บทที่ 5
“ห้องนอนใหญ่ฉันจอง ห้องน้ำฉันจอง โซฟาชั้นล่างฉันจอง ครัวก็จอง สนามหญ้าก็จอง” ฤกษ์นาวีย์จองของใช้ในบ้านแทบทุกชิ้น ลามไปจนถึงสนามว่าเป็นของเธอเรียบร้อย
“ห้องนอนใหญ่เชิญเธอเอาไป แต่ทุกอย่างนอกนั้นหารสอง เข้าใจไหม” วิรุฬห์ยอมให้เธอเพียงข้อแรกเท่านั้น ชายหนุ่มลอยหน้าลอยตาเข้าห้องนอนเล็ก ก่อนจะปิดประตูใส่หน้าฤกษ์นาวีย์ดังปัง หญิงสาวยืนกำหมัดแน่น ควันออกหูเป็นหวูดรถไฟไปแล้ว
“ฉันจะทำให้นายเป็นคนออกจากบ้านหลังนี้ไปให้ได้ นายโมเม ขี้ตู่” เสียงแหลมๆ ตะโกนอยู่หน้าห้อง วิรุฬห์ส่ายหน้าให้อย่างไม่คิดสนใจ เขาเองก็คิดเช่นเดียวกับเธอนั่นแหละ พูดจบฤกษ์นาวีย์ก็สะบัดหน้ากลับเข้าห้องตัวเองไป สุดท้ายเธอก็ต้องมาอยู่ร่วมชายคากับผู้ชายบ้าๆ จนได้ ถ้าย้ายออกเธอก็เหมือนคนแพ้น่ะสิ เรื่องอะไรจะทำแบบนั้น
จะว่าไปภายในบ้านก็สะอาดดี จะไม่ให้เป็นแบบนั้นได้ยังไง ก็เพราะภาสันต์ให้คนมาทำความสะอาด เมื่อรู้ว่าฤกษ์นาวีย์จะย้ายเข้ามาอยู่ ข้าวของที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตก็มีครบ แทบไม่ต้องซื้อหามาเพิ่ม หญิงสาวเปิดหน้าต่างรอบๆ ห้อง ลมเย็นๆ ก็พัดเข้ามา ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง ความหวาดกลัวที่ถูกลอบยิงยังมีอยู่ แต่เพราะความเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางและเรื่องวุ่นๆ มาครึ่งวันทำให้เธอเผลอหลับไป
วิรุฬห์เก็บตัวอยู่อีกห้อง สมองกำลังนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ แล้วหยิบโทรศัพท์โทรออกไปหาลูกน้องคนสนิท
“มันเริ่มแล้ว” ประโยคที่ได้ถ่ายทอดให้อีกคนฟังนั้น โทนเสียงช่างดูนิ่งๆ ราวกับไม่มีอะไร แต่ภายใต้ความนิ่งนั้นกลับมีบางอย่างซ่อนอยู่
“คุณโมต้องระวังตัวให้มากนะครับ” คนฟังที่รู้เรื่องราวเป็นอย่างดีลอบถอนหายใจออกมา เพราะไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะลงมือเร็วขนาดนี้ โชคยังดีที่วิรุฬห์ไม่ได้รับบาดเจ็บ
“ฉันรู้ ระหว่างนี้คอยจับตามองเป้าหมายไว้ มีอะไรคอยรายงานฉันได้ตลอดเวลา”
“ครับคุณโม คุณโมเองก็ต้องระวังตัวให้มากด้วย เพราะเอาตัวเองเป็นเป้าตรงๆ” วีระเอ่ยรับก่อนจะบอกให้เจ้านายระวังตัวอย่างเช่นทุกครั้ง วิรุฬห์ตอบรับเพียงสั้นๆ ว่า ‘อืม’
เมื่อวางสายไปชายหนุ่มก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนอนขนาดสามฟุตครึ่ง ยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก เหตุผลที่เขาขอพักร้อนก็เพื่อล่อเสือออกจากถ้ำ เสือที่คิดคด คิดแต่จะหาผลประโยชน์จากคนอื่น ฉ้อโกงหน้าด้านๆ เหตุผลที่เขาตัดสินใจแบบนี้ก็เพราะไม่อยากให้ผู้เป็นแม่ต้องมารับรู้ไปด้วย วันนี้คนพวกนั้นดูเหมือนจะโผล่หางออกมา คิดว่าตัวเองแน่ที่ส่งมือปืนมาข่มขู่เขา แต่นั่นกลับเป็นเบาะแสขนาดใหญ่ให้สาวถึงตัวได้ง่ายขึ้น
“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าแกเป็นใคร” มือหนากำเข้าหากันแน่น วงการธุรกิจมีทั้งผลดีและผลเสีย ผลดีคือความร่ำรวย และผลเสียคือความร่ำรวยของเราอาจไปขัดแข้งขัดขา ขัดผลประโยชน์ของใครบางคนเข้า ถึงขั้นคิดจะเก็บให้พ้นทาง
