บทที่ 4
เขาแค่อยากจัดการเรื่องศรัณให้เสร็จเรียบร้อยก่อนก็เท่านั้น เพราะเหลืออีกแค่หกปีเธอก็พ้นจากการเป็นเด็กในอุปการะของเขาแล้ว เขาแค่อยากส่งเธอให้ถึงฝั่งตามที่ได้ให้สัญญากับพ่อและแม่ของเธอก่อนที่ท่านทั้งสองจะเสียชีวิต และที่สำคัญเขาเคยพูดกับคริสและเธอก็เข้าใจดี แต่แล้วทำไมเหตุการณ์วันนี้ถึงยังได้เกิดขึ้นมาอีก
บรรยากาศการนั่งกินของหวานดูจะไม่หวานอย่างที่ควร กระทั่งเกือบๆ สามทุ่ม เทวาก็ขอตัวกลับ โดยมีคริสเดินมาส่งชายหนุ่มที่รถ
“หนึ่งคะ คริสขอโทษนะคะ คริสไม่รู้จริงๆ ว่าวันนี้คุณพ่อจะเอาฤกษ์แต่งงานของเรามาให้” คริสกุมมือของเทวาไว้ เธอพูดเรื่องจริงเพราะไม่รู้มาก่อนว่าผู้เป็นพ่อจะทำเช่นนี้ แต่ภายใต้ความรู้สึกผิดก็แฝงความรู้สึกดีไว้ด้วย ที่เทวาไม่ปฏิเสธเรื่องฤกษ์แต่งงาน
“ไม่เป็นไรครับ เพราะช้าเร็วเราก็จะแต่งงานกันอยู่แล้ว”
“หนึ่งพูดเรื่องจริงเหรอคะ” ว่าที่เจ้าสาวยิ้มออกมาอย่างยินดี ผิดกับว่าที่เจ้าบ่าวที่ยิ้มแทบไม่ออก รู้สึกหนักอึ้งกับเรื่องนี้บอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่คริสเองก็ไม่ได้ทำผิดอะไร ที่สำคัญคือเขาเคยรักเธอมาก
ก่อนที่เทวาจะสะดุดกับสิ่งที่คิดในหัวตอนนี้ ทำไมเขาถึงใช้คำว่าเคยรักเธอมาก
ทำไมกัน?
“ครับ”
“แต่ว่าฤกษ์ที่คุณพ่อหามาให้คืออีกสองเดือน หนึ่งว่ามันไม่เร็วไปหรือคะ”
“กำลังดีครับ ว่าแต่คริสจะหาชุดแต่งงานสวยๆ ทันหรือเปล่า” คำถามของเทวาทำให้คริสยิ้มกว้างออกมา เพราะชายหนุ่มแสดงออกถึงความห่วงใยที่มีให้เธอ
“ต้องทันค่ะ ถ้าหนึ่งไม่ว่าอะไรคริสขอเป็นคนลงรายละเอียดงานแต่งงานของเราเองทั้งหมดได้ไหมคะ” นั่นเพราะหากรอให้เทวาลงมาร่วมจัดการมีหวังทุกอย่างเสร็จไม่ทันแน่ อีกอย่างคริสก็มีงานแต่งงานในฝันที่เธออยากให้เกิดขึ้นอยู่ในหัวแล้ว จึงอยากขอจัดการเองทั้งหมด เทวาแค่รับรู้และตามใจเธอทุกอย่างก็พอ
“ครับ”
“ขอบคุณนะคะหนึ่ง คริสดีใจที่สุดเลยที่เราจะแต่งงานกัน” เอ่ยจบคริสก็โผเข้าไปสวมกอดเทวาด้วยความยินดี ในที่สุดเธอก็จะได้แต่งงาน รับรองว่างานแต่งงานของเธอกับเทวาต้องเป็นงานแต่งงานที่ใหญ่โตที่สุด ธีมงานแต่งต้องอลังการสมการรอคอย ต้องเป็นงานแต่งงานในฝันของผู้หญิงทุกๆ คน
ใบหน้าของเทวาเวลานี้เรียบเฉย น่าแปลกที่เขาไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับงานแต่งงานแม้แต่น้อย กลับอยากยืดเวลาออกไปด้วยซ้ำ แต่คงทำแบบนั้นไม่ได้
