7
ชายหนุ่มกลับเข้ามาในห้องคนป่วยอีกครั้งเพราะคนอย่างเขาไม่ไร้มนุษยธรรมถึงขั้นไม่ดูดำดูดีคนเจ็บป่วย ไม่ได้มีความรู้สึกอย่างอื่นเลยแม้แต่น้อยเขาย้ำกับตัวเองเช่นนั้น
“ลุกขึ้นมากินข้าว” เสียงห้วนดึงให้คนที่กำลังจะเคลิ้มเพราะความอ่อนเพลียสะดุ้งตื่นเต็มตา โต๊ะเล็ก ๆ ข้างเตียงมีข้าวต้มร้อน ๆ หอมฉุยวางอยู่ ข้าวหอมเหลือบมองสามีนี่ใครบังคับให้เขายกมาให้หรือไงทำไมถึงได้ทำหน้าตาบูดบึ้งถึงเพียงนี้
หญิงสาวขยับตัวลุกขึ้นโดยไม่รอให้ใครมายืนตะคอกซ้ำด้วยกลิ่นอันยั่วยวนของข้าวต้มเครื่องทำให้เจ้าหล่อนจัดการซะเกลี้ยงชามในเวลาอันรวดเร็วและไม่ทันได้ขาดตอน ข้าวต้มชามใหม่ก็ถูกส่งตามเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
“เอิ่ม.... พี่เพลิงไม่กินด้วยกันหรือคะ” หญิงสาวยิ้มให้หลังจากลืมไปเลยว่ามีอีกคนยืนอยู่ในห้องนี้ด้วย สงสัยหล่อนจะหิวจนตาลายหรือไม่ได้ใส่ใจเขาก็ไม่รู้ แต่พอนึกขึ้นได้ก็เลยเอ่ยชวนแก้เก้อ......
“ใครจะไปตะกละเหมือนเธอ”
“อ๊าว !!.....” งานกร่อยยิ้มก่อนหน้ากลายเป็นยิ้มง่อย ๆ มือน้อยที่กำลังจะตักข้าวต้มเข้าปากวางลงอย่างหมดอารมณ์จะกินต่อ หล่อนคว้าน้ำมาดื่มอีกแก้วใหญ่เผื่อใจจะเย็นลงบ้าง ถ้าไม่เคลียร์ให้รู้เรื่องเห็นทีจะนอนไม่หลับ ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรนักหนาเอาแต่ตั้งหน้าจิกกัดอยู่ร่ำไป
“ทำไม...พูดเรื่องจริงทำเป็นรับไม่ได้” เพลิงยืนล้วงกระเป๋าด้วยท่าทีสบาย ๆ เมื่อเห็นคนตัวเล็กทำเป็นตาขวางกล้าหาญถึงขนาดลุกขึ้นมาประจันหน้าทั้งที่ความสูงเลยอกเขามาแค่นิดเดียว
ข้าวหอมสูดลมหายใจเข้าปอดยาว ๆ ก่อนจะยิงคำถามอย่างเหลืออด
“พี่เพลิงไม่พอใจข้าวเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”
“หึหึ...เรื่องอะไรงั้นเหรอ...นี่เธอไม่รู้จริง ๆ หรือว่าแกล้งโง่กันแน่”
“ข้าวไม่ได้แกล้งค่ะ ถ้าไม่โง่จริงก็คงไม่แต่งงานกับพี่เพลิงหรอกค่ะ” สายตาตัดพ้อมองผ่านดวงตาคู่หวานแต่คนใจดำก็ยังเฉยเมยไม่รู้สึกรู้สา
“รู้ตัวก็ดี....แต่ก็อย่าโง่ถึงขนาดคิดว่าฉันแต่งงานกับเธอเพราะความรักล่ะ”
หญิงสาวยืนตัวชากับวาจาเชือดเฉือนอย่างเลือดเย็น คำพูดของเขายังคงดังก้องกลับไปกลับมาในโสตประสาทแม้ว่าคนพูดจะเดินจากไปแล้ว......ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ หลั่งไหลเข้ามาพาให้อกใจไหวหวั่น ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางร่วมกันแบบตัวใครตัวมัน การแสดงสิทธิ์ของการเป็นสามีแบบไร้ความอ่อนโยนปราณีหรือแม้กระทั่งการที่เขาปล่อยให้หล่อนปั่นจักรยานฝ่าเปลวแดดล้วนเกิดจากความร้ายกาจที่เขาตั้งใจมอบให้หล่อนกระนั้นหรือ......... นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันหญิงสาวโผกลับไปที่เตียงนอนอย่างมึนงง ข้าวหอมทอดตัวลงนอนหมดอาลัยตายอยากถึงแม้ไม่ฟูมฟายแต่น้ำตาเจ้ากรรมก็ดันไหลออกมาไม่ขาดสายชีวิตครอบครัวที่เริ่มต้นอย่างเรียบง่ายทำท่าจะพังทลายลงง่ายดายเช่นกัน…….
