1 ดอกไม้นักเขียน (4)
“กรี๊ดดด”
ตุบ!
“โอ๊ย! เจ้างูบ้า” ฉันบริภาษ ลืมตาขึ้นท่ามกลางแสงสลัวของห้องนอนในอาการงัวเงีย
บรรยากาศในสวนสวยมากด้วยต้นแอปเปิลมีผลหลากสีหายไป ไม่มีปราสาททรายขนาดมหึมาซึ่งระยิบระยับด้วยเกล็ดทรายสีทอง ตีลังกากลับหัวล่องลอยในเวหา...
เตียงใบไม้แสนนุ่มมีเหล่าภูติตัวน้อยร้องเพลงให้ฟังข้างหู กลับกลายเป็นพื้นกระดานแข็ง ๆ และเจ้างูบ้าสีเงินมีเกล็ดระยิบระยับที่บังอาจเลื้อยมาพันลำคอฉันนั้น กลับกลายเป็นผ้าขนหนูสีชมพูที่ฉันชอบนอนกอดซะนี่
“เป็นตุเป็นตะเลย…ยัยอิงค์”
ฉันลูบต้นคอแล้วสลัดความมึนงงออกจากหัว สะดุ้งอีกครั้งเมื่อเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นนี่ล่ะ พอจัดการตบหัวนาฬิกาให้เงียบแล้ว ฉันจึงคว้าสมุดบันทึกในลิ้นชักออกมาจัดการจดบันทึกความฝันแบบย่อ ๆ ลงไป
จะบอกอะไรให้นะคะ นี่เป็นเทคนิคหนึ่งในการเขียนของฉันเอง เคยได้ยินไหมที่ว่า... ‘โลกความฝันกับโลกแห่งนิยายเป็นของคู่กัน’ หากไม่เคยได้ยินก็คงไม่แปลก เพราะนิยามนี้ฉันสร้างมันขึ้นมาเองค่ะ
พอเหลือบไปเห็นนาฬิกา ฉันจึงลุกขึ้นจัดการอาบน้ำเป็นการด่วน เพราะเวลาตอนนี้เกือบเคารพธงชาติแล้ว...
ฉันสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอชุ่มฉ่ำหลังฝนตกเพียงก้าวแรกที่ออกจากบ้าน อากาศค่อนข้างชื้น ทว่าไม่มีแสงแดดอบอุ่นเหมือนเมื่อเช้า พอพ้นจากรั้วอันมีต้นอัญชันเลื้อยพัน ฉันก็เจอเม็ดฝนซึ่งค้างอยู่บนใบไม้ตกใส่
ฮือ... อุตส่าห์ตั้งใจสวย ยังไม่ทันจะออกไปไหนเลยก็เปียกเสียแล้ว เอาเถอะ หากเข้าไปเปลี่ยนเสื้อคงไม่ทันนัดพี่แป๋มแน่ ฉันจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตามเสื้อแล้วเดินออกมารอรถ
ขณะนั้นเองเสียงกริ่งรถจักรยานจึงดังขึ้นไล่หลัง พอหันไปจึงพบรอยยิ้มสดใสของเด็กสาววัยสิบสามซึ่งอยู่ในฐานะเพื่อนบ้านของฉัน
“อุ้ย ไรท์เตอร์คนสวยไปไหนคะ?”
ฟังคำถามแล้วระรื่นหูที่สุด ฉันยิ้มน้อย ๆ ให้กับเด็กมนต์ซึ่งใช้เท้ายันพื้นเอาไว้เพื่อพยุงจักรยานสีชมพู
“ไปทำธุระค่ะ แล้วน้องมนต์ไปไหนมาคะ?”
ที่ถาม ใช่ว่าฉันอยากรู้อยากเห็นเรื่องของชาวบ้านนะคะ แต่ถามเพื่อเป็นมารยาทเหมือนที่เด็กมนต์ทำต่างหาก
“น้องมนต์ไปซื้อยาสีฟันให้พี่พลค่ะ ว่าแต่พี่อิงค์แต่งตัวสวยแบบนี้ออกเดทกับหนุ่มที่ไหนเอ่ย?”
ฉันยิ้มเฝื่อนกับคำถามแก่แดดแก่ลมของเด็กมนต์ ยังไม่ทันเอ่ยอะไร คิ้วของเด็กมนต์ก็ขมวดเข้าหากันแล้วมองฉันตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอีกครั้ง
“ต้องใช่แน่ ๆ เลย ว้า...อย่างนี้พี่พลของมนต์คงอกหักสิคะ”
คราวนี้ฉันได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ กับการเดาส่งเดชของเด็กมนต์ด้วยพูดอะไรไม่ออก โชคดีที่ว่าตัวช่วยสำคัญแล่นมาพอดี
“รถเมล์มาแล้ว พี่อิงค์ไปก่อนนะน้องมนต์”
ฉันโบกมือให้เด็กสาวช่างเจรจาก่อนจะก้าวฉับ ๆ แบบสาวมั่นขึ้นรถเมล์ โดยไม่สนใจสายตาอยากรู้อยากเห็นของเด็กมนต์นั่นอีก
พอทิ้งตัวนั่งฉันถึงกับผ่อนลมหายใจออกมายาวอย่างโล่ง อกเมื่อหลุดพ้นจากแม่สื่อตัวน้อยมาได้ ใช่ว่าจะรังเกียจเด็กนะคะ ถึงไม่ใช่นางงามฉันก็รักเด็กค่ะ เพียงแต่เด็กแก่แดดแก่ลมรายนี้ ฉันไม่ปลื้มเท่านั้น...
##### 2
เก็บกระเป๋าเดินทางไกล
ละอองฝนจากฟ้ามืดคล้ำโปรยปรายลงมาเล็กน้อยเมื่อเดินมาถึงสถานที่นัดหมาย เสื้อเชิ้ตผูกต้นแขนสีเขียวครามน้ำทะเลยังอยู่สภาพเดิม กางเกงทรงกระโปงสีขาวสั้นพอดีหัวเข่ายังปกติดี ทว่าตามเรียวน่อง และรองเท้าส้นสูงนี่สิ มีโคลนดีดกระเด็นเป็นจุดเล็ก ๆ ราวกับถูกศิลปินสลัดสีใส่
พอเข้ามาในร้านอาหารได้ ฉันจึงเลี้ยวเข้าห้องน้ำตามป้ายบอกทางเพื่อจัดการงานศิลปะบนเรียวน่องทันที
“ถึงร้านแล้วย่ะ หล่อนนั่นล่ะอยู่ไหน เออ รออยู่ เร็ว ๆ นะ หิวแสบไส้แล้ว”
น้ำเสียงคุ้นหูของใครบางคนดังขึ้นขณะที่ฉันกำลังล้างมือเอาสิ่งสกปรกออก
“มาสิ นัดยัยอิงค์ไว้แล้ว”
เพราะชื่อที่สาวสวยข้าง ๆ เรียกชื่อของฉันออกมานี่ล่ะ ฉันจึงเงยหน้ามองกระจกเงาบานโต แล้วค่อย ๆ เลื่อนสายตาไปยังสาวสวยซึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ แค่อ่างล้างมือสองใบกั้นกลางไม่ได้
โอ๊ะโอ น้ำเสียงก็คุ้น...
