บทที่ 9
“ไม่ต้องมารยาทงามนักก็ได้ เห็นแล้วเหมือนเด็กน้อยขี้กลัวชอบกล” อาชาบอก แต่เธอไม่ตอบอะไร “นั่งลงก่อนเถอะค่ะ จะได้คุยธุระกัน” ชายหนุ่มผายมือไปยังเก้าอี้ตัวเดิม มองดูเธอนั่งลงด้วยท่าทีสงบนิ่ง ก่อนจะพาตัวเองเดินอ้อมไปนั่งตรงกันข้าม หวังว่าคงจะได้เผชิญหน้ากันอย่างตรงไปตรงมา แต่ดูท่าคงต้องผิดหวัง ในเมื่อแม่คนสวยเล่นเอาแต่นั่งก้มหน้า แทบไม่ยอมสบตากับเขาเลยด้วยซ้ำ
“คุณดวงบอกว่าคุณอาชาอยากให้ฉันมาเป็นตัวแทนคุยเรื่อง...” รินนาราเว้นวรรคเล็กน้อย กำลังจะเอ่ยต่อ
“เรื่องหนี้ที่ติดค้างกันอยู่...จำนวนสิบล้านบาท” แต่อาชาแทรกขึ้นก่อน และแน่นอนว่าอีกฝ่ายเข้าเรื่องทันที
“เราตั้งใจจะขายบ้านใช้หนี้ค่ะ ประเมินราคาดูแล้วน่าจะได้ราวๆ ห้าล้านบาท”
“ขายบ้านหลังนั้นแล้ว เธอกับอาดวงจะไปอยู่ที่ไหนกัน” คำถามนี้เหมือนหมัดหนักๆ ที่ชกเข้ามาเต็มอก มันทำให้รินนาราเจ็บและจุกจนแทบพูดไม่ออก แต่ยังไงเธอก็ต้องตอบคำถามเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี
“เรื่องนั้นยังไม่ได้คิดไว้ค่ะ แต่คงจะเช่าบ้านหลังเล็กๆ อยู่ด้วยกัน”
“อาดวงอายุมากแล้วนะ คิดว่าการออกไปอยู่บ้านเช่าแบบนั้น มันจะสะดวกสบายแค่ไหนกัน แล้วไหนจะเรื่องที่มีโรคประจำตัวอีกล่ะ อยู่กันตามลำพัง แล้วก็มีแต่ผู้หญิงเสียด้วย ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะรับมือได้หรือเปล่า” ชายหนุ่มออกความเห็นและทิ้งคำถามไว้พร้อมๆ กัน ก่อนจะเอนหลังพิงเก้าอี้ สองมือวางประสานกันอยู่ตรงหน้าท้องด้วยท่าทีสบายๆ ดวงตาคมปลาบจ้องมองสุภาพสตรีตรงหน้าอย่างรอคอยคำตอบ
อาชำไล่มองเครื่องหน้าน่ารักนั้นแล้วลอบผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ในความคิดเขา รินนาราช่างงดงามราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ ดวงตากลมโตมีแผงขนตางอนยาวแบบธรรมชาติล้อมรอบเอาไว้
จมูกโด่งเรียวเล็กกับริมฝีปากบางได้รูปกระจับ ทำให้มองอย่างไรก็ยากที่จะละสายตาได้ ผิวขาวเนียนละเอียดยามที่ต้องแสงสีส้มจากโคมไฟ ทำให้เธอดูเหมือนกำลังเปล่งประกาย
ตอนที่ยังเป็นแค่เด็กสาว รินนาราดูน่ารักสมวัย มีความอ่อนหวานที่แสนบริสุทธิ์และไร้เดียงสา แต่พอกลายมาเป็นสาวงามสะพรั่งอย่างในวันนี้ ความน่ารักงดงามแบบเด็กๆ ก็พัฒนามาเป็นความสวยหวานหยาดเยิ้มในแบบสุภาพสตรีที่เพียบพร้อม เธอสมบูรณ์แบบมากเสียจนเขาเองก็ยังคาดไม่ถึง
