บทที่ 8
“คุณรินนารารออยู่ในห้องทำงานแล้วค่ะ ดูท่าว่าคงนอนไม่หลับแน่ ถ้าไม่ได้คุยธุระกับคุณเอื้อ” หญิงวัยปลายเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงสุภาพ นางเป็นคนเดียวที่สามารถเรียกชื่อเล่นของอาชาได้อย่างสนิทสนม เพราะเปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง คุ้นเคยและดูแลกันมานาน
“ผมเองก็คงนอนไม่หลับเหมือนกัน ถ้าไม่ได้คุยกับเธอ” ชายหนุ่มพูดจาเปิดเผยเสมอ แม้ภายนอกจะดูนิ่งขรึม แต่ถ้าใครได้คลุกคลีอยู่ด้วย ย่อมรู้ทันทีว่าเขาเป็นคนอบอุ่นอ่อนโยนเพียงใด
ป้ามะลิยิ้มรับคำพูดนั้น มองร่างสูงกำยำที่เดินไปยังห้องทำงานจนสุดสายตา ปีนี้อาชาอายุครบสามสิบปี ถือว่าสมควรแก่เวลาแล้ว หากคิดจะร่วมหอลงโรงกับใครสักคน
สาวสวยนามว่ารินนาราดูน่าสนใจมากในสายตาคนแก่ ใบหน้าสวยหวานลงตัวราวกับเทพธิดา ผิวพรรณผุดผ่องที่บ่งบอกถึงความเป็นลูกผู้ลากมากดี แล้วไหนจะมารยาทและการวางตัวที่สมเป็นกุลสตรีอีก
ถ้านายหนุ่มของเกาะเภาคิดจะมีนายหญิง ป้ามะลิคิดว่ารินนาราถือเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่อาชาควรพิจารณาเป็นพิเศษ และเท่าที่สังเกตจากดวงตาคมกริบคู่นั้น นางคิดว่ารินนาราคงเป็นตัวเลือกที่เขาเองก็พึงพอใจมากเช่นกัน
ร่างบอบบางนั่งอยู่บนเก้าอี้บุหนังตัวใหญ่หน้าโต๊ะทำงาน ภายในห้องทำงานเปิดเครื่องปรับอากาศจนเย็นฉ่ำ แสงสีส้มจากโคมไฟแบบตั้งพื้นซึ่งวางอยู่ตรงมุมห้อง ทำให้บรรยากาศภายในดูอบอุ่นอย่างเหลือเชื่อ และสิ่งที่ทำให้หญิงสาวผ่อนคลายคือกลิ่นน้ำหอมแบบผู้ชาย ที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ กลิ่นที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวลและแข็งแกร่งอย่างบอกไม่ถูก
เสียงประตูเปิดออกและปิดลงอย่างเบามือ ทำให้หญิงสาวบีบมือตัวเองแน่นขึ้น จนรู้สึกเจ็บจากการถูกเล็บจิกลงบนผิวเนื้อ จังหวะการเต้นของหัวใจถี่รัว ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงหนักหน่วง เมื่อรู้สึกว่ากลิ่นน้ำหอมเริ่มชัดเจนกระทบจมูกมากขึ้นทุกที แผ่นหลังที่นั่งพิงเก้าอี้เหยียดตรงโดยอัตโนมัติ เมื่อรับรู้ได้ว่าใครอีกคนได้เข้ามาอยู่ภายในห้องเดียวกันแล้ว
รินนาราหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอด ก่อนจะพาตัวเองผุดลุกจากเก้าอี้ โดยควบคุมให้เป็นไปอย่างช้าๆ และสุภาพนุ่มนวลที่สุด ด้วยคิดว่าตามมารยาทแล้ว ควรเป็นฝ่ายเริ่มทักทายผู้เป็นเจ้าของบ้านก่อน ร่างบางระหงนิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะตัดสินใจหันหลังกลับไปมอง ไม่ลืมปั้นแต่งรอยยิ้มไว้บนใบหน้าให้พร้อมสรรพ
รินนาราพบว่าชายหนุ่มกำลังยืนกอดอกพิงชั้นหนังสืออยู่ สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ทั้งชื่นชมและขบขันอยู่ในที เธออ่านแววตาใครไม่เก่งนัก แต่คิดว่าเขาแสดงออกมากพอที่จะอธิบายได้แบบนั้น เขายังคงหล่อเหลาไม่เปลี่ยน แต่สิ่งที่ทำให้เธอตกใจจนเกือบสะดุ้ง นั่นคือการได้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครา และร่างที่กำยำใหญ่โตจนทำให้เธอดูตัวเล็กราวกับลูกนกไปในชั่วพริบตา
“ยินดีต้อนรับค่ะ” อาชาเอ่ยขณะขยับตัวยืนเต็มความสูง มือข้างหนึ่งซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกง ในขณะที่มืออีกข้างผายมาทางรินนารา เหมือนต้องการประกอบกับคำว่า ‘ยินดีต้อนรับ’ และที่สะดุดหูก็คงเป็นการที่เขาใช้คำพูดลงท้ายว่า ‘ค่ะ’ ซึ่งเป็นไปด้วยความเคยชินเวลาที่พูดกับผู้หญิง โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่อ่อนหวานน่าทะนุถนอมอย่างคนตรงหน้า
“สะ...สวัสดีค่ะ คุณอาชา” หญิงสาวทักทายด้วยน้ำเสียงขาดห้วงโดยไม่ได้ตั้งใจ ยกมือกระพุ่มไหว้ชายหนุ่มอย่างงดงาม ดวงตาสีเข้มของเขามีแววเฉียบขาดมากเกินกว่าจะกล้าจ้องตอบ เธอจึงยิ้มแล้วก้มลงมองพื้น ได้เห็นใบหน้าของเขาแค่เพียงแวบเดียว ท่ามกลางความสว่างของโคมไฟตั้งพื้นตัวใหญ่ภายในห้อง และนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะได้เห็นความน่าเกรงขามของคนที่ได้ชื่อว่าเจ้าหนี้
“ไม่ได้พบกันนาน สบายดีไหม” คนถามเดินเข้ามาใกล้ หยุดยืนห่างออกไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“สบายดีค่ะ” เธอตอบทั้งที่ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองด้วยซ้ำ
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือเปล่า พวกห้องนอน อาหารเย็น อะไรทำนองนี้น่ะ”
“เรียบร้อยดีค่ะ”
“ทุกอย่างเลยหรือ” เหมือนเป็นคำถามหยอกเย้ามากกว่าต้องการคำตอบ
“ใช่ค่ะ เรียบร้อยดีทุกอย่าง ขอบคุณมากนะคะ” เป็นอีกครั้งที่เธอยกมือไหว้เขา
อาชากลั้นยิ้มและดึงมือนุ่มนิ่มให้เลิกทำแบบนั้นเสียที เขาไม่ต้องการพิธีรีตองอะไรมากนักสำหรับคนกันเอง หญิงสาวเผลอเงยหน้าขึ้น มองมือใหญ่ที่กุมอยู่บนมือของเธอ แล้วเลื่อนสายตาสูงขึ้นไป มุมปากหยักลึกน่าหลงใหลโค้งขึ้นข้างหนึ่งจนเกิดรอยบุ๋มตรงข้างแก้ม บ่งบอกถึงความพึงพอใจบางอย่าง แม้จะมีหนวดน่ารำคาญบังอยู่ แต่มันไม่ใช่อุปสรรคสำหรับการอ่านสีหน้าของเขา