วิรุฬห์เคยใจเย็นในเรื่องนี้ กระทั่งอีกฝ่ายคุกคามชีวิตเขามากเกินจะทนได้ไหว รวมถึงทำให้ธุรกิจเขาเสียหายเกินจะนั่งเฉยอีกต่อไป จึงตัดสินใจถอนรากถอนโคนเสียที เขาจงใจเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อ และเพียงวันแรกคนพวกนั้นก็เผยธาตุแท้ของความเลวออกมาให้เห็น นั่นคือเหตุผลที่วิรุฬห์ไม่ต้องการให้ฤกษ์นาวีย์อยู่ที่นี่ แต่หญิงสาวก็ดื้อดึงจะอยู่ให้ได้ แบบนี้ชายหนุ่มจึงมีภาระเพิ่มมาแบบจำยอม จึงสั่งให้ วีระส่งลูกน้องมาคอยสอดส่องแถวๆ บ้าน จะได้ดูแลเรื่องความปลอดภัยของเธอไปในตัวด้วย
ภายในบ้านหลังใหญ่ มูลค่าเกือบร้อยล้านบาทของครอบครัวสถิตโชติกุล ตอนนี้กำลังวุ่นวายเมื่อทุกคนหาตัววิรุฬห์ไม่พบ พรพรรณเดินไปเดินมาอยู่ในบ้าน กำลังคิดว่าลูกชายเธอหายไปไหน ข่าวที่ได้รับแจ้งจากบริษัทบอกว่าวิรุฬห์นั้นยื่นเอกสารลาพักร้อนให้กับผู้จัดการฝ่ายบุคคลเมื่อวาน วันนี้ก็หายตัวไป โทรศัพท์ไปหาเท่าไหร่ก็ติดต่อไม่ได้ อีกฝ่ายจะรู้ไหมว่าเธอห่วง
รถคันโปรดก็ไม่ได้เอาไปใช้ แต่กลับใช้รถกระบะสี่ประตูของผู้เป็นพ่อแทน คันนั้นมันเก่า สามวันดี สี่วันซ่อม ไม่รู้จะเอาไปใช้ทำไม ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด พรพรรณให้พ่อบ้านโทรไปยังบ้านทุกหลัง เพื่อตามตัววิรุฬห์กลับมาให้ได้ แต่กลับไม่มีใครพบตัวชายหนุ่มเลยสักคน
“ตาโมหายไปไหนของเขากันนะ” คุณผู้หญิงของบ้านสถิตโชติกุลเอ่ยกับตัวเองอย่างกังวล เธอห่วงลูกชายมาก เพราะมีกันแค่สองคนแม่ลูกเท่านั้น ตั้งแต่เสียพ่อ เสียคนรักไป ลูกชายเธอนั้นวันๆ เอาแต่ทำแต่งานจนแทบไม่มีเวลาให้ตัวเอง
จากที่ร่าเริง ยิ้มง่าย ก็กลายเป็นคนยิ้มยาก มุ่งแต่ทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง จนกลายเป็นคนเงียบขรึมลง อยู่บ้านเดียวกันเหมือนไม่อยู่ นานๆ ถึงจะได้เห็นหน้า
“ใจเย็นๆ นะครับ” จุมพล พ่อบ้านถึงขั้นพูดไม่ออกทันที เขาไม่รู้หรอกว่างานที่วิรุฬห์ทำนั้นหนักหนาแค่ไหน เพราะหน้าที่ของเขาคือเป็นพ่อบ้านของที่นี่ แต่แค่ได้เห็นว่าชายหนุ่มทุ่มเทให้กับมัน หอบงานแฟ้มใหญ่กลับมาทำต่อที่บ้านทุกคืน ตีสองตีสามไฟในห้องทำงานถึงปิดลง เช้าก็ออกไป เป็นแบบนี้มาตลอดหลายสิบปีในฐานะทายาทที่ขึ้นมาสานงานต่อจากบิดา มันก็น่าจะมากพอแล้วที่ทำให้เขารับรู้ว่าชายหนุ่มนั้นทำงานหนักเพียงใด คงล้าถึงที่สุดแล้ว จึงต้องพัก
“เอาเถอะๆ ถึงขั้นนี้แล้ว เราก็คงต้องรอให้ตาโมติดต่อกลับมาเองแล้วกัน” พรพรรณโบกไม้โบกมือให้พ่อบ้านออกไปได้แล้ว เมื่ออยู่คนเดียวก็นั่งหน้าเครียด ปากบอกว่าไม่ห่วงแต่ในใจนั้นห่วงบุตรชายคนนี้มากกว่าใคร รู้ว่าวิรุฬห์เหนื่อยกับงานมากนักจึงไม่อยากทำตัวให้เป็นภาระของลูกไปมากกว่าที่เป็นอยู่ สุดท้ายเธอก็คงต้องรอวันที่ลูกชายพร้อมและกลับมาเองสินะ
“โมนะโม มีอะไรก็บอก ก็คุยกับแม่สิลูก”
