บทที่ 6
ฤกษ์นาวีย์ตื่นในตอนเย็น หลังจากนอนได้เต็มอิ่มแบบกึ่งสลบเพราะความอ่อนเพลีย จึงไม่รู้สึกแปลกที่นัก ตอนนี้เธอรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก หญิงสาวค่อยๆ เปิดประตู แง้มมันออกทีละนิด ทีละนิดเพื่อมองหาเพื่อนร่วมบ้านที่แสนจะชังขี้หน้า รวมถึงมองหาใครที่อาจจะยิงปืนใส่เธออย่างเช่นวันแรกที่มาถึง เมื่อทางสะดวกก็ก้าวออกไปจากห้องแล้วค่อยๆ ย่องลงบันไดอย่างเงียบกริบ หันซ้ายหันขวามองหาวิรุฬห์ พอไม่เห็นก็ยิ้มออก เธอใช้จังหวะนั้นเดินสำรวจบ้าน ก่อนจะมุดเข้าไปค้นหาอะไรบางอย่างในห้องเก็บของ
เสียงกุกๆ กักๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้วิรุฬห์ที่กลับเข้าบ้านหลังจากปล่อยอารมณ์ให้ดีขึ้นจากการถ่ายภาพ ต้องเดินเข้าไปมองว่าเสียงนี่คือเสียงอะไร ชายหนุ่มยืนกอดอกมองยายตัวป่วนที่ก้มๆ เงยๆ มุดเข้ามุดออกอยู่ในห้องใต้บันได เขาจะเดินไปจากตรงนี้เลยก็ได้ แต่กลับไม่ทำ ฤกษ์นาวีย์ยิ้มเมื่อเธอหาของที่ต้องการได้แล้ว
“ทำอะไร” เสียงทักห้วนๆ ของวิรุฬห์ ทำให้หญิงสาวสะดุ้งสุดตัว จนศีรษะไปกระแทกกับเพดานห้องเก็บของ เพราะมันก็ไม่ได้สูงมากมายนักหรอก
“โอ๊ย! เจ็บ” ฤกษ์นาวีย์เกาศีรษะบรรเทาอาการเจ็บ ก่อนจะค่อยๆ คลานออกมาจากห้องเก็บของ ตอนนี้หัวเธอโนไปแล้วเป็นแน่ พอเห็นคนที่ทำให้เธอเจ็บตัวหญิงสาวก็ถลึงตาใส่
“เก็บของอยู่น่ะสิถามได้ อ้อ…ทำไมนายถึงไม่ให้ฉันพูด ว่าวันนี้มีคนมายิงนาย”
“ไม่อยากให้สองนั้นเป็นห่วง อีกอย่างพวกนั้นยิงผิดคน คนอย่างฉันน่ะเหรอจะไปทำอะไรใครเขา” พูดจบก็ก้มมองตัวเอง ฤกษ์นาวีย์พลอยมองชายหนุ่มไปด้วยอีกคน ผู้ชายธรรมดาๆ คนนี้มองดูก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเลย
“ยิงผิดคนก็ดีน่ะสิ อยู่ใกล้นายนี่น่ากลัวชะมัด”
“แล้วจะอยู่ทำไม ไม่ย้ายออกไปล่ะ”
“ก็ฉัน…ฉันจะอยู่ที่นี่แหละ อย่างน้อยๆ นายก็จะได้ไม่อยู่คนเดียว” ฤกษ์นาวีย์ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเธอต้องยืนกรานจะอยู่ที่บ้านหลังนี้พร้อมกับผู้ชายอันตรายๆ อย่างวิรุฬห์ด้วย วันดีคืนดีมีคนบุกมายิงชายหนุ่มอีกจะทำยังไง แต่ยิ่งคิดก็หาคำตอบไม่ได้ อยู่สองคนอย่างน้อยๆ ก็ยังดีกว่าอยู่คนเดียว มั้ง!!
