30
มือบางบรรจงกดครีมบำรุงผิวก่อนจะลูบไล้ถูไปถูมาหลายรอบ หล่อนนั่งทำอยู่อย่างนั้นนานสองนานคงจะเป็นชั่วโมงแล้วกระมัง ไม่ใช่ว่าข้าวหอมมัวประดิดประดอยอ้อยสร้อยแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะสายตาไม่น่าไว้ใจที่ทอดมองอยู่เงียบ ๆ ตลอดเวลาตั้งแต่หล่อนย่างเท้าออกจากห้องน้ำมีหวังโดนจับกินแน่ยัยข้าวหอมเอ้ย……ในที่สุดหล่อนก็จำใจต้องหยุดการกระทำไร้สาระนั่นกลับขึ้นไปนอนบนเตียงเคียงข้างสามีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ผู้หญิงนี่เขาต้องบำรุงผิวพรรณกันนานเหมือนกันเนอะ.....ถึงว่าสิน้องข้าวของพี่ถึงได้นุ่มเนียนหอมกรุ่นไปทั้งตัวแบบนี้” ไม่พูดเปล่าจมูกกับปากยังจู่โจมซุกไซ้ดอมดม....ฝ่ามือหนาถือสิทธิ์ลูบไล้เนื้อตัวของหล่อนอย่างพึงใจไม่ว่าจะลูบผ่านไปทางไหนเหมือนไฟนาบความร้อนวูบวาบแล่นปราดทั่วสรรพางค์กาย
หญิงสาวหลับตาย่นคอหนีตอหนวดที่ให้ความรู้สึกจั๊กจี้แสบ ๆ คัน ๆ ครั้นจะขัดขืนก็ใช่ที่ในเมื่อเขามีสิทธิ์ของการเป็นสามีจึงได้แต่พยายามปล่อยกายปล่อยใจไปกับสัมผัสอันชวนวาบหวาม.....
ตลอดค่ำคืนอันยาวนานที่สามีหนุ่มเพียรพยายามเอาอกเอาใจด้วยบทรักนุ่มนวลละเมียดละไม..... ...สาวน้อยด้อยประสบการณ์อย่างข้าวหอมแทบจะสำลักความสุขไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดหาเหตุผลของการกระทำเพราะมีแต่ความหวานฉ่ำที่เรือนร่างกำยำปรนเปรอให้...เช้าวันนี้ถึงแม้ร่างกายจะอ่อนล้าแต่หัวใจกลับเริงร่าเหลือเกิน
หญิงสาวออกมาเดินดูกล้วยไม้ที่แขวนเรียงรายระเกะระกะแบบไม่ตั้งใจเจ้าของบ้านก็คงไม่มีเวลาชื่นชมด้วยกระมังจึงเหมือนพวกมันโดนทิ้งร้างเอาไว้อย่างเดียวดาย...หล่อนหยิบฉวยจัดแต่งเท่าทีจะทำได้ก่อนจะแขวนกลับเข้าไปใหม่
“ชอบเหรอ” เสียงทุ้มนุ่มน่าฟังดังขึ้นพร้อมลำแขนแกร่งจะโอบกอดจากทางด้านหลังก่อนที่สามีหนุ่มจะวางคางลงบนบ่าบอบบาง
“ค่ะ...เมื่อก่อนข้าวเคยเลี้ยงไว้หลายต้น หลัง ๆ ตั้งแต่เรียนหนักขึ้นก็กลายเป็นคุณลุงที่คอยดูแลให้
“อืม...งั้นเหรอ”
ข้าวหอมรู้สึกว่าน้ำเสียงของสามีฟังดูแปร่งไป หล่อนลืมเสียสนิทว่าพี่เพลิงยังโกรธเคืองท่านอยู่ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เขาจะปล่อยวางลงได้สักที
“พี่เพลิงคะ....ข้าวขออนุญาตเอาโต๊ะเก้าอี้มานั่งทำงานตรงนี้ได้ไหมคะ”
“ได้สิ…..ว่าแต่น้องข้าวจะทำงานอะไรเหรอครับ”
“งานเขียนค่ะ...ข้าวเคยเขียนนิยายตอนเรียนปีหนึ่งน่ะค่ะแล้วก็หยุดไป ตอนนี้ว่าง ๆ ก็เลยจะลองอีกสักครั้ง”
“พี่มีเมียเป็นนักเขียนดังหรือนี่”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ แค่นักอยากเขียนน่ะค่ะ” หญิงสาวยิ้มอาย ๆ ความรู้ที่ร่ำเรียนมาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานออฟฟิศมากกว่า.......แต่ดูท่าจะถูกสกัดดาวรุ่งถ้ายังมีพี่พิมเป็นพี่เลี้ยงอยู่อย่างนั้น ก็เลยคิดว่ามาพัฒนาฝีมืองานที่รักอย่างงานเขียนดีกว่า ไม่ต้องยุ่งวุ่นวายกับใครและที่สำคัญไม่ต้องกลัวไส้แห้งด้วย อย่างน้อยก็ขอข้าวป้าจันทร์กินได้สามมื้อ...ข้าวหอมคิดขำ ๆ
“ถ้าอย่างนั้นทำเป็นซุ้มศาลาเลยดีกว่า” เพลิงพูดจบก็โทรหาลูกน้องพลางสั่งการเสียยืดยาวโดยไม่รอคำตอบของเมียสาวเลยด้วยซ้ำ
“เอ่อ...มันจะสิ้นเปลืองเกินไปหรือเปล่าคะ” ข้าวหอมพูดขึ้นอย่างเกรงใจ...บทจะดีก็ดีใจหายถ้าหล่อนจะขอให้เขาเป็นแบบนี้ตลอดไปจะได้ไหมนะ...
