ความใกล้ชิดที่เป็นพิษ
เป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้วที่ไป๋ซูเหยา ต้องใช้เวลาในหออักษรทุกวันเพื่อคัดลอกคัมภีร์ยุทธ นางคิดว่าอาจารย์จะเพิกเฉยต่อนาง แต่ทุกครั้งที่เงยหน้าขึ้นไป นางกลับพบว่า ไป๋เฉินหาน กำลังนั่งอ่านคัมภีร์อยู่ใกล้ ๆ เสมอ
เขามิเคยพูดสิ่งใด มิได้แสดงออกถึงความอ่อนโยนหรือเมตตา ทว่าการมีอยู่ของเขาทำให้นางรู้สึกอุ่นใจ ยิ่งใกล้ก็ยิ่งหวั่นไหว
คืนหนึ่ง ณ ลานประลองร้าง เสียงกระบี่เฉือนผ่านอากาศ ฉัวะ! แขนเสื้อของซูเหยาถูกปลายกระบี่กรีดขาด แต่ครั้งนี้นางมิได้หวาดกลัว กลับยืนหยัดมั่นคง เงยหน้าประสานสายตากับผู้ที่อยู่เบื้องหน้า
“ดีขึ้น” ไป๋เฉินหานกล่าวเรียบ ๆ ก่อนลดกระบี่ลง
ซูเหยาหอบหายใจหนัก นางฝึกฝนหนักขึ้นทุกวันเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่ง ทว่าในใจกลับรู้ดีว่า ที่แท้นางมิได้เพียงต้องการเป็นศิษย์ที่ดีขึ้น แต่เป็นเพราะนางต้องการให้เขามองนาง...ในฐานะอื่นที่ไม่ใช่ศิษย์
“คืนนี้พอแค่นี้เถอะ”
ไป๋เฉินหานเก็บกระบี่ หันหลังจะเดินจากไป ทว่าในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ซูเหยาคว้าข้อมือของเขาไว้
ไป๋เฉินหานชะงัก ดวงตาคมดุจน้ำแข็งมองนางอย่างเงียบงัน
“ท่านอาจารย์...” เสียงของซูเหยาแผ่วเบา นางเองก็ไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไร นางรู้เพียงว่า หากปล่อยเขาไป นางจะไม่มีวันได้รับคำตอบ
“เจ้าจะทำอะไร?” น้ำเสียงของไป๋เฉินหานไม่ได้โกรธ แต่เต็มไปด้วยแรงกดดันที่มองไม่เห็น
ซูเหยากำข้อมือเขาแน่นขึ้น ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่เก็บงำไว้ในใจมาเนิ่นนาน
“เหตุใดท่านจึงเมตตาต่อข้ามากกว่าผู้อื่น?”
ไป๋เฉินหานนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ คลายมือนางออกจากข้อมือของเขา
“อย่าคิดฟุ้งซ่าน” เขากล่าวเพียงเท่านั้น ก่อนจะหมุนกายเดินจากไป
ซูเหยามองแผ่นหลังของเขาที่ค่อย ๆ ลับไปในความมืด ใบหน้าของนางซีดเผือด นี่เป็นครั้งแรกที่นางรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า เขากำลังพยายามผลักไสนางออกไป
วันรุ่งขึ้นลานฝึกยุทธ ข่าวการประลองของศิษย์พี่ใหญ่ เซี่ยลู่เหวิน แพร่สะพัดไปทั่วสำนัก เขาต้องการทดสอบฝีมือของศิษย์ทุกคน และที่น่าตกใจคือ เขาเลือกให้ไป๋ซูเหยาเป็นคู่ประลองของเขา
“ศิษย์น้องไป๋ เจ้ายินดีประลองกับข้าหรือไม่?”
เซี่ยลู่เหวินยืนอยู่กลางลานฝึก ดวงตาของเขามิได้เจ้าเล่ห์หรือหยอกเย้าเช่นเคย แต่เต็มไปด้วยความจริงจัง ไป๋ซูเหยากำกระบี่แน่น ก่อนจะพยักหน้าอย่างหนักแน่น
ทว่าท่ามกลางเสียงฮือฮาของศิษย์ทั้งหลาย ไป๋ซูเหยาสัมผัสได้ถึง สายตาคู่หนึ่งที่มองนางอยู่จากระเบียงสูง ไป๋เฉินหานยืนอยู่ที่นั่น มองดูทุกสิ่งเงียบ ๆ
เสียงกระบี่กระทบกันก้องไปทั่วลานฝึก ไป๋ซูเหยา และ เซี่ยลู่เหวิน ปะทะกันอย่างดุเดือด ฉัวะ!
ปลายกระบี่ของเซี่ยลู่เหวินเฉียดไหล่นางไปเพียงเสี้ยวคืบ หากเป็นเมื่อเดือนก่อน นางคงพลาดท่าไปแล้ว แต่ครั้งนี้...ซูเหยากลับก้าวเท้าหลบได้อย่างฉับไว ก่อนจะโต้กลับด้วยกระบวนท่าที่เฉียบคม
ดวงตาของเซี่ยลู่เหวินเป็นประกาย เขายิ้มน้อย ๆ ก่อนจะตวัดกระบี่สวนกลับ เพล้ง!
