2 เก็บกระเป๋าเดินทางไกล (1)
สไตล์การแต่งตัวก็คุ้น...
อ๊ะ หน้าก็คุ้นอีก
“ยายแป๋ม” ร้องออกมาเท่านั้นล่ะค่ะ สาวสวยที่ถูกฉันเรียกว่ายายค้อนขวับหันมาทันที
“อ้าว ยัยอิงค์”
ดวงตาตกแต่งแบบโฉบเฉี่ยวที่พร้อมเดินหน้าเอาเรื่องอ่อนโยนลง ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีกุหลาบยกขึ้นจนเห็นไรฟัน
“ใช่จริงด้วย” ฉันรีบโผเข้ากอดยายรหัสสุดที่รักด้วยความคิดถึงทันทีเลยค่ะ ซึ่งยายรหัสเองก็ดีใจไม่แพ้กัน เพราะจากกำลังแขนที่รัดร่างฉันแล้ว เล่นเอาฉันหายใจแทบไม่ออกเชียว
“แหม ไม่เจอกันตั้งนาน สวยขึ้นเป็นกองเลยนะยะ” ยายรหัสคนสวยคลายอ้อมกอดออก พลางมองสำรวจฉันตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนมอบรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ให้อีกครั้ง
“แน่นอนอยู่แล้ว” ฉันสะบัดผมล้อเลียนท่าหากินประจำตัวของพี่แป๋ม “คุณยายเองก็ยังเซ็กซี่ไม่เปลี่ยนเลยนะคะ”
พี่แป๋มสยายผมซึ่งดัดเป็นลอนราวกับผมตุ๊กตาไปด้านหลังพร้อมฉีกยิ้มให้อีกครั้ง ทว่ารอยยิ้มครั้งนี้แตกต่างจากรอยยิ้มเมื่อครู่ลิบลับเลยค่ะ
“คำก็ยาย สองคำก็ยาย เดี๋ยวเถอะ”
“เดี๋ยวอะไรคะยาย?” ฉันถามหน้าทะเล้น
“ฉันจะจับเธอหมกชักโครกน่ะสิ” พี่แป๋มแยกเขี้ยวใส่
“คนสวยใจดี ไม่ทำอย่างนั้นหรอก อิงค์รู้” ฉันแกล้งเย้า รู้ค่ะว่าจุดอ่อนของพี่แป๋มคือลูกยอ ซึ่งมันก็ได้ผล พี่แป๋มหันมาค้อนขวับ แล้วกอดคอฉันลากตัวออกจากห้องน้ำดื้อ ๆ
ร้านอาหารที่พี่แป๋มใช้เป็นสถานที่นัดพบนั้นบรรยากาศดีมาก ไอเดียในการตกแต่งนับว่าใช้ได้ทีเดียว โคมไฟจากแก้วพลาสติกหลากสีห้อยระย้า ผนังบุด้วยไม้เฌอร่าสีเหลืองอ่อน แขวนรูปถ่ายขาวดำเอาไว้ มุมหนึ่งของร้านเป็นเคาน์เตอร์กาแฟ มีอุปกรณ์การชงกาแฟและตู้ไอศกรีมตั้งอยู่
“โต๊ะไหนดีพี่แป๋ม? เต็มหมดเลย” ฉันกวาดสายตาไปรอบ ๆ บริเวณร้านขณะถาม
“จองไว้แล้ว ห้องข้างบนนู่น” พี่แป๋มบอกสั้น ๆ ก่อนหันไปคุยกับพนักงานหน้าเคาน์เตอร์สองสามคำ แล้วก้าวฉับ ๆ นำทางไปยังห้องชั้นสองที่จองเอาไว้
“ห้องนี่ล่ะ เข้าไปสิ” พี่แป๋มพยักหน้าส่งสัญญาณให้ฉันเปิดประตู
ก้าวเข้าไปในห้องอาหาร ฉันต้องตาโตอีกครั้งเมื่อได้เห็นสาวสวยอีกคนนั่งไขว่ห้างรออยู่ก่อนหน้า ทั้งนี้เป็นเพราะพี่แป๋มไม่ได้นัดฉันไว้คนเดียว แต่ยังนัดพี่ปิ่นแก้ว บก.คนสวยอีกคน
“ไงจ๊ะน้องอิงค์?” พี่ปิ่นแก้วกระดิกนิ้วทักทาย
ฉันยิ้มหวานพร้อมยกมือไหว้พี่ปิ่นแก้วก่อนทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้แสนนุ่ม จากนั้นพี่แป๋มจึงหย่อนก้นที่เก้าอี้อีกตัวตามมา
“ลากยัยอิงค์ออกมาด้วย กลัวจะเฉาตายคาบ้าน” พี่แป๋มจีบปากจีบคอพูดกับพี่ปิ่นแก้ว
