บทที่4
เมื่อชุนกับหลิวถึงบ้านพักกลางป่า ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อน
หลิวขอตัวไปนอนทันทีเพราะร่างกายล้าเต็มที แต่พอนอนลงจริง ๆ กลับนึกได้ว่ายังไม่ได้ส่งรายงานให้อาจารย์ เธอจึงลุกขึ้นมานั่งพิมพ์งานต่อบนโต๊ะเล็ก ๆ ในห้องพัก
เสียงนาฬิกาไม้บนผนังเดินช้า ๆ บอกเวลาห้าทุ่ม ความเหนื่อยล้าค่อย ๆ คลายลง แต่แทนที่ด้วยความหิวที่แล่นวาบขึ้นมาทันที
หลิวลุกไปค้นกระเป๋าเดินทางที่ยังไม่ได้เปิดจัด พบว่าตัวเองยังพกมาม่ามาด้วย — โชคดีแล้วที่ไม่ลืมหยิบติดมา
เธอเดินถือซองมาม่าไปยังห้องครัวเล็ก ๆ ด้านหลังสุดของบ้านพัก
ระหว่างทาง เธอผ่านห้องทำงานของชุน
ไฟยังสว่างอยู่ และผ่านช่องว่างเล็ก ๆ ของผ้าม่าน เธอเห็นเขานั่งก้มหน้าอยู่เหนือแผนที่ที่กางเต็มโต๊ะใหญ่ สีหน้าครุ่นคิดจริงจังราวกับแบกน้ำหนักของทั้งป่าเอาไว้
หลิวเผลอชะงัก มองอยู่เพียงครู่ก่อนจะก้าวต่ออย่างเงียบกริบ ราวกับกลัวว่าเขาจะรู้ว่าเธอแอบมอง
ในครัวมีเพียงแสงไฟสีส้มอุ่นจากหลอดเล็กตรงมุมห้อง
หลิวนั่งลงที่โต๊ะริมหน้าต่าง มองออกไปยังความมืดสนิทรอบบ้าน เสียงลมหนาวพัดลอดช่องไม้เข้ามาเย็นเฉียบ เธอคิดอะไรเรื่อยเปื่อยระหว่างรอน้ำร้อนเดือด จนเผลอวางศอกลงแล้วซบหน้าหลับไปโดยไม่รู้ตัว
กลิ่นหอมอุ่นของอะไรบางอย่างทำให้เธอลืมตาขึ้น
บนโต๊ะตรงหน้าไม่ใช่มาม่ากึ่งสำเร็จรูปดิบ ๆ ที่เธอเตรียมไว้ แต่เป็นถ้วยมาม่าที่น้ำซุปส่งกลิ่นหอมและมีผักใบเขียวกับไข่ลอยอยู่ข้างบน
“คุณเป็นหมอ น่าจะรู้นะว่ากินมาม่าแบบแค่กดน้ำร้อนใส่ ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่”
เสียงทุ้มของชุนดังขึ้นด้านข้าง เขาวางถ้วยอีกใบตรงหน้าเธอ แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามอย่างไม่รีบร้อน
“ที่นี่อาจไม่เจริญมาก แต่เรายังมีผักกับไข่” เขาพูดพลางใช้ตะเกียบคีบผักในถ้วยของตัวเอง
หลิวกะพริบตาอยู่ครู่ ก่อนจะยิ้มบาง ๆ
“อยู่ที่เมืองไทย ฉันก็กินแบบนั้นเวลางานเร่ง”
ชุนเหลือบตามองเธอ ดวงตาคมดูอ่อนลงอย่างไม่ปิดบัง “แต่ที่นี่ไม่ต้องรีบ คุณอยู่ท่ามกลางคนของผม พักเถอะ”
เพียงประโยคสั้น ๆ กับถ้วยมาม่าอุ่น ๆ ในยามดึก ก็ทำให้หลิวรู้สึกว่าความหนาวด้านนอกค่อย ๆ เลือนหายไป
---
หลิวคีบเส้นมาม่าขึ้นมาเป่าเบา ๆ ก่อนจะชิม น้ำซุปร้อน ๆ ผสมกลิ่นผักกับไข่ทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นทันที
“ฝีมือไม่เลวเลยนะคะ” เธอพูดยิ้ม ๆ
