บทที่ 2
ขณะที่พ่อกับแม่กำลังเป็นห่วงลูกสาวคนเดียวของตนอยู่ในอีกซีกโลกนั้น ฤกษ์นาวีย์หญิงสาวที่มีชื่อคล้ายผู้ชาย แต่ใบหน้าหวาน รูปร่างสะโอดสะอง สมส่วน ด้วยความสูงเกือบร้อยแปดสิบเซนติเมตร ขาเรียวยาวไม่แพ้นางแบบชั้นนำที่ไหน ยิ่งตอนนี้เธอสวมกางเกงสกินนี่สีน้ำเงินเข้ม ตัดกับเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่สีขาว รองเท้าบู๊ทสีน้ำตาลทรงสวย ผมยาวสีดำเข้มมัดขึ้นเป็นหางม้ากลางศีรษะ สะบัดไปมาตามแรงเดิน
ใบหน้ารูปไข่ ตัดกับดวงตาสีดำเข้มที่ถูกปกปิดด้วยแว่นกันแดดสุดเก๋ คิ้วสวยได้รูปแทบไม่ต้องจัดแต่งด้วยซ้ำ ผิวขาวอมชมพู ริมฝีปากอิ่มเอิบบ่งบอกว่าเจ้าของร่างบอบบางนี้สุขภาพดีมากแค่ไหน ยามที่เธอเดินในสนามบินสุวรรณภูมิ สายตาแทบทุกคู่ต่างจับจ้อง ตอนนี้ฤกษ์นาวีย์กำลังเดินเข็นกระเป๋าเดินทางตรงไปยังจุดบริการรถแท็กซี่ ก่อนจะบอกว่าเธอต้องการไปที่ไหน
เมื่อมาถึง หญิงสาวก็หยิบกุญแจบ้านในกระเป๋าที่เพื่อนส่งไปให้ถึงแคนาดามาถือไว้ เดินยิ้มๆ ไม่ได้สังเกตใครทั้งนั้น เธอตรงไปยังประตูรั้วบ้านหลังร่มรื่นเพื่อจะไขกุญแจเข้าไปภายใน ซึ่งขณะนั้นชายหนุ่มแปลกหน้าที่เปิดประตูลงมาจากรถ แล้วเอาแต่เดินก้มหน้าก้มตาดูกุญแจบ้านในมือก็กำลังทำเช่นเดียวกับฤกษ์นาวีย์ กุญแจทั้งสองดอกชนกันดังกริ๊กแบบไม่ตั้งใจ
“เอ๊ะ!...” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมอง เพราะคนข้างๆ สูงกว่าอยู่มาก ในใจกำลังคิดว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น วิรุฬห์เองก็ก้มลงมองหญิงสาวข้างๆ เหมือนกัน พอสบตาเห็นหน้าชัดๆ ชายหนุ่มถึงกับสะอึกออกมา ปฏิกิริยาแปลกๆ นี้เขารู้ว่าเพราะอะไร เป็นไปไม่ได้...
แต่ยังไม่ได้พูดคุยหรือถามไถ่ เสียงบางอย่างก็ดังขึ้น
ปัง ปัง ปัง!!!
นั่นคือเสียงกระสุนปืนที่ดังติดกันสามนัดไม่ผิดแน่ ปฏิกิริยาการตอบสนองของวิรุฬห์นั้นเร็วกว่าฤกษ์นาวีย์มากนัก ชายหนุ่มรีบก้มตัวแล้วไปหลบอยู่ข้างรถ แต่พอเห็นหญิงสาวยังยืนแข็งทื่อตรงประตูรั้ว จึงเข้าไปคว้าตัวเธอมาซ่อนให้พ้นกระสุนด้วยอีกคน
“หลบก่อน”
“กะ...เกิดอะไรขึ้น” เสียงตะกุกตะกักของคนที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเอ่ยถาม
“เงียบไว้” เสียงดุๆ เอ่ยสั่ง วิรุฬห์พยายามเพ่งมองไปยังทิศทางของกระสุนปืน จึงพบรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่จอดเทียบถัดออกไปไม่ไกลนัก พร้อมกับชายสองคน ทั้งคู่สวมเสื้อผ้ามิดชิด รวมถึงยังสวมหมวกกันน็อคสีดำปกปิดใบหน้า แต่พอชายคนที่ซ้อนท้ายเห็นวิรุฬห์เข้า จึงจงใจยิงซ้ำอีกครั้ง
ปัง!!!