สวยประหารจนแทบละสายตาไม่ได้...คือสิ่งที่เขานิยามให้กับเธอ
“มันอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก แต่เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ ค่ะ ฉันทราบดีว่าเราขอผ่อนผันหนี้ก้อนนี้มานานหลายปีแล้ว ถ้าขายบ้านได้ก็คงได้ใช้หนี้ครึ่งแรกให้ก่อน ส่วนอีกครึ่ง...คงต้องขอเวลาต่ออีกหน่อย” เสียงหวานไพเราะที่เต็มไปด้วยความกังวลใจ ฉุดดึงคนที่ร้อนแรงดั่งม้าหนุ่มให้ตื่นจากภวังค์ เขากระแอมเบาๆ แล้วเข้าเรื่องต่อ
“ส่วนที่เหลืออีกห้าล้านบาท คิดว่าจะใช้คืนได้เมื่อไร”
“จะพยายามให้เร็วที่สุดค่ะ อาจจะยังบอกไม่ได้ว่าเมื่อไร แต่ฉันจะทำขนมขายให้มากขึ้นกว่าเดิม แล้วก็...”
“เดี๋ยวนะ” ชายหนุ่มขัดขึ้น ทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง “ทำขนมขายเนี่ยนะ?”
“ใช่ค่ะ ตอนนี้การทำขนมโบราณขาย เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เราพออยู่ต่อไปได้”
“พี่ไม่คิดจะดูถูกอาชีพสุจริตหรอกนะคะ แต่ขายขนมคงมีรายได้แค่พอใช้จ่ายไปวันๆ ไม่มีทางเก็บมาใช้หนี้ถึงห้าล้านบาทได้หรอก” ชายหนุ่มใช้น้ำเสียงที่ชี้แจงให้เห็นความจริงมากกว่าต้องการดูหมิ่น
ความตรงไปตรงมานั้นทำให้รินนาราหน้าถอดสี ริมฝีปากบางสวยเม้มแน่นเป็นเส้นตรง บางทีเธอก็ควรยอมรับว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นถูกต้อง รายได้จากการทำขนมขายน้อยนิดมาก การคิดจะเจียดแบ่งใช้หนี้ถือเป็นการตั้งเป้าที่ล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มต้นด้วยซ้ำ
“คุณอาชาให้เวลากับเราอีกหน่อยไม่ได้หรือคะ?” คราวนี้เงยหน้าขึ้นสบตากับเขาแน่วแน่ มั่นใจว่าอาจมีทางออกอื่นอีก เพียงแต่ยังคิดไม่ออกในเวลานี้
“ให้ได้สิคะ แต่มันต้องนานแค่ไหนล่ะกว่าจะเก็บเงินมาได้ครบ สี่สิบปี ห้าสิบปี...หรือว่าหกสิบปี”
ชายหนุ่มยังคงเอ่ยทำนองเดิม ต้องการให้เธอมองในแง่ของความเป็นจริง ไม่ใช่หลอกตัวเองไปวันๆ อย่างมีความหวัง คราวนี้น้ำเสียงของเขาอาจจะฟังดูจริงจังเกินไปหน่อย เพราะสังเกตเห็นขอบตาของเธอ เริ่มแดงและมีหยาดน้ำตาคลอรื้นอยู่
“ค่ะ”
“แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางออกอื่นหรอกนะ” ประโยคต่อมาสะดุดหูรินนาราเข้าอย่างจัง เธอมองหน้าเขาอีกครั้ง ดวงตาเบิกกว้างอย่างสนใจ
“ถ้าพอมีทางออกอื่น เชิญพูดมาได้เลยค่ะ ฉันยินดีทำทุกอย่าง”
“แน่ใจหรือว่าทุกอย่าง?” เขาถามย้ำ พร้อมเผยรอยยิ้มที่ดูเหมือนมีบางอย่างซุกซ่อนไว้