เมื่อส่งเทวาเสร็จ คริสก็แทบจะวิ่งกลับเข้าบ้าน เธอตรงไปหาพ่อและแม่ ที่เวลานี้ยังคงนั่งคุยกันอยู่ที่เดิม
“คุณพ่อขา คุณพ่อทำดีที่สุดเลยค่ะ” เสียงสดใสของคริสดังขึ้นพร้อมโผสวมกอดผู้เป็นพ่ออย่างดีใจ รอยยิ้มของความสุขเกิดขึ้นบนใบหน้าอย่างไม่อาจห้ามได้
“ถ้าพ่อไม่ทำแบบนี้ หนึ่งก็ไม่แต่งงานกับลูกเสียทีนะสิ” ลิขิตลูบศีรษะของคริสซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวไปมาอย่างรักใคร่
“ฉันก็หวั่นใจกลัวหนึ่งจะปฏิเสธ” ดวงแขเอ่ยขึ้น เพราะกังวลกับแผนมัดมือชกของสามีเหลือเกิน
“หนึ่งไม่กล้าหรอก เพราะถ้ากล้าก็เหมือนไม่ทำตามคำสั่งของพ่อตัวเอง ทั้งๆ ที่พ่อของหนึ่งเป็นคนพูดทาบทามสู่ขอลูกสาวเราไว้ตั้งแต่ก่อนเสียชีวิตเสียอีก ที่สำคัญคือตอนนั้นหนึ่งก็อยู่ด้วย”
“จริงที่สุดค่ะ” คริสเอ่ยรับอย่างมีความสุขจนยิ้มตลอดเวลา ยิ่งเห็นลูกสาวมีความสุขแบบนี้ ลิขิตก็ยิ่งมั่นใจว่าเขานั้นทำทุกอย่างถูกต้องแล้ว
คริสตื่นเต้นรอจะเป็นเจ้าสาว แต่ทว่าเทวากลับไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับเธอ ชายหนุ่มดูอึดอัดแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธผู้ใหญ่ได้เช่นเดียวกัน
คืนนั้นเขานอนแทบไม่หลับ กระทั่งตื่นมาด้วยท่าทางอ่อนเพลียก็ยังคงฝืนลงมาข้างล่างเพื่อจะไปทำงาน โดยมีศรัณที่กำลังจะออกไปทำงาน คอยมองด้วยความเป็นห่วง
“อาหนึ่งไม่สบายหรือเปล่าคะ”
“เปล่า...เมื่อคืนอาแค่นอนไม่หลับนิดหน่อย”
“งั้นเดี๋ยวศรัณไปเอาซุปไก่มาให้ อาหนึ่งจะได้กินบำรุงร่างกาย”
“อืม” เทวาเอ่ยรับ ก่อนจะมองตามศรัณที่เวลานี้รีบเดินเข้าไปในครัว ไม่ถึงหนึ่งนาทีเธอก็กลับออกมาพร้อมซุปไก่ในมือ ก่อนจะยื่นให้ชายหนุ่ม ซึ่งเทวาก็ดื่มซุปไก่ที่ศรัณเอามาให้จนหมดขวด
“ขอบใจมาก”
“ค่ะ” ศรัณเอ่ยรับ เธออยากอยู่ดูแลเทวาแต่ทว่าได้เวลาต้องไปโรงเรียนแล้วนั่นเอง ก่อนจะออกไปจึงไม่วายเอ่ยทิ้งท้ายความห่วงใยไว้
“ถ้าอาหนึ่งไม่ไหวก็พักผ่อนอยู่บ้านสักวันนะคะ”
“อารู้...ไปเรียนเถอะ” เสียงทุ้มที่แฝงความเหนื่อยอ่อนของเทวาเอ่ยรับ ก่อนจะมองตามศรัณที่เวลานี้กำลังจะออกไปเรียน
ในขณะชายหนุ่มก็หวนกลับมาคิดเรื่องฤกษ์แต่งงานของเขากับคริสที่ลิขิตส่งให้เมื่อวาน ซึ่งจะมีขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้านี้แล้ว สำหรับเทวาเขาคิดว่ามันเร็วเกินไป แต่หากมองย้อนกลับไปในมุมของคริสที่เธอเป็นฝ่ายเฝ้ารอเขามาสิบกว่าปี ก็อาจจะช้าไปเสียด้วยซ้ำ ชายหนุ่มถอนหายใจหนักๆ แล้วขับรถออกไปทำงาน