จากนั้นเรื่องสัพเพเหระก็พรั่งพรูบนโต๊ะอาหาร ทั้งนี้เป็นเพราะฉันไม่ได้พบพี่แป๋มเกือบสองปีเต็ม อีกทั้งคนที่มานั่งล้อมวงกินข้าวก็กันเองทั้งนั้น พวกเราจึงคุยกันอย่างออกอรรถรส ถามถึงสารทุกข์สุขดิบของแต่ละคน คุยไปกินไปได้พักใหญ่ จนไม่มีเรื่องให้คุยนั่นล่ะ พี่สาวทั้งสองจึงหันมาเข้าเรื่องฉัน (จนได้)
“ยัยปิ่น ฉันไม่แปลกใจเลยนะที่หล่อนจะอัพเกรดตัวเองจนเป็นบรรณาธิการ แต่ยัยอิงค์นี่สิ จับพลัดจับผลูเป็นนักเขียนได้ไง เรียนจบด้านนี้มาก็ว่าไปอย่าง หน้าตาก็ไม่เห็นจะให้เลย”
“อ้าวยาย พูดอย่างนี้มีเคลียร์สิคะ สวยตั้งแต่หัวจรดเท้าแบบนี้ ถ้าไม่เหมาะกับอาชีพนักเขียนแล้วจะเหมาะกับอาชีพอะไร?” ฉันหรี่ตามองพี่แป๋มประมาณมีเคือง ทว่าพี่สาวคนสวยกลับยกมุมปากขึ้น ซึ่งเวลาพี่แป๋มยิ้มแบบนี้เซ็กซี่ชะมัด
“เด็กส่งหนังสือพิมพ์ไงยัยอิงค์ เหมาะกับเด็กกะโปโลอย่างเธอมากที่สุด”
ไม่บอกอย่างเดียว พี่แป๋มยังตบไหล่บางของฉันด้วย ซึ่งถ้อยคำของพี่แป๋ม ทำให้พี่ปิ่นแก้วปล่อยก๊ากออกมา โดยไม่รักษามาดบก.เหมือนเวลาที่อยู่สำนักพิมพ์แม้แต่น้อย
“นี่ยัยแป๋ม ไหน ๆ ก็เลี้ยวเข้าเรื่องนี้แล้ว แกช่วยสงเคราะห์เด็กในสังกัดฉันหน่อยสิยะ บ้านพักตากอากาศชายเลนที่คลองด่านของแกว่างอยู่รึเปล่า? ยืมให้น้องอิงค์ไปบิ้วอารมณ์เขียนนิยายหน่อยสิ”
ฉันซึ่งตกเป็นหัวข้อสนทนาทำตาปริบ ๆ
“นิยายแนวอะไรยะยัยอิงค์ ถึงต้องเก็บตัวหาที่บิ้วอารมณ์” พี่แป๋มละสายตาจากเมนูเพลง สบตาฉันแวบหนึ่ง หากยังไม่ทันขยับปากตอบ พี่ปิ่นแก้วก็ชิงตัดหน้าเสียก่อน
“นิยายรักอีโรติก” พี่ปิ่นแก้วป้องปากตอบ
“ไหนแกลองพูดช้า ๆ ชัด ๆ ให้ฉันฟังอีกทีสิ” พี่แป๋มเอานิ้วก้อยแคะหู พร้อมตั้งใจฟัง
“ได้ยินไม่ผิดหรอก นิยายรักอีโรติก” พี่ปิ่นแก้วบอกซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเนิบ ๆ
“นิยายรักอีโรติก!”
พี่แป๋มอุทานตาโตราวกับได้ยินเรื่องประหลาด จากนั้นยายรหัสคนสวยจึงปล่อยเสียงหัวเราะออกมาลั่นห้อง ซึ่งดังกว่าเสียงหัวเราะของพี่ปิ่นแก้วเมื่อครู่อีก ซ้ำยังเอาเมนูเพลงฟาดกับโต๊ะอาหารราวเป็นเรื่องตลกขบขัน
“ฮาจี้ว่ะ วู้” พี่แป๋มใช้นิ้วกรีดคราบน้ำตาออกจากหางตา แล้วจิกสายตามาที่ฉันอยู่เสี้ยววินาที แล้วตวัดกลับไปหาพี่ปิ่นแก้ว
“โอ๊ย! ใครคิดโปรเจกต์นี้วะยัยปิ่น”
“บอสใหญ่สิยะ มีคำสั่งในที่ประชุมลงมา หากนักเขียนคนไหนมีแววพอดันได้ ก็ให้ดึงตัวมาเอาดีทางนี้ซะ เป็นภารกิจแบบเฉพาะเลยนะยัยแป๋ม”
คำอธิบายเพิ่มเติมของพี่ปิ่นนี่ล่ะ ทำให้ฉันรู้สาเหตุที่ไปที่มาของโปรเจกต์สุดหินมากขึ้น
ตอนแรกสงสัยเหมือนกัน ว่าเหตุใดพี่ปิ่นถึงอยากให้ฉันเขียนนิยายแนวนี้นัก ก็นึกว่ายอดขายตกฮวบ เลยหามาตรการกำจัดจุดอ่อน ที่แท้เป็นกลยุทธ์การตลาดนี้เอง
เฮ้อ... ค่อยโล่งอกหายใจได้โล่งจมูกหน่อย
“แกก็เลยเป็นเจ๊ดันให้ยัยอิงค์งั้นสิ”
“อื้อ” พี่ปิ่นแก้วพยักหน้ารับแบบนิ่ง ๆ แต่พี่แป๋มสิ ระบายเสียงหัวเราะคิกคักออกมาอีกชุด