“ว้าย!!” เสียงอุทานตกใจของฤกษ์นาวีย์ดังลั่นอีกครั้ง การต้อนรับการกลับเมืองไทยครั้งแรกในรอบหลายสิบปีของเธอช่างน่าตื่นเต้นเสียจริง แถมตอนนี้กลับไม่มีคนมาช่วยเลย คนร้ายก็ย่ามใจไม่กลัวกฎหมาย ยิงคนได้แม้จะเป็นกลางวันแสกๆ แบบนี้ แต่ใช่ว่านี่จะเป็นการต้อนรับสำหรับฤกษ์นาวีย์คนเดียวเท่านั้น เพราะวิรุฬห์เองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าจะมีคนมาต้อนรับตั้งแต่วันแรกที่เขาลาพักร้อน แสดงว่าคนพวกนั้นจับตามองเขาอยู่เป็นแน่ แต่ถึงอย่างนั้น แผนการล่อเสือออกจากถ้ำของชายหนุ่มก็ยังคงดำเนินการต่อไป ดีเสียอีกที่คนพวกนั้นเล็งเป้ามาที่เขาคนเดียว คนอื่นๆ จะได้ไม่มาเดือดร้อนด้วย
วิรุฬห์พยายามเพ่งมองทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์คันดังกล่าว แต่กลับไม่เห็น เมื่อบรรลุจุดประสงค์ในการข่มขู่ ชายชุดดำก็รีบขับออกไปจากที่เกิดเหตุ คราวนี้บรรดาไทยมุงก็กรูกันเข้ามาราวกับนัดหมาย ก่อนที่วิรุฬห์จะแก้ไขสถานการณ์ด้วยการบอกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็ใช่ว่าบรรดาไทยมุงจะสลายตัวง่ายๆ ทางเดียวคือเขาต้องหายไปจากตรงนี้ ทุกคนจะได้ไม่ถาม
“มานี่ก่อน” วิรุฬห์ลากตัวฤกษ์นาวีย์เข้าไปในบ้าน เธอหน้าตาเหลอหลาแต่ก็ยอมทำตามแบบงงๆ ยังคงตกใจไม่หาย เกิดมาไม่เคยพบเจอเหตุการณ์ที่น่ากลัวแบบนี้มาก่อน ใบหน้าซีดเผือกราวกับไข่ต้มก็ไม่ปาน วิรุฬห์เดินกลับมานั่งยองๆ อยู่ข้างเธอที่ตอนนี้นั่งกอดตัวเองอยู่หน้าบ้าน แม้จะพึ่งพบหน้าและไม่รู้จักกันมาก่อน ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ถามไถ่อย่างเป็นห่วง
“เธอเป็นไงบ้าง”
“ไม่เป็นอะไร” ปากบอกไม่เป็นอะไร แต่หน้ายังคงซีดเผือก คนตัวเล็กนั่งสันเทาบ่งบอกว่าตื่นตกใจมากแค่ไหน วิรุฬห์วางมืออุ่นๆ ลงบนหัวไหล่มน นั่นทำให้ฤกษ์นาวีย์เงยหน้าขึ้นมองเขาทันที ทั้งคู่สบตากันอย่างบังเอิญ แล้วอยู่ๆ วิรุฬห์ก็สะอึกติดกันหลายครั้ง
“นายเป็นอะไรไหม แล้วคนพวกนั้นเป็นใคร ทำไมต้องยิงเราแบบนี้ด้วย” คำว่ายิงเราที่พูดออกไป ทำให้ฤกษ์นาวีย์รู้สึกแปลกๆ ชอบกล แต่ถ้าไม่ได้คนแปลกหน้าคนนี้มาลากตัวเธอเข้าที่กำบังข้างรถ ป่านนี้เธออาจถูกยิงเข้าแล้วก็เป็นได้ อย่างน้อยๆ เขาก็ได้ชื่อว่าช่วยชีวิตเธอ
“ฉันไม่ได้เป็นอะไร ส่วนคนพวกนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นใครเหมือนกัน สงสัยยิงผิดคนมั้ง” ถึงจะพอรู้แต่วิรุฬห์ไม่มีเหตุผลที่ต้องบอกฤกษ์นาวีย์
“ยิงผิดคน? บ้าไปแล้วแน่ๆ ว่าแต่นายไม่ใช่โจรหรือคนไม่ดีใช่ไหม คนพวกนั้นถึงถูกสั่งให้มายิงแบบนี้” ที่พูดแบบนี้เพราะฤกษ์นาวีย์พึ่งจะมาจากแคนาดา เธอไม่มีศัตรูแน่นอน แต่ผู้ชายตรงหน้าไม่แน่
“เปล่า”
“แล้วนี่นายแจ้งความแล้วหรือยัง”
“แจ้งแล้ว” วิรุฬห์โกหก เพราะเขายังไม่ได้แจ้งความอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้คนบงการได้ใจอีกสักระยะ เขาจะเล่นแผนดัดหลังให้ดิ้นไม่หลุด
ฤกษ์นาวีย์ตั้งสติก่อนจะลุกขึ้นยืน แต่ขากลับอ่อนแรง คงเพราะความกลัวเมื่อครู่ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วจนตั้งรับไม่ทัน นั่นทำให้ร่างบางเซถลา วิรุฬห์จะเข้าไปประคองแต่ก็ทำได้แค่ตั้งท่าเท่านั้นฤกษ์นาวีย์สูดอากาศเข้าปอดลึกๆ ชีวิตต้องเดินต่อไป เธอไม่ได้ทำอะไรผิดจนคนพวกนั้นมาเอาชีวิตจะกลัวไปทำไม เข้าบ้านปิดประตูใส่กลอนก็คงจบเรื่อง นี่มันก็แค่เรื่องเข้าใจผิด ที่เล่นแรงถึงขั้นเอาปืนมาไล่ยิงกันเท่านั้นเอง ไม่มีอะไร แต่ยิ่งคิดฤกษ์นาวีย์ก็รู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก
