแค่กำกระบี่แน่นและกล่าวเสียงเรียบ
"ข้าไม่เป็นไร"
ในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
"หากเจ้ายังฝืนต่อไป มีหวังมือของเจ้าคงใช้งานไม่ได้อีก"
ไป๋ซูเหยาหยุดชะงักทันที เสียงนั้นเป็นเสียงที่นางพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดหลายวัน ไป๋เฉินหานยืนอยู่ไม่ไกล สายตาของเขาจับจ้องไปยังมือที่มีเลือดไหลของนาง
"ไปพบหมอเสีย"
ซูเหยากำมือแน่น ก่อนจะโค้งตัวคำนับ
"ศิษย์ขอบคุณอาจารย์ที่เป็นห่วง แต่ศิษย์สามารถดูแลตนเองได้"
"นั่นคือสิ่งที่เจ้าคิด" ไป๋เฉินหานกล่าวเสียงเย็น "แต่ร่างกายของเจ้ากลับไม่ได้คิดเช่นนั้น"
ซูเหยาสบตากับเขา ในดวงตานั้นยังคงสงบนิ่ง แต่ลึกลงไปนางกลับสัมผัสได้ถึงความกังวลที่แอบซ่อนอยู่
"ข้าไม่เป็นไร"
"เจ้ากล่าวเช่นนี้เสมอ" ไป๋เฉินหานกล่าวก่อนจะหันหลังเดินจากไป "แต่ข้าไม่อาจทำเป็นไม่รับรู้ได้"
ซูเหยานิ่งงันไป ไป๋เฉินหานอาจไม่พูดมาก...แต่ทุกการกระทำของเขา กำลังตะโกนบอกนางว่า เขายังคงห่วงใยนางอยู่
วันต่อมาแม้ไป๋ซูเหยาจะพยายามทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่นางก็ยังคงพบว่ามีบางสิ่งเปลี่ยนไป ทุกครั้งที่นางฝึกหนักเกินไป ใครบางคนจะคอยส่งสมุนไพรมาให้อย่างเงียบ ๆ ทุกครั้งที่นางกลับจากภารกิจ ใครบางคนจะคอยสังเกตว่านางได้รับบาดเจ็บหรือไม่ และทุกครั้งที่นางเผลอหันไปมอง...สายตาของเขาจะอยู่ที่นางเสมอ เขาไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้เข้ามาใกล้ แต่ก็ไม่เคยอยู่ไกลเกินไปเช่นกัน ไป๋ซูเหยาหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ
"สุดท้ายแล้ว พวกเราก็ยังคงติดอยู่ในวังวนนี้"
แม้จะพยายามเว้นระยะห่างเพียงใด สุดท้ายพวกเขาก็ยังคงอยู่ในโลกของกันและกันอยู่ดี