20.00 น.
ครืด...ครืด...เสียงโทรศัพท์สั่นกระทบกับหัวเตียงปลุกให้คนที่หลับใหลตั้งแต่บ่ายลืมตาตื่นขึ้นมาคว้าไปดูก่อนจะรีบลุกขึ้นนั่งปรับอารมณ์ให้สดชื่นก่อนจะยอมรับโทรศัพท์ที่เกือบจะตัดสายทิ้ง
“ทำอะไรอยู่เหรอลูกกำลังยุ่งหรือเปล่า” เสียงของคุณประภาแสดงความห่วงหาอาทรลูกสาวไม่เปลี่ยนแปลง
“อ๋อ...พอดีโทรศัพท์มันวางอยู่ไกลน่ะค่ะ...คุณแม่มีอะไรหรือเปล่าคะ” หญิงสาวตอบกลับมารดาด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้สดใส
“ก็ลุงอุทัยน่ะสิ เขาเป็นห่วงหนูไม่รู้ว่าเรากับคุณเพลิงเข้ากันได้ดีหรือเปล่าอยู่ ๆ ก็รีบร้อนแต่งงานยังไม่ทันได้ศึกษานิสัยใจคอ.... ถึงแม้ตอนเด็ก ๆ จะเข้ากันได้ดีก็เถอะ” น้ำเสียงของประภายังคงความเกรงใจลูกเลี้ยงอยู่ไม่น้อย นางรู้ว่าชายหนุ่มเกลียดนางแค่ไหนซ้ำร้ายยังโกรธคนเป็นพ่อมากมายไม่คิดว่าจู่ ๆ เขาจะยอมลดทิฐิเข้าไปขอข้าวหอมด้วยตัวเองทำให้คุณอุทัยดีใจและมีความสุขมากที่สุดในรอบสิบเจ็ดปีเลยก็ว่าได้
“หนูสบายดีค่ะคุณแม่ พี่เพลิงเขาดูแลหนูอย่างดีไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ” พูดไปแล้วก็สะท้อนใจหล่อนจำเป็นต้องโกหกเพราะไม่อยากให้มารดากับคุณลุงเสียใจ หล่อนรู้ดีว่าท่านรักและหวังดีต่อหล่อนและแม่อย่างบริสุทธิ์ใจ เพียงแต่ตามไม่ทันกลลวงของคนใจร้ายก็เท่านั้นใครจะคิดว่าลูกชายแท้ ๆ จะกล้าวางแผนหลอกลวงได้ถึงเพียงนี้
“งั้นก็ดีแล้วจ้ะ หนูต้องดีกับพี่เขาให้มาก ๆ นะลูก...พี่เพลิงเขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวมานาน หนักนิดเบาหน่อยก็อย่าถือสานะจ๊ะ” คุณประภาย้ำ ทั้งที่ก่อนแต่งงานหล่อนก็พร่ำสอนลูกสาวมาก่อนมากมายจนไม่รู้ว่าเจ้าหล่อนจะจำได้หมดหรือเปล่า
“ค่ะคุณแม่”
“แม่โอนเงินสินสอดใส่บัญชีให้หนูแล้วนะลูก เผื่อเอาไว้ใช้จ่ายส่วนตัวจะได้ไม่ต้องกวนพี่เขา”
“คุณแม่เก็บไว้เถอะ.....หนูคงไม่ได้ใช้หรอกค่ะ” ข้าวหอมรู้ดีว่าครอบครัวของหล่อนแม้ไม่ขัดสนแต่ก็ไม่ได้ร่ำรวย คุณลุงกับแม่ช่วยกันเปิดร้านขายต้นไม้ที่มีกำไรมากหน่อยก็เพราะต้นไม้หลายอย่างคุณลุงสามารถเพาะชำได้เองลดต้นทุนไปได้มาก
“เก็บไว้เถอะน่า....อย่าดื้อ”
“ขอบคุณค่ะคุณแม่”หญิงสาวรับคำ หลังจากมารดาวางสายไปแล้วหัวใจดวงน้อยก็เริ่มสั่นไหวการโกหกในครั้งนี้มีผลต่ออนาคตอย่างแน่นอน.....โกหกครั้งแรกแล้วก็ต้องมีครั้งต่อ ๆ ไปสินะ
