บทที่ 3
“ฉันต้องรอด” ฤกษ์นาวีย์ฮึดบอกตัวเอง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินมายังประตูบ้านไม้สองชั้น มือสั่นๆ ก็พยายามจะไขกุญแจเข้าไปภายใน แต่กุญแจกลับร่วงลงพื้น วิรุฬห์เดินมาหยิบกุญแจส่งให้เธอ ก่อนจะใช้กุญแจอีกดอกที่เขามีไขประตูเข้าบ้าน เสียงแกร๊กที่บ่งบอกว่ากุญแจถูกไขเรียบร้อย ทำให้ฤกษ์นาวีย์ตาโต สติสตังกลับคืนร่างชนิดครบร้อยเปอร์เซ็นต์ และดูเหมือนว่าตอนนี้เรื่องมือปืนที่ยิงใส่เธอเมื่อครู่จะกลายเป็นเรื่องเล็กไปเสียแล้ว
“แล้วนี่นายมีกุญแจบ้านฉันได้ยังไง” ฤกษ์นาวีย์เอ่ยบอกความเป็นเจ้าของ จะว่าไปผู้ชายคนนี้ไขกุญรั้วเข้ามาได้แบบไม่ต้องขอกุญแจจากเธอด้วยซ้ำ
“บ้านฉัน นี่ไงกุญแจ เธอนั่นแหละมาผิดที่”
“ไม่ผิด บ้านเลขที่ 126/99 บ้านฉัน” หญิงสาวยื่นกระดาษที่เขียนที่อยู่มาอย่างชัดเจนให้ชายแปลกหน้าขี้ตู่ หน้าตาก็ดี แต่สงสัยความจำจะเสื่อม จำบ้านคนอื่นผิดๆ ถูกๆ คิดว่าเป็นบ้านตัวเองแบบนี้
“บ้านฉัน” พูดจบก็ผลักประตูจะเข้าบ้าน
“หยุด! นายจะเข้าบ้านฉันไม่ได้นะ” หญิงสาวรูปร่างโปร่งยืนกางแขน ขวางประตูไว้อย่างแน่นหนา แต่แข้งขาเล็กแค่นี้ มีหรือจะสู้แรงวิรุฬห์ได้ ถ้าหากเขาเอาจริง เธอนั่นแหละต้องแพ้ ชายหนุ่มยืนเท้าสะเอวมองคนตรงหน้า สลับกับอาการสะอึกเป็นระยะๆ
ไม่อยากจะคิดเลยว่าผู้หญิงคนนี้คือคนๆ เดียวกับที่พึ่งถูกลอบยิงกับเขาเมื่อครู่ สงสัยตกใจเสียงปืนมากไป สติถึงได้ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“ออกไปเลยนะ ไม่งั้นฉันจะโทรเรียกตำรวจมาจับนายข้อหาบุกรุก” คำขู่ของฤกษ์นาวีย์ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มกลัวสักนิด เพราะมั่นใจว่าเขาถูกแน่นอน ส่วนเธอผิดเต็มประตู
“งั้นโทรหาคนที่ให้เธอมาอยู่ที่นี่สิ ฉันมั่นใจว่าเขามั่วแน่นอน” วิรุฬห์เอ่ยท้า แต่หญิงสาวดูท่าว่าจะไม่ยอมง่ายๆ ท่าทางเอาเรื่องแบบเด็กๆ ของเธอทำให้คนมองแอบขำ ผู้หญิงอะไรตัวโตเสียเปล่า นิสัยกลับเหมือนเด็ก
“นายก็โทรด้วยสิ”
“ได้” เสียงทุ้มๆ เอ่ยรับ ก่อนที่ทั้งคู่จะหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมาโทรหาคนที่ให้พวกเขามาอยู่ที่นี่ ฤกษ์นาวีย์ โทรหาภาสันต์ทันที ซึ่งวิรุฬห์ก็โทรออกไปหาศศิธรเช่นกัน เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำเอาคู่รักที่กำลังปลุกเร้าอารมณ์ให้ต่างฝ่ายต่างปั่นป่วนด้วยมือและปากดีดตัวออกห่างจากกันโดยอัตโนมัติ ศศิธรและภาสันต์ต่างควานหาโทรศัพท์ของตน แล้วแยกไปอยู่คนละมุมห้อง
“ฮัลโหลสันต์” หญิงสาวเอ่ยทักไปก่อน ภาสันต์ที่เดินเลี่ยงแฟนสาวออกมาคุยตรงมุมห้องรับแขกในบ้าน ถามฤกษ์นาวีย์ขึ้น
“ถึงเมืองไทยแล้วเหรอเฟรม” ภาสันต์พยายามข่มเสียงกระเส่าให้เป็นปรกติ ความแข็งขืนที่พร้อมรบตอนนี้กลับมีขนาดที่น่ารักไปเสียแล้ว