กระบี่ทั้งสองกระทบกันแรงจนเกิดเสียงก้อง ลมแรงพัดทั่วลานฝึก ศิษย์ที่มามุงดูต่างพากันเงียบกริบ ไม่มีใครคาดคิดว่าซูเหยาจะต้านทานเซี่ยลู่เหวินได้ถึงเพียงนี้ แต่คนที่เฝ้ามองนางอย่างเงียบงันจากที่สูงคือ ไป๋เฉินหาน
บนระเบียงสูงของสำนัก ไป๋เฉินหานยืนกอดอกมองการประลองอย่างนิ่งเฉย ทว่าภายในใจกลับรู้สึกแปลกประหลาด
ซูเหยา...เติบโตขึ้นมากกว่าที่เขาคาดไว้ นางมิใช่เด็กสาวที่อ่อนแออีกต่อไป ทว่าภายในแววตาของเซี่ยลู่เหวินที่มองนาง มีบางสิ่งที่ไป๋เฉินหานมิอาจปฏิเสธได้...ความสนใจ
"อาจารย์ คิดว่าศิษย์น้องไป๋จะชนะหรือไม่?" ศิษย์คนหนึ่งเอ่ยถาม ไป๋เฉินหานมิได้ตอบ แต่สายตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย
เซี่ยลู่เหวินกระแทกกระบี่ของซูเหยากระเด็นออกจากมือ นางพลาดจังหวะไปเพียงเล็กน้อย และเขาก็อาศัยโอกาสนั้นปิดเกม
"เจ้าพัฒนาไปมาก" เซี่ยลู่เหวินกล่าวพลางลดกระบี่ลง
"แต่ข้ายังมิอยากให้จบเพียงเท่านี้"
ไป๋ซูเหยาหอบหายใจหนัก นางเงยหน้ามองเขาด้วยความฉงน
"ศิษย์พี่หมายความว่าอย่างไร?"
เซี่ยลู่เหวินยิ้มบาง ก่อนจะหันไปมองระเบียงสูงที่ไป๋เฉินหานยืนอยู่
"เจ้ามิคิดบ้างหรือ ว่าถ้าหากอาจารย์มิใช่ผู้ที่เจ้าต้องการพิสูจน์ตัวเองให้เห็น เจ้าจะสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเองได้มากกว่านี้?"
ซูเหยาชะงัก นางรู้ว่าเซี่ยลู่เหวินกำลังพยายามจะพูดอะไร
"บางสิ่ง...ไม่มีวันเป็นไปได้" เขากล่าวเบา ๆ ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้ซูเหยายืนอยู่ท่ามกลางเสียงฮือฮาของศิษย์คนอื่น ๆ ทว่าหัวใจของนาง...กลับรู้สึกหนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม
คืนนั้นศาลากลางน้ำของสำนัก ไป๋ซูเหยายืนมองเงาสะท้อนของตนเองในน้ำ นางถามตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"สิ่งที่ข้าต้องการคือการเป็นศิษย์ที่ดีขึ้น หรือเป็นใครสักคนที่ท่านอาจารย์จะมองเห็น?"
"เจ้ากำลังทำให้ตัวเองอ่อนแอ"
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านหลัง ซูเหยาหันขวับไปมองและพบว่าไป๋เฉินหาน ยืนอยู่ที่เชิงศาลา
แสงจันทร์ส่องกระทบใบหน้าเรียบเฉยของเขา ทำให้เขาดูราวกับรูปสลักจากน้ำแข็ง
"ท่านอาจารย์..." ไป๋เฉินหานเดินเข้ามาใกล้ ดวงตาคมกริบจ้องมองนาง
"จิตใจของเจ้าหวั่นไหวมากเกินไป ซูเหยา"
"ศิษย์..." นางอ้าปากจะพูด แต่ไป๋เฉินหานกลับขยับเข้ามาใกล้เพียงก้าวเดียว จนแทบได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน
"ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ ว่าผู้ใช้กระบี่ต้องไร้หัวใจ" เสียงของเขาเย็นเยียบ
ไป๋ซูเหยากัดริมฝีปาก นางรู้ดีว่าคำพูดนี้มิใช่เพียงแค่สอนเรื่องกระบี่ แต่เป็นคำเตือนถึงบางสิ่งที่อาจเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา แต่หัวใจของนาง...กลับเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม
"หากต้องไร้หัวใจ...แล้วเหตุใดท่านจึงยังมาที่นี่?"
คำถามของซูเหยาส่งเสียงสะท้อนก้องอยู่ท่ามกลางความเงียบ
"หากต้องไร้หัวใจ...แล้วเหตุใดท่านจึงยังมาที่นี่?"
สายตาของไป๋เฉินหานนิ่งสนิทดุจผืนน้ำแข็ง ทว่าภายในกลับปั่นป่วน เหตุใดเขาถึงยังอยู่ที่นี่? เหตุใดต้องเฝ้าดูทุกการเคลื่อนไหวของนาง? เขาควรเป็นผู้ตัดใจ...แต่กลับเป็นฝ่ายถลำลึกลงไปเอง ไป๋เฉินหานสูดลมหายใจลึก ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเรียบเย็น
"เพราะเจ้ายังไม่แข็งแกร่งพอ"
ซูเหยาชะงัก นางมิรู้ว่านี่เป็นคำตอบที่แท้จริง หรือเพียงข้ออ้างที่เขามอบให้ตนเอง นางมองลึกเข้าไปในดวงตาของอาจารย์ ผู้เป็นดั่งยอดเขาสูงเย็นชา แต่ครานี้...นางกลับสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิม ก่อนที่นางจะทันได้พูดสิ่งใด ไป๋เฉินหานกลับก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว สายตาของเขากลับไปเป็นดั่งเดิม มั่นคงและเฉยชา
“เจ้าควรกลับไปพัก” เขาหมุนตัวเดินจากไป ทิ้งให้นางยืนอยู่ลำพัง
วันรุ่งขึ้น ณ ลานฝึกยุทธ เสียงกระบี่กระทบกันดังไม่ขาดสาย ไป๋ซูเหยาฝึกซ้อมหนักขึ้นกว่าที่เคย นางสลัดความลังเลออกไป และโฟกัสเพียงแค่การพัฒนาฝีมือ ทว่ามันไม่ได้ง่ายดายเลย
"เจ้ายังมีช่องโหว่" เซี่ยลู่เหวินกล่าว ก่อนจะตวัดกระบี่เบี่ยงท่ารุกของนางออก
ซูเหยาหอบหายใจหนัก นางขบฟันแน่น ไม่ใช่เพราะความเหนื่อยล้า แต่เพราะหัวใจของนางยังว้าวุ่น
"ข้ารู้" นางตอบ ก่อนจะก้าวเข้าโจมตีอีกครั้ง
เซี่ยลู่เหวินมองนางด้วยสายตาครุ่นคิด ระหว่างพวกเขามีเพียงเสียงกระบี่ดังสะท้อน แต่ในความเงียบระหว่างจังหวะนั้น เขากล่าวขึ้นเบา ๆ
"เจ้ากำลังฝืนใจตัวเองอยู่หรือไม่?" ซูเหยาชะงักไปครู่หนึ่ง และในชั่วพริบตานั้นเอง เซี่ยลู่เหวินก็ฉวยโอกาสโจมตีสวนกลับ
ฉัวะ! ปลายกระบี่หยุดลงเพียงเสี้ยวคืบจากลำคอของนาง...พลาดอีกแล้ว
"หากเจ้าลังเลเพียงเสี้ยววินาที นั่นหมายถึงความตาย" เซี่ยลู่เหวินลดกระบี่ลง ก่อนจะถอนหายใจ
"และข้ารู้ดีว่าเจ้ากำลังลังเลเรื่องอะไร"
ซูเหยากำมือแน่น
"เจ้าจะบอกว่าข้าหลงรักอาจารย์ เช่นนั้นหรือ?"
นางกล่าวเสียงเบา แต่แววตากลับเด็ดเดี่ยว
เซี่ยลู่เหวินไม่ได้ตอบนางตรง ๆ เพียงคลี่ยิ้มอ่อนก่อนจะเอื้อนเอ่ย
"เจ้ามิใช่คนโง่ เจ้ารู้คำตอบดีอยู่แล้ว"
กลางดึกในหออักษร ไป๋ซูเหยานั่งคัดคัมภีร์ตามหน้าที่ของนาง จ้องมองอักษรแต่ละตัว แต่ใจกลับล่องลอย ความเงียบภายในห้องทำให้นางได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจตนเอง
"ข้ายังไม่แข็งแกร่งพอจริง ๆ ใช่หรือไม่?" นางพึมพำเบา ๆ
"หากเจ้ามีเวลาคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เจ้าก็ควรฝึกให้หนักขึ้น"
เสียงทุ้มต่ำดังมาจากด้านข้าง ซูเหยาสะดุ้งเฮือก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง ไป๋เฉินหานยืนอยู่ที่เดิม เขามองนางอย่างนิ่งสงบ
"อาจารย์..."
เขาไม่พูดอะไรต่อ แต่กลับเดินมานั่งลงฝั่งตรงข้ามนางเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ซูเหยาเม้มริมฝีปากแน่น สายตาของเขาเฉยชาไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าครานี้นางกลับกล้าพอที่จะเอ่ยถาม
"ข้าจะต้องทำอย่างไร ถึงจะลบเลือนความรู้สึกนี้ไปได้?"
ไป๋เฉินหานชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"เจ้าต้องแข็งแกร่งขึ้น ประหนึ่งต้องไม่มีหัวใจ" คำตอบที่ได้ฟังเจ็บปวดยิ่งกว่าคมกระบี่ใด ๆ