“ไม่ต้องชม ผมก็แค่ไม่อยากให้หมอในพื้นที่ล้มป่วยเพราะกินอะไรไม่เป็นเรื่อง” เขาตอบเรียบ ๆ แต่แววตากลับแฝงความเอ็นดูชัดเจน
“ฟังดูเหมือนฉันเป็นภาระเลยนะ”
“ก็จริง… แต่เป็นภาระที่ผมยอมให้มีอยู่”
หลิวหัวเราะในลำคอ เสียงหัวเราะนั้นทำให้บรรยากาศในครัวเงียบ ๆ ยามดึกดูผ่อนคลายขึ้นอย่างแปลกประหลาด
“คุณทำงานดึกทุกคืนแบบนี้เหรอคะ” เธอถามพลางเหลือบมองประตูห้องทำงานที่ปิดอยู่
ชุนพยักหน้า “บางคืนก็ทั้งคืน ป่าไม่เคยนอนหลับ… ผมก็เลยต้องตื่นเฝ้ามัน”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มลง “แต่ถ้าคุณหิวดึก ๆ อีก บอกผมก่อน อย่ามานั่งหลับคาโต๊ะคนเดียวแบบนี้”
หลิวหลบสายตาเล็กน้อย รู้สึกถึงความอุ่นวาบในอกที่ไม่เกี่ยวกับมาม่าในถ้วย
“ค่ะ… งั้นคราวหน้าฉันจะให้คุณทำให้กินอีก” หลิวพูดทีเล่นทีจริง โดยไม่คิดอะไร
ชุนยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ระวังผมจะคิดว่าคุณชอบอยู่ใกล้ผมมากกว่าห้องพักตัวเอง”
คำพูดนั้นทำให้หลิวเผลอหน้าแดง แต่เธอก็ก้มลงตักน้ำซุปต่อเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึก
เสียงช้อนกระทบถ้วยและเสียงลมพัดลอดหน้าต่างเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ดังอยู่ในครัวเล็ก ๆ ยามดึก แต่ในความเงียบนั้น กลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ไม่มีใครพูดออกมา
หลังจากกินมาม่าเสร็จ ชุนเก็บถ้วยทั้งสองไปล้างที่อ่างน้ำเหมือนเป็นเรื่องปกติ หลิวนั่งมองแผ่นหลังกว้างนั้นเงียบ ๆ ราวกับถูกสะกดให้จดจำ
เธอไม่คุ้นเคยกับภาพผู้ชายที่ดูแข็งกร้าวกลางวัน แต่กลับใจเย็นและใส่ใจเรื่องเล็กน้อยในยามค่ำคืนแบบนี้
“ไปนอนได้แล้ว” เสียงของชุนดังขึ้น ทำให้หลิวรู้สึกตัว
“ค่ะ… ขอบคุณนะคะ”
“อย่าลืมปิดหน้าต่างในห้องด้วย ลมคืนนี้แรง เดี๋ยวจะปวดหัวอีก”
หลิวพยักหน้ารับ ก่อนลุกขึ้นเดินกลับห้องพัก เสียงฝีเท้าบนพื้นไม้ดังเป็นจังหวะเบา ๆ จนถึงหน้าห้อง เธอหันกลับไปมองอีกครั้ง เห็นชุนกำลังเช็ดโต๊ะด้วยความตั้งใจราวกับไม่อยากให้มีร่องรอยความวุ่นวายหลงเหลืออยู่
ในความเงียบนั้น หลิวรู้สึกถึงความปลอดภัยอย่างประหลาด
เธอไม่แน่ใจว่ามันเกิดจากมาม่าร้อน ๆ ที่ทำให้ร่างกายอบอุ่น หรือเป็นเพราะผู้ชายคนนั้นที่เธอเพิ่งเริ่มมองด้วยสายตาไม่เหมือนเดิม
คืนนั้น หลิวส่งรายงานเสร็จอย่างรวดเร็ว แต่กว่าหลับตาลงได้ เธอกลับเห็นภาพรอยยิ้มบาง ๆ ของชุนซ้ำแล้วซ้ำเล่าในความคิด…
---