“อื้อ…ตอนนี้เฟรมมาอยู่ที่บ้าน แต่มีผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้บอกว่าเขาจะมาอยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน สันต์ให้คนมาอยู่อีกคนเหรอ ถ้าไม่ใช่เฟรมจะแจ้งตำรวจจับ” ฤกษ์นาวีย์เอ่ยบอกว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นบ้างในตอนนี้ ภาสันต์คิ้วขมวดกับสิ่งที่ได้ฟังทันที
“เฮ้ย…ได้ไง เราให้เฟรมไปอยู่นะ ไม่ได้บอกคนอื่น”
“งั้นแจ้งตำรวจเลยนะ”
“เอาเลย ให้เราไปที่นั่นไหม” ชายหนุ่มเห็นด้วยแล้วเอ่ยถาม เพราะกลัวเพื่อนสาวจะไม่ปลอดภัย เขาอยากรู้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น แล้วมีคนไปอยู่ที่บ้านหลังนั้นนอกจากฤกษ์นาวีย์ได้ยังไง
“ไม่ต้อง เฟรมจัดการได้” ขณะที่ฤกษ์นาวีย์กำลังคุยกับภาสันต์อยู่นั้น คนที่วิรุฬห์โทรศัพท์หาก็รับสายเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มบอกปัญหาที่เกิดขึ้นทันที อาการสะอึกยังคงมีอยู่
“ปุ๊ก…ให้อีกคนมาอยู่ที่บ้านด้วยเหรอ”
“อ้าว! ใครล่ะทีนี้ คนหรือผี” ศศิธรเอ่ยติดตลก เพราะคิดว่าอีกฝ่ายโทรศัพท์มาอำ แถมอำได้ถูกเวลาเสียด้วย ทำเอาเธออารมณ์ค้าง
“คน…ผู้หญิงอีกต่างหาก บอกว่าจะมาอยู่บ้านด้วย นี่มันอะไรกัน พี่งงไปหมดแล้วนะ” วิรุฬห์หัวเสีย
“ไม่รู้จริงๆ นะคะ ปุ๊กไม่ได้ให้กุญแจคนอื่นไป” ปลายสายที่นั่งคุยโทรศัพท์บนโซฟาออกอาการงง มุมหนึ่งของห้อง แฟนเธอก็กำลังติดสายอยู่ด้วย
“นี่แหละคือคำตอบที่พี่ต้องการ แสดงว่าผู้หญิงคนนี้ขี้ตู่ชัดๆ” ขณะพูดก็หันมองไปยังหญิงสาวแปลกหน้า ที่เจอกันครั้งแรกก็ทำให้เขาปวดหัวและสะอึกได้เสียแล้ว และเสียงที่เล็ดลอดมาทำให้อีกคนอดที่จะแซวไม่ได้
“นี่พี่สะอึกเหรอ ฮั่นแน่”
“ฮั่นโน่นฮั่นแน่อะไร รอสายอย่าพึ่งวาง” วิรุฬห์เอ่ยตัดบท เพราะรู้ว่าศศิธรกำลังจะเอ่ยแซวอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มเดินตรงไปยังหญิงสาวที่ยืนหันข้างคุยโทรศัพท์ แถมยังขวางประตูเข้าบ้านอยู่ไม่ยอมขยับไปไหน ก่อนจะสะกิดบ่าเธอให้หันมา
“แป๊บหนึ่งนะสันต์” ฤกษ์นาวีย์บอกปลายสาย ก่อนจะหันมาส่งตาเขียวให้ชายหนุ่ม งานนี้เป็นไงเป็นกัน ต้องมีคนไปนอนในคุกแน่นอน
“เพื่อนฉันเป็นเจ้าของบ้าน” ทั้งสองคนพูดออกมาแทบจะพร้อมๆ กัน ฤกษ์นาวีย์กำหมัดแน่น มองหน้าวิรุฬห์ที่ไม่ว่ายังไงเธอก็มองว่าเขาผิดเต็มๆ
“งั้นเปิดสปีกเกอร์โฟนให้พวกเขาคุยกัน รับรองต้องมีคนโกหก ติดคุกแน่” ชายหนุ่มจ้องมองเธอเขม็ง เขาต้องชนะ ฤกษ์นาวีย์ยักคิ้วสวยๆ นิดหนึ่ง ก่อนจะยิ้มกริ่ม
“ได้” เสียงใสๆ ออกแนวอารมณ์เสียนิดหน่อยแล้วเอ่ยรับปาก ก่อนที่ทั้งคู่จะกดเปิดสปีกเกอร์โฟนให้ปลายสายของพวกเขาได้คุยกัน ไม่ต้องพูดพล่ามทำเพลง เพราะได้ยินประโยคก่อนหน้าอยู่แล้ว ทั้งสองฝ่ายหาคนที่เข้าใจเรื่องนี้ผิดทันที
“คุณเป็นใคร นั่นมันบ้านฉัน/ผม” เจ้าของบ้านของฤกษ์นาวีย์และวิรุฬห์เอ่ยบอกความเป็นเจ้าของพร้อมๆ กัน ก่อนจะเอะใจอะไรขึ้นมา เพราะทั้งศศิธรและภาสันต์ได้ยินเสียงของกันและกันดังก้องในห้องรับแขกด้วย แต่ยังไม่มั่นใจนักว่าใช่ไหมหรือหูแว่วคิดกันไปเอง
