บทที่ 4
“คุณชื่ออะไร บอกมา กล้าดียังไงมาแอบอ้างว่าเป็นเจ้าของบ้านฉัน” ศศิธรเอ่ยถามขึ้นก่อนด้วยความไม่พอใจ เสียงที่ภาสันต์ได้ยินช่างคุ้นหู วิรุฬห์ยกคิ้วเข้มๆ กลับให้ฤกษ์นาวีย์ ยิ้มพอใจกับคำพูดของญาติ
“ภาสันต์ คุณล่ะชื่ออะไร นั่นมันบ้านผม” เจ้าของบ้านฝั่ง ฤกษ์นาวีย์ตอบกลับไปบ้าง ฉากตัดไปที่ปลายสาย ทั้งสองคนต่างหันมามองหน้ากันแทบจะทันที
“ปุ๊ก/สันต์” คำเอ่ยเรียกชื่อของกันและกันดังเล็ดลอดออกมาจากโทรศัพท์ของฤกษ์นาวีย์และวิรุฬห์ หญิงสาวเกาศีรษะ แล้วเอ่ยอย่างงงงันกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ปุ๊ก รู้จักผู้ชายคนที่คุยตะกี้เหรอ” วิรุฬห์เอ่ยถาม ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ปิดสปีกเกอร์โฟนแต่อย่างใด ศศิธรหันมองไปยังแฟนหนุ่มที่ตอนนี้ก็มองมายังเธอเหมือนกัน แล้วเอ่ยตอบคำถามนั้น
“ระ…รู้จักสิ”
“สันต์ รู้จักเจ้าของบ้านฝั่งผู้ชายคนนั้นเหรอ” ฤกษ์นาวีย์ถามภาสันต์บ้าง ซึ่งชายหนุ่มก็ตอบแบบชัดๆ ไม่อ้อมค้อม อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น บ้านว่างมาตั้งนานไม่มีคนคิดเข้าไปอยู่ พอจะมีก็มีตั้งสองคน แถมเป็นผู้หญิงกับผู้ชายอีกต่างหาก
“อื้อ…รู้จัก รู้จักดีเสียด้วย ก็เขาเป็นคู่หมั้นเราเอง”
“หา…ไม่จริง/ไม่จริงมั้ง” ทั้งฤกษ์นาวีย์และวิรุฬห์อุทานออกมาพร้อมกันบ้าง ชายหนุ่มเป่าลมออกปากอย่างหนักใจ นี่เขาหนีเสือปะจระเข้หรือเปล่า หนีความวุ่นวายมาเจอความวุ่นวายกว่า
“เอาเป็นว่า เดี๋ยวเราสองคนตามไปที่บ้าน ตกลงนะ อย่าพึ่งแจ้งตำรวจ เรื่องนี้เคลียร์ได้” ภาสันต์กดวางสายจากฤกษ์นาวีย์ ก่อนจะเดินเข้าไปหาคู่หมั้นสาวที่ตอนนี้กึ่งเปลือยตรงหน้า แต่ก็ไม่วายขอก้มลงไปดูดเม้มเม็ดยอดหน้าอกสีสวยที่ล่อตาล่อใจหนักๆ เมื่อครู่กำลังเข้าได้เข้าเข็มแต่กลับถูกขัดอารมณ์เสียได้
“ทะลึ่งนะสันต์” ความวาบหวามที่เกิดขึ้นทำให้ศศิธรขนลุกซู่ ก่อนจะตีหมับเข้าที่ต้นแขนของคนรักที่ทำอะไรทะลึ่งตอนนี้
“ฝากไว้ก่อนเถอะ คืนนี้จัดหนักแน่”
“บ้า…รีบแต่งตัวได้แล้ว เดี๋ยวสองคนนั้นก็ตีกันตายพอดี”
“ครับ” แววตาขี้เล่นของภาสันต์ทำให้ศศิธรเขินอาย ก่อนที่เธอจะรีบคว้าเสื้อผ้าตรงดิ่งเข้าห้องน้ำเพื่อแต่งตัว ส่วนภาสันต์ก็แต่งตัวในห้องรับแขก จากนั้นทั้งคู่ก็พากันตรงไปยังบ้านต้นเหตุด้วยความงุนงง ว่านี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ คิดไปคิดมาเรื่องนี้เกิดก็เพราะความที่ภาสันต์กับศศิธรไม่ได้คุยกันตั้งแต่แรกว่าจะให้ใครไปอยู่ที่บ้านหลังนั้น เมื่อไม่ได้คุยกันต่างฝ่ายจึงให้คนรู้จักไปอยู่ แถมประจวบเหมาะไปอยู่วันและเวลาเดียวกันอีก ภาสันต์ส่ายหน้าให้กับเรื่องบังเอิญครั้งนี้ ส่วนศศิธรเองก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูกเหมือนกัน
ผ่านไปเกือบชั่วโมง คนที่ฤกษ์นาวีย์และวิรุฬห์รอก็มาถึง รถยุโรปคันใหญ่ขับเข้ามาจอดเทียบยังหน้าบ้าน ก่อนทั้งคู่จะเดินลงมาพร้อมกับรีบก้าวยาวๆ ไปหาคนที่ยืนอยู่กันคนละมุม ตั้งท่าขวางประตูอย่างไม่มีใครจะยอมใคร ภาสันต์ไม่รู้จักวิรุฬห์ ส่วนศศิธรก็ไม่รู้จัก ฤกษ์นาวีย์แต่อย่างใด พวกเขาจึงต่างเอ่ยแนะนำตัว