ในขณะที่เขายังไม่ค่อยพร้อมทว่าฝ่ายคริสนั้นกลับพร้อมอย่างที่สุด โดยสิ่งแรกที่เธอทำคือการป่าวประกาศข่าวดีนี้ให้บรรดาเพื่อนสนิทรู้กันจนครบทุกคน เพื่อให้แต่ละคนมีเวลาได้เตรียมตัวไปงานแต่งงานของเธอ เมื่อคนหนึ่งรู้คนอื่นๆ ก็ทยอยรู้ตามไปด้วย และมันก็มาถึงหูของผลบุญ ชายหนุ่มจึงตรงดิ่งมาหาเพื่อนสนิทอย่าง เทวาทันที
“ยินดีด้วยเพื่อน” เสียงแสดงความยินดีของผลบุญดังขึ้นตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาภายในห้องทำงานของเทวา
“เรื่อง”
“เอ้า! ก็เรื่องที่นายกับคุณคริสกำลังจะแต่งงานกันนะสิ”
“นายรู้แล้วเหรอ” เทวาละสายตาจากแฟ้มงานตรงหน้าแล้วมองตรงไปยังผลบุญ ที่คบหาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนมัธยม
“ใช่...เพื่อนๆ ทุกคนรู้กันหมดแล้ว คุณคริสเธอเป็นคนบอก ว่าแต่ทำไมนายถึงหน้าเซ็งๆ หรือว่าไม่อยากแต่งงาน” ผลบุญแกล้งพูดใส่ เพราะดูเทวาเฉยชาไม่ได้แสดงออกถึงความตื่นเต้นกับการจะเป็นเจ้าบ่าวเท่าที่ควรจะเป็น
“ไม่รู้สิ”
“เจ้าบ่าวกลัวฝนหรือเปล่าวะหนึ่ง” เอ่ยจบผลบุญก็หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ภายในห้องทำงานของเทวา พร้อมสังเกตท่าทางของเพื่อนไปด้วย ว่าที่เจ้าบ่าวก็มักจะเป็นแบบนี้ พอรู้ว่าต้องแต่งงานเข้าจริงๆ ก็อดหวงความโสดไม่ได้ นั่นเพราะเขาเคยเป็นมาก่อน
“คงงั้นมั้ง”
“แต่งเถอะ นายกับคุณคริสก็คบหาดูใจกันมาตั้งสิบกว่าปีแล้วไม่ใช่เหรอเพื่อน คงถึงเวลาสร้างครอบครัวจริงๆ จังๆ เสียที”
“นายว่าอย่างนั้นเหรอ” คำถามของเทวาที่แฝงความลังเลดังขึ้น
“อย่างนั้นสิหรือว่านายไม่โอเค”
“โอเค แต่มันก็ยังมีห่วงอยู่นิดหน่อย” คำว่าห่วงที่เทวาเอ่ยออกมานั้น ดูท่าจะไม่นิดหน่อยแน่ และผลบุญก็พอจะเดาได้ว่าเรื่องอะไร
“อย่าบอกนะว่านายห่วงเรื่องเด็กในอุปการะ”
“อืม” คนถูกถามเอ่ยรับอย่างไม่ปิดปัง นั่นทำให้ผลบุญถึงกับถอนหายใจออกมาหนักๆ เพราะรู้ว่าเพื่อนทำผิดและอยากชดเชยให้ศรัณอย่างดีที่สุด และเท่าที่ผ่านมาเทวาก็ทำได้ดีมาตลอด จึงไม่น่าจะห่วงอะไรอีก
“ถามจริงนายคิดอะไรกับเด็กนั้นหรือเปล่า”
“เปล่า” แม้จะตอบว่าเปล่า แต่ลึกๆ แล้วเทวากลับตอบไม่ได้เต็มปากว่าเขานั้นไม่ได้คิดอะไรกับศรัณเลยแม้แต่น้อย เขาห่วงเธอไปเสียทุกอย่าง บางอย่างก็ห่วงมากกว่าที่ควรจะเป็น
และเทวาก็รู้ว่าสาเหตุที่เป็นแบบนั้นเพราะอะไร คิดแล้วก็ละอายใจทั้งๆ ที่อายุก็ปูนนี้ กลับหวั่นไหวและคิดไม่ซื่อต่อเด็กในการดูแลของตัวเอง
