บทที่ 5 จิ้งจอกทมิฬ
จ้าวจางหลีรู้สึกเหมือนกับว่าความชาได้กัดกินไปทั่วทั้งร่างของนาง แขนขาเริ่มสูญเสียเรี่ยวแรงในทันที หลังจากที่บุรุษผู้นั้นลงมาจากอาชาแล้วเดินเข้ามาใกล้ เขาหยุดยืนอยู่ไม่ห่างไปจากนางมากนัก เสียงของเขาดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน
‘ท่านโหว’ คำเรียกขานของเขาดังกังวานและหนักแน่น เสียงนั้นดังขึ้นอย่างชัดเจนภายในหูของนาง ดวงตากลมโตเบิกกว้างราวกับไข่ห่าน และตกตะลึงในขณะที่หัวใจกลับเต้นรัวขึ้นมาไม่สามารถควบคุมได้ อีกทั้งอากาศรอบตัวเริ่มหนาแน่นขึ้น จนรู้สึกว่าหายใจไม่ออก
ความจริงที่นางไม่อาจปฏิเสธได้ บุรุษผู้ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นท่านโหวในชิงอัน มีเพียงผู้เดียว นั่นคือไป๋เจิ้งหยาง ชิงอันโหว
“จะ...เจ้าเรียกเขาว่ากระไรนะ!” นางกลืนน้ำลายเหนียวลงคอก้อนใหญ่ไปพร้อมกับเอ่ยถามคนผู้นั้นอีกครั้ง
“ท่านโหว...ชิงอันโหว แม่นางไม่รู้จักท่านแม่ทัพของข้าหรือ”
ลู่หมิงเกาศีรษะด้วยความงุนงง หากผู้เป็นนายของเขาไม่ปิดบังใบหน้า ทุกหนทางที่เขาควบอาชาผ่านย่อมมีแต่ผู้คนรู้จัก แม่นางผู้นี้ไปอยู่ที่ใดกันเล่าถึงไม่รู้เลยว่าบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของนาง คือผู้บัญชาการกองทัพแห่งแคว้นชิงอัน
"ท่านโหว...หรือ"
นางเอ่ยทวนอีกครั้ง ชื่อของเขาทำให้จ้าวจางหลีรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกที่กระทบลงบนศีรษะราวกับถูกหินก้อนใหญ่ทุบลงบนหัวของนางจนแทบล้มทั้งยืน สายตาของนางยังคงจับจ้องไปที่เขาอีกครั้ง แต่ไม่สามารถที่จะขยับตัวได้ ราวกับบุรุษผู้นี้สะกดให้นางต้องยืนนิ่งอยู่กับที่
ไป๋เจิ้งหยาง หรือชิงอันโหวแห่งแคว้นชิงอัน เป็นแม่ทัพที่ได้รับขนานนามว่า ‘จิ้งจอกทมิฬ’ ผู้เป็นทั้งตำนานและฝันร้ายของเหล่าศัตรูที่เข้ามารุกรานชิงอัน
เขาคือบุรุษรูปงาม ที่มีความงาม และความสามารถที่โดดเด่นไปทั่วทั้งแผ่นดินเยี่ยนชิงอัน ว่ากันว่าใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาคล้ายกับจิ้งจอกหนุ่มคะนองรัก มันเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่น่าหลงใหล ราวกับว่าเขามีเวทมนตร์ที่ทำให้ผู้คนตกอยู่ในภวังค์ความงาม
แม้ดวงตาของเขาจะดูดุดันจนใครหลายคนต่างหวาดกลัว แต่ทว่าภายในดวงตาเหยี่ยวคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยเสน่ห์อันน่าลึกลับ ดวงตาคมคายดุจดั่งดวงตาของจิ้งจอกที่สตรีมากมายยอมศิโรราบอยู่ใต้อาณัติของเขา แม้จะต้องพลีชีวิตก็ตาม
เมื่อเขาจ้องมองใครสักคน ดวงตาของเขาก็สามารถทำให้คนผู้นั้นสูญเสียตัวตนไปในทันที ส่วนคำว่าทมิฬ นั่นเป็นเพราะความเหี้ยมโหดไร้ความปรานี เมื่อครั้งหนึ่งที่เขาปราบกบฏ สามารถเด็ดหัวศัตรูได้ถึงห้าคนด้วยการฟาดทวนออกไปเพียงครั้งเดียว ด้วยวัยเพียงสิบห้าหนาว เขาสามารถหยัดยืนอยู่ในสนามรบท่ามกลางศพนับพันที่กองพะเนิน บรรดาศักดิ์โหวของเขามาจากความสามารถของตัวเอง หาต้องพึ่งพารากฐานของวงศ์ตระกูล
"ไม่รู้จักข้าหรือ" ไป๋เจิ้งหยางยกแขนขึ้นกอดอก ก่อนจะเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย
“ปะ...เปล่าเจ้าค่ะ ข้าเพียงแต่ไม่เคยเห็นใบหน้าของท่านโหว”
จ้าวจางหลีตอบเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา นางไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเขาอย่างที่ควรจะเป็น มีเพียงความรู้สึกยำเกรงก็เท่านั้น