“วิรุฬห์หรือโมครับ”
“โมเม ขี้ตู่น่ะสิ สมชื่อจริงๆ ชิ” เสียงนี้เป็นของฤกษ์นาวีย์ หญิงสาวแอบเหน็บชายหนุ่มเบาๆ ตอนที่เขาแนะนำตัวเอง แต่ถึงจะเบาแค่ไหนวิรุฬห์ก็ยังได้ยินอยู่ดี ภาสันต์ใช้ศอกกระทุ้งเอวของเพื่อนให้แนะนำตัวเองบ้าง
“เอ่อ…เฟรม ฤกษ์นาวีย์ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักคุณปุ๊ก นายโมเม”
“ไหนๆ ทุกคนก็รู้จักกันแล้ว ถือว่าเป็นเพื่อนกันนะครับ เรื่องบ้าน…” ภาวันต์เอ่ยยังไม่จบประโยค ฤกษ์นาวีย์ก็แทรกขึ้น
“เฟรมขออยู่คนเดียว” คำพูดเอาแต่ใจของหญิงสาว ทำให้ชายหนุ่มอย่างวิรุฬห์ต่อปากต่อคำด้วย เห็นท่าทางของทั้งคู่แบบนี้ คนกลางก็พลอยปวดหัวกันไปด้วยตามๆ กัน
“ผมก็ขออยู่คนเดียว ไม่รับรูมเมท”
“พี่โมคะ” ศศิธรปรามเสียงเบาๆ ก่อนจะจับแขนของวิรุฬห์ไว้ คิดแล้วก็หนักใจ ทั้งสองคนเหมือนไม้เบื่อไม้เมา ถ้าต้องมาอยู่บ้านหลังเดียวกันจริงๆ มันจะรอดไหมเนี่ย เพราะดูท่าทางไม่มีใครยอมย้ายออกเลย
“ฉันก็ไม่รับรูมเมท เพราะฉะนั้น นาย! ย้ายออกไปซะ บ๊าย บาย” พูดจบฤกษ์นาวีย์ก็เชิดหน้าสวยๆ ใส่วิรุฬห์ไปหนึ่งครั้ง ซึ่งชายหนุ่มก็ต่อปากต่อคำกลับเหมือนกัน
“ใครกันแน่ที่ต้องย้ายออก”
“นายนั่นแหละ ขืนไม่ย้ายออก เดี๋ยวก็มีคนมายะ...” คำว่ายิงถูกปิดกั้นด้วยมือของวิรุฬห์ ชายหนุ่มรู้ว่าฤกษ์นาวีย์จะพูดอะไร จึงรีบยกมือมาปิดปากเธอไว้
“หยุดพูด ฉันไม่อยากให้สองคนนี้เป็นห่วง” น้ำเสียงห้วนๆ ของวิรุฬห์เอ่ยบอกชิดใบหู ฤกษ์นาวีย์เหลือบมองไปยังภาสันต์และศศิธร แล้วยอมทำตามที่วิรุฬห์บอกอย่างงงๆ ว่าทำไมเธอต้องทำตามเขาด้วย
“สองคนมีอะไรหรือเปล่าคะเนี่ย ดูมีลับลมคมนัย แถมตอนนี้ยังดูสนิทกันอีก” ศศิธรสังเกตและพูดไปตามสิ่งที่เธอได้เห็น
“เปล่า ไม่มีอะไร” ขณะพูดวิรุฬห์ก็ลดมือลง ภาสันต์และศศิธรขอปรึกษากันครู่หนึ่ง พวกเขาไม่มีที่อยู่อื่นที่จะให้ใครคนหนึ่งแยกไปอยู่ได้เลย และดูเหมือนตอนนี้ทั้งวิรุฬห์และฤกษ์นาวีย์ก็ต่างไม่ยอมกันทั้งคู่ เมื่อไม่มีใครยอมถอยและไม่มีทางเลือกอื่น ทางเดียวที่ทำได้คือ
“ให้พวกเขาอยู่ด้วยกัน” ภาสันต์และศศิธรพยักหน้าเห็นด้วยกับทางออกนี้ แม้จะห่วงฤกษ์นาวีย์ที่เป็นฝ่ายหญิงก็ตามที แต่เพราะวิรุฬห์นั้นไว้ใจได้คนหนึ่ง รับรองว่าไม่ทำเรื่องน่าบัดสีแน่นอน
ข้อเสนอที่ภาสันต์และศศิธรบอกมานั้น ฤกษ์นาวีย์ถึงกับหน้ามุ่ยบอกบุญไม่รับ แต่ถ้าเธอไม่ยอมอีกก็กลัววิรุฬห์จะยิ่งได้ใจหาว่าเธอเป็นเด็กไม่รู้จักโตจึงยอมทำตามข้อเสนอนี้ ส่วนวิรุฬห์ก็ยอมทำตามด้วยเหมือนกัน มีหรือเขาจะยอมแพ้ผู้หญิง แล้วบอกว่าตนคงไม่มีอารมณ์พิศวาสผู้หญิงแปลงเพศที่ชื่อแมนๆ ว่าฤกษ์นาวีย์แน่นอน ทั้งสองคนเขม่น ส่งสัญญาณไฟฟ้าปะทะตรงกลาง จนศศิธรและภาสันต์ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ ให้
เมื่อเคลียร์ปัญหาว่าใครจะอยู่ ใครจะไปได้ลงตัว ภาสันต์และศศิธรก็ขอตัวกลับ เนื่องจากพวกเขาทั้งสองกำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมงานแต่งงาน ซึ่งเรื่องนี้ฤกษ์นาวีย์และภาสันต์รับรู้มาก่อนหน้านี้แล้วเช่นกัน แต่พออยู่ตามลำพัง ความอยากเอาชนะกันและกันก็มาคุอีกครั้ง