คำพูดของฤกษ์นาวีย์ทำให้คนฟังอึ้ง เขากับเธอพึ่งพบกันครั้งแรก ถูกลอบยิงมาด้วยกัน ทะเลาะกันเรื่องบ้านว่าใครจะอยู่ใครจะไปแทบเป็นแทบตาย แต่สุดท้ายฤกษ์นาวีย์กลับบอกว่าจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเขา เป็นไปได้ยังไง ผู้หญิงแบบนี้ก็มีด้วย คิดไม่เท่าไหร่วิรุฬห์ก็สะอึกออกมาอีก
“สะอึก! นายสะอึกอีกแล้วนะ”
“อื้อ” พูดแค่นั้นวิรุฬห์ก็เดินแยกตัวออกไป ฤกษ์นาวีย์งงเพราะเกิดมาพึ่งเคยเจอคนที่สะอึกบ่อยๆ แบบนี้ก็ครั้งแรก ไม่รู้เพราะอะไร ออกซิเจนในเลือดไม่พอก็เป็นได้ แต่ขณะที่คิดเรื่องนี้อยู่ เสียงท้องร้องก็ดังต่อเนื่องบ่งบอกความหิว
ฤกษ์นาวีย์เดินไปเปิดตู้เย็นที่มีแต่ความว่างเปล่า ทั้งตู้กับข้าว ตู้เก็บของ มาม่ายังไม่มีสักซอง หญิงสาวยกมือเท้าสะเอว ก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นบนหยิบโทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์ออกมาถือไว้เพราะจะออกไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า คนหิวออกมายืนรอวินมอเตอร์ไซค์หรือรถแท็กซี่ที่หน้าบ้าน ไม่นานก็มีรถแท็กซี่คันหนึ่งผ่านมา
ระหว่างทางก็นั่งมองรอบๆ ข้าง พร้อมกับจดจำเส้นทางไปด้วย เนื่องจากที่เธอไม่ได้อยู่เมืองไทยมาหลายปี ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปมากเหมือนกัน อยู่ๆ ก็คิดถึงพ่อกับแม่ขึ้นมา
“พ่อจ๋า แม่จ๋า อย่าโกรธหนูเลยนะคะ” ฤกษ์นาวีย์เอ่ยเสียงอ่อยๆ กับตัวเอง ตอนนี้เธอโตพอจะช่วยเหลือและเอาตัวรอดได้แล้ว ที่สำคัญเธอไม่ได้ไปอยู่ที่ไหนที่น่ากลัวเลยสักนิด การกลับมาเมืองไทยทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น เพราะนี่คือบ้านที่เธอแสนคิดถึง
ไม่นานรถแท็กซี่คันสีชมพูที่ฤกษ์นาวีย์นั่งอยู่ก็แล่นเข้ามาจอดยังห้างสรรพสินค้าชื่อดัง หญิงสาวจ่ายค่าบริการ ก่อนจะเปิดประตูลงไป เดินหารถเข็น เมื่อพบก็เริ่มการช้อปปิงเลือกของกินของใช้ทันที แต่ขณะที่กำลังเข็นรถเข็นซื้อของด้วยความเพลิดเพลิน รถเข็นก็ชนเข้ากับคันข้างหน้าอย่างจัง
“ขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ” เสียงทุ้มๆ ของชายเจ้าของรถเข็นคันที่ฤกษ์นาวีย์เข็นรถตัวเองไปชนเอ่ยขึ้น ทั้งคู่จะมองหน้ากันและกัน ต่างฝ่ายก็ต่างคิดว่าพวกเขานั้นรู้สึกคุ้นๆ หน้ากันมาก ก่อนที่ชายคนดังกล่าวจะเอ่ยขึ้น
“เฟรม! คุณใช่เฟรม ฤกษ์นาวีย์ หรือเปล่าครับ”
“ใช่…แล้วนี่ปัณฑ์หรือเปล่า”
“ครับ”
“ปัณฑ์จริงๆ ด้วย ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สบายดีไหม”
“สบายดี แล้วนี่เฟรมกลับมาเมืองไทยตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นบอกกันบ้างเลย จะได้ไปรับที่สนามบิน” คำเอ่ยทักทายฟังดูเป็นกันเองมากขึ้น ต่างคนก็ต่างส่งยิ้มให้กันและกัน ฤกษ์นาวีย์ตั้งใจจะติดต่อหาปัณฑ์อยู่แล้ว ตั้งแต่กลับมาก็มีแต่เรื่องยุ่งๆ ทำให้ลืมไปเลย
“พึ่งกลับมาเอง ว่าแต่เราก็ไม่ได้เจอกันนานมากเนอะ บังเอิญจังที่ได้มาเจอกันวันนี้ ตอนนี้”
“ใช่ นานมาก เป็นสิบปีได้แล้วมั้ง ปัณฑ์หล่อขึ้นจนเฟรมจำไม่ได้เลยใช่ไหมล่ะ” ปัณฑ์ ชายหนุ่มหน้าตาตี๋หล่อ สูงกว่าฤกษ์นาวีย์อยู่หลายสิบเซนติเมตร พูดอวยตัวเอง เขาอายุมากกว่าหญิงสาวสองปี เมื่อก่อนบ้านพวกเขาอยู่ติดกัน จนกระทั่งครอบครัวของเธอตัดสินใจย้ายไปอยู่ต่างประเทศ พวกเขาสองคนก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย
ไม่คิดว่าวันนี้จะได้กลับมาเจอกันแบบบังเอิญ ชายหนุ่มยืนยิ้ม เพราะนานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นหน้าสวยๆ ของฤกษ์นาวีย์ ส่วนใหญ่จะเห็นแค่ในรูปเท่านั้นเอง หัวใจเขาเต้นไม่เป็นส่ำ ผ่านมากี่ปี หญิงสาวก็ยังสวยและน่ารักไม่เปลี่ยน ตอนเด็กน่ารักแค่ไหน พอโตความน่ารัก ความสวยดูจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่า
คุยไปคุยมาจึงรู้ว่าตอนนี้บ้านของทั้งคู่อยู่ใกล้กัน ปัณฑ์ถามถึงพ่อแม่ของฤกษ์นาวีย์ว่าทั้งสองมาด้วยไหม คำตอบที่ได้คือไม่ เธอเดินทางมาเมืองไทยแค่คนเดียว เมื่อซื้อของเสร็จชายหนุ่มจึงชวนเธอไปหาอะไรอร่อยๆ ทาน เพื่อพูดคุยเรื่องราวที่ผ่านมา แม้จะคุยกันบ่อยผ่านระบบโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คของยุคปัจจุบันที่ทันสมัย อยู่มุมไหนของโลกก็สื่อสารกันได้ แต่นั่นมันไม่ดีเท่ากับการได้นั่งคุยแบบนี้ ได้เห็นหน้าและได้ยินเสียง ความคิดถึงที่สะสมมานานหลายปีของเขาที่มีต่อหญิงสาวตอนนี้ค่อยๆ บรรเทาลงไปได้บ้าง