“ท่านหมอ รักษาอาการให้นางเถอะ อ่อ ลู่หมิง จัดรถม้ากลับไปส่งนางในเมืองด้วยก็แล้วกัน”
ไป๋เจิ้งหยางเอ่ยสั่งการเอาไว้ เขาไม่ได้สนใจจ้าวจางหลีอีกต่อไป หลังจากนั้นก็หันหลังให้กับนางทันที ก่อนที่จะก้าวขึ้นรถม้าด้วยความรวดเร็ว การเคลื่อนไหวบางเบาราวกับพายุที่พัดผ่าน ท่าทางที่สง่างามปรากฏพลังอำนาจอยู่รอบกาย ทำให้ทุกสายตาที่จ้องมองเขาต่างตกอยู่ในภวังค์ของความน่ายำเกรง
ในระหว่างนั้นท่านหมอก็เข้ามาดูอาการของนาง และพบว่าฤทธิ์ยาเริ่มคลายลง อีกทั้งยังไม่ใช่ยาปลุกกำหนัดชนิดรุนแรงจึงไม่อาจถึงกับชีวิตหากไม่ได้รับการปลดปล่อย
จ้าวจางหลีเหม่อลอย โชคชะตาที่น่าบัดซบของนางถูกเขาให้การช่วยเหลือ ที่นางเองไม่รู้ว่าเป็นการหนีเสือปะจระเข้หรือไม่
นางก็รู้สึกได้ถึงแรงบีบที่ถูกส่งออกมาจากหัวใจ มารดาเลี้ยงของนางคือผู้มีพระคุณเลี้ยงดูนางมาตั้งแต่วัยเพียงห้าหนาว แต่ทว่าบิดาเลี้ยงของนางกลับเป็นคนชั่วช้าติดการพนัน จึงนำตัวนางมาขายให้แก่เรือนร้อยบุปผา โดยที่มารดาผู้นั้นไม่ได้ทัดทานสามีแต่อย่างใด
หลังจากที่นางได้รู้ว่าคุณชายที่ซื้อตัวนางมา คือชิงอันโหว ผู้ที่เป็นทั้งความหวาดกลัวและเป็นที่เคารพของคนทั้งแคว้นชิงอัน ภายใต้เสน่ห์และความกล้าแกร่งของเขา ทำให้นางได้ยินเสียงของหัวใจที่ดังก้องอยู่ภายในอก
นางนั่งจมอยู่กับชะตาชีวิตของตัวเองอยู่นาน เสียงของฝ่าเท้าหนึ่งก็ตกกระทบกับพื้นดิน เรียกสายตาของนางให้หันกลับไปมอง
แสงสีเหลืองทองแห่งยามอรุณรุ่งสาดส่องไปยังร่างสูงสง่า ที่มีความสูงราว ๆ แปดฉื่อของท่านแม่ทัพ แผ่นหลังของเขาตั้งตรงด้วยความสง่าผ่าเผย เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งด้วยอาภรณ์แม่ทัพสีนิล บนบ่าของเขามีผ้าแพรสีแดงเพลิงที่พลิ้วไสวต้านทานสายลมแรง
อาภรณ์แม่ทัพที่สะท้อนกับแสงของดวงอาทิตย์ ทำให้เขาดูดุดันและน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยให้เห็นถึงท่าทางที่เต็มไปด้วยอำนาจและความเป็นผู้นำที่สูงส่ง
จ้าวจางหลีไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้ นางเพิ่งจะเข้าใจถึงฉายาจิ้งจอกทมิฬของเขาก็วันนี้นี่เอง จิตใจของนางพองโตด้วยความตะลึงและรู้สึกหลงใหลอย่างไม่อาจห้ามใจ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย
“เจ้ายังไม่ไปจากที่นี่อีกหรือ” ริมฝีปากหยักขยับถามเล็กน้อยเพียงเท่านั้น
นางรู้ดีว่าชีวิตของนางในตอนนี้นั้นไร้ที่พักพิง และมันไม่ง่ายที่นางจะแบกร่างกายและหัวใจของตัวเองกลับไปให้ผู้มีพระคุณย่ำยี ทารุณอีกต่อไป การพบกับชิงอันโหวในครั้งนี้ อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของนาง
“ขะ...ข้าไม่อาจกลับไปที่นั่นได้อีกแล้ว ข้าไม่อาจทนให้พวกเขาทำร้ายจิตใจ แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะมีพระคุณต่อข้าก็ตามที”
แม้ว่าจ้าวจางหลีจะพยายามสะกดความรู้สึกที่ไม่ดีเหล่านั้น แต่ก็ไม่ทำให้ความเสียใจที่เกิดขึ้นในใจจางหายไปได้ ดวงตาของนางเคล้าคลอไปด้วยหยาดน้ำตา
“ข้าไปกับท่านได้หรือไม่...” ริมฝีปากบางขบเม้มเข้าหากันแน่น นางรวบรวมความกล้าเอื้อนเอ่ยออกไป โดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งใดดลใจให้นางฝากชีวิตเอาไว้กับท่านแม่ทัพที่โหดร้ายป่าเถื่อนเช่นเขา
“สตรีไม่อาจอยู่ในกองทัพของข้า...”