“ไม่มีคำว่าเกินไปสำหรับเมียของพี่หรอก อย่าคิดมากเลยยิ้มให้พี่ชื่นใจก็พอแล้ว” ชายหนุ่มก้มลงหอมแก้มนิ่มฟอดใหญ่ก่อนจะเดินไปสำรวจพื้นที่ที่จะทำการปลูกสร้างในอีกไม่ช้านี้ ปล่อยให้คนถูกหอมยืนอึ้งกิมกี่มองตามตาปริบ ๆ
“นาย...นายจ๊ะเปียกมาแล้วจ้ะ” ชายหนุ่มอารมณ์ดีขี่จักรยานหน้าเริ่ดนำหน้าทุกคน ก่อนจะตามมาด้วยเปี๊ยกที่ขับรถกระบะบรรทุกคนงานมาเต็มคันรถ
“เออ...กูมีตา” เจ้านายหนุ่มระอากับความขาด ๆ เกิน ๆ ของมันจริง ๆ
“ไอ้เปี๊ยกบอกว่านายจะทำซุ้ม นายจะขังหมาที่ไหนหรือจ๊ะ” เปียกถามพลางสอดส่ายสายตามองหาเผื่อจะเจอหมาน้อยน่ารักสักตัว
“หมาบ้านพ่องงง....มึงสิไอ้เปียก....กูจะทำซุ้มให้นายหญิงของมึงไง” ชายหนุ่มอดด่าลูกน้องคนสนิทไม่ได้
“ห๊า.....นายจะขังนายหญิงหรือจ๊ะ....ม่ายยยยยนะ.......อย่าทำอย่างนั้นเลยนะจ๊ะ..... นายใจร้าย” เปียกนั่งลงกอดแข้งกอดขาผู้เป็นนายร่ำ ๆ จะร้องไห้ออกมาเต็มที
“เปียกเป็นอะไรไปจ๊ะ” ข้าวหอมเห็นอาการฟูมฟายของคู่หูจึงเดินเข้ามาถามด้วยความตกใจ
“นายหญิงหนีไป นายจะขังนายหญิงไว้ในซุ้มนี้” เปียกตั้งหลักยึดขาเจ้านายไว้มั่นเพื่อความปลอดภัยของนายหญิง มันยอมพลีชีพเองเสียดีกว่า
“ดูมัน....เอาเข้าไป” เพลิงถอนหายใจ อยากจะเตะสักป๊าบก็นึกถึงคำพูดว่าอย่าถือคนบ้า…..ถึงแม้มันจะไม่ได้บ้าแต่ก็ใกล้เคียง
“เปียกใจเย็น ๆ นะ พี่เพลิงไม่ได้จะขังฉัน เขาทำซุ้มเอาไว้ให้ฉันนั่งทำงานน่ะจ้ะ” ข้าวหอมอธิบายด้วยเสียงนุ่มนวลเพราะสามีได้ผละไปสั่งงานคนงานแล้วคงจะหนีความปวดหัวตรงนี้กระมัง
“ค่อยยังชั่วหน่อย เปียกใจคอไม่ดีเลยจ้ะงั้นเปียกไปทำงานก่อนนะจ้ะ” ชายหนุ่มยิ้มหน้าบานก่อนจะลุกขึ้นไหว้ย่อขอตัวไปสมทบกับพวกคนงาน