ร่างสูงใหญ่กระโจนขึ้นนั่งบนหลังของอาชาด้วยท่วงท่าที่สง่างาม ฝ่ามือหนาดึงรั้งบังเหียนเอาไว้ด้วยฝ่ามือเดียว ดวงตาคมคายมองตรงออกไปเบื้องหน้าโดยไร้ความรู้สึกใดบนแววตาคู่งามของเขา
“ข้ายอมเป็นทาสของท่าน ขอเพียงให้ข้ามีที่นอนและอาหารก็เพียงพอแล้ว” จ้าวจางหลีสูดลมหายใจเข้า ตราบใดที่นางยังอยู่ใต้ปีกของเขา บิดาเลี้ยงของนางก็ไม่กล้าเข้ามาวุ่นวาย
“แน่ใจหรือว่าเจ้าจะเป็นทาสของข้า หึ”
ไป๋เจิ้งหยางปรายดวงตามองไปยังนางอีกครั้ง ดวงตาคู่งามคู่นั้นสั่นไหว จนเขารู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจอย่างไม่เคยจะเป็น เขาพ่นลมหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายกับอารมณ์ที่เริ่มจะแปรปรวนของตัวเอง
“แน่ใจเจ้าค่ะ” นางตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น แม้จะไม่รู้ชะตากรรมเบื้องหน้าของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
“หยุดร้องไห้เสียก่อน ข้าไม่ชอบความอ่อนแอ” เขาเอ่ยบอกกับนางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจและความแข็งแกร่ง
"จะ...เจ้าค่ะ" นางปาดน้ำตาออกด้วยความรวดเร็ว
“ลู่เฟย นำม้าของเจ้าให้นางไป”
ชิงอันโหวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่มีอารมณ์ใดแฝงอยู่ ลู่เฟยที่เพิ่งเดินทางมาถึง ได้แต่หันไปมองสบตากับลู่หมิง องครักษ์อีกคนด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนที่จะตอบออกไปด้วยความจำนน
“ขอรับ” ลู่เฟยทำตามคำสั่งด้วยการยื่นบังเหียนอาชาให้นาง ก่อนจะขึ้นบนหลังอาชาอีกตัว
“ขะ...ข้าควบอาชาไม่เก่ง” นางเบิกดวงตากว้างด้วยความคาดไม่ถึงว่าเขาจะให้สตรีเช่นนางควบอาชาติดตามเขาไป
“เช่นนั้น เจ้าก็ขาดคุณสมบัติแล้ว...ค่ายชิงอันของข้าไม่รับทาสไร้ความสามารถ ช่ะ”
เขากระตุกยิ้มบริเวณมุมปาก ก่อนจะกระชับบังเหียนภายในมือไปพร้อมกับการเตะท้องม้า ไม่นานอาชาศึกที่งดงามก็พุ่งทะยานออกไปเบื้องหน้าอย่างไม่รีรอ
“เหอะ...นั่นคนหรือไม้กระดานกันแน่ ถึงได้ไร้ความรู้สึกถึงเพียงนั้น” นางแค่นเสียงอยู่ในลำคอ
จ้าวจางหลีมองใบหน้าคมเข้มที่ถูกแสงแดดสะท้อนด้วยความรู้สึกประหลาด ใจหนึ่งก็อยากจะขอบคุณ ใจหนึ่งก็รู้สึกเคียดแค้นที่ถูกเขาจับศีรษะกดน้ำเมื่อครู่ ก่อนที่นางจะขึ้นบนหลังอาชาที่สูงใหญ่ด้วยความทุลักทุเล ก่อนจะควบอาชาตามหลังเขาไปด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ
จ้าวจางหลีได้แต่ยอมรับในชะตากรรมของตัวเอง โดยที่ไม่รู้ว่าเส้นทางในอนาคตจะพานางไปเจอกับสิ่งใดอีกบ้าง...