บท
ตั้งค่า

บทที่ 6 ค่ายชิงอัน

อาชาขนสีน้ำตาลทองของจ้าวจางหลีรัวฝีเท้าย่ำเหยาะไปตามการนำทางของบุรุษผู้มีแผ่นหลังกว้างใหญ่ จังหวะการควบอาชาของเขาดุดันและว่องไว ชิงอันโหวในอาภรณ์แม่ทัพควบอาชาด้วยความคล่องแคล่วและความชำนาญ จังหวะย่ำเท้าของอาชาเป็นไปอย่างมั่นคง

ไม่นานหลังจากนั้นอาชาของเขาก็ทิ้งห่างออกไปหลายช่วงตัว ราวกับว่าเป็นบททดสอบแรกของนาง ทำให้จ้าวจางหลีจำต้องเร่งฝีเท้าของอาชาเพื่อติดตามเขาไปด้วยความยากลำบาก

ด้วยเพราะม้าตัวนี้ยังไม่คุ้นเคยกับนางมาก่อน มันจึงแสดงอาการพยศออกมาเป็นบางครั้งบางคราว ทำให้ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความยุ่งยาก

ผืนป่าที่เขียวขจีในช่วงแรกเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้าสีเหลืองทองแห่งความแห้งแล้งและกันดาร เมื่อผ่านไปบางช่วง พื้นดินที่ชุ่มชื้นมีต้นหญ้าน้อยใหญ่ปกคลุม กลับแตกระแหงเป็นดินทราย

ความร้อนในยามที่ดวงอาทิตย์ขึ้นตรงอยู่เหนือหัว ทำให้ร่างกายบอบบางเกิดความร้อนจนมีอาการเหนื่อยหอบ แต่ทว่าจ้าวจางหลีกลับไม่สามารถหยุดการเดินทางได้ แม้จะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าเนื่องจากการควบอาชาติดต่อกันหลายชั่วยาม โดยที่ท่านแม่ทัพไม่คิดจะพักแต่อย่างใด ราวกับว่าเขารีบร้อนที่จะกลับไปยังฐานบัญชาการ

ในที่สุด ดวงตาคู่งามของนางก็เห็นผ้าแพรสีแดงสดที่โบกสะบัดต้านแรงลมของเขาหายเข้าไปเบื้องหน้า ท่ามกลางกำแพงไม้ไผ่ที่ดูแห้งแล้ง ป้ายกองทัพชิงอันเด่นหราอยู่ด้านหน้าประตูที่มีป้อมปราการอยู่ด้านบน

อาชาของนางค่อย ๆ ลดความเร็วลง เหลือเพียงจังหวะย่ำเหยาะไปตามเส้นทางที่ตัดผ่านเข้าไปในกองทัพของเขา ในจังหวะนั้นเองจ้าวจางหลีรู้สึกได้ถึงสายตามากมายหลายคู่จับจ้องมองมายังร่างกายของนางด้วยความตื่นเต้น ราวกับว่านางเป็นกระต่ายป่าที่หลงเข้ามาในหมู่ของราชสีห์ สายตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความรุนแรงที่ถูกส่งออกมาอย่างชัดเจนผ่านดวงตา

เมื่อเห็นถึงสายตาแทะโลมเหล่านั้น นางจึงก้มมองดูอาภรณ์ของตัวเอง นางก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเหตุใดสายตาของทหารเหล่านั้นจึงจับจ้องมายังนางอย่างไม่ลดละ นั่นเป็นเพราะนางยังอยู่ในอาภรณ์ของหอนางโลม

ไป๋เจิ้งหยางมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี เขากระโดดลงจากอาชาด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะหันมองไปยังจ้าวจางหลีด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดใจ แม้ว่าท่าทางของเขาไม่เหมือนคนที่จะแสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมา ทว่าในกายของเขากลับร้อนรุ่มขึ้นมาจนแปลกพิกล

จ้าวจางหลีสบตากับชิงอันโหว โดยที่นางเห็นถึงความโกรธเกรี้ยวเล็กน้อยซุกซ่อนอยู่ในดวงตาของเขา

ดวงตาคู่คมตวัดมองไปยังทหารที่ยังคงจ้องมองจ้าวจางหลีด้วยสายตาที่ไม่เหมาะสม เขาจึงไม่สามารถทนได้อีกต่อไป ผู้บัญชาการทัพชิงอันตวาดออกไปด้วยเสียงที่ดังก้อง

"ผู้ใดยังจ้องมองไม่เลิก ข้าจะควักลูกตาของคนผู้นั้นออกเสีย นางเป็นแม่ครัวใหม่ของข้า! แยกย้ายกันไปฝึกได้แล้ว"

เสียงที่ทรงอำนาจดังขึ้น พวกเขาสะดุ้งด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะหลุบสายตาลงและไม่มีผู้ใดจ้องมองนางอีกต่อไป มีเพียงเสียงกระซิบกระซาบเข้ามายังประสาทการได้ยินของนางก็เพียงเท่านั้น

“ไม่ยักรู้ว่าท่านโหวนำสตรีจากหอนางโลมมาเป็นแม่ครัว”

“เห็นทีพ่อครัวของกองทัพจะปรุงอาหารไม่ถูกปากท่านโหว ท่านโหวจึงพาแม่ครัวที่งดงามเช่นนี้มาด้วย ฮ่า”

“หุบปาก! ไม่เช่นนั้นข้าจะตัดลิ้นของพวกเจ้า”

เสียงตวาดดังขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าหล่อเหลาของแม่ทัพหนุ่มนั้นเต็มไปด้วยความยับย่น บ่งบอกได้ถึงอารมณ์ที่เริ่มจะเดือดดาล

วาจาของเขาดังชัดเจนและเต็มไปด้วยอำนาจ ทหารน้อยใหญ่ที่ได้ยินต่างก็หุบปากลงในทันที สายตาทุกคู่ที่เคยจ้องมองนางด้วยสายตาที่ไม่เหมาะสม ก็ต่างหันมองไปทางอื่นก่อนจะรีบแยกย้ายกันออกไปด้วยความหวาดกลัว ทหารกองทัพชิงอันรู้ดีว่าไป๋เจิ้งหยางไม่เคยพูดเล่น และเขาจะลงโทษด้วยความรุนแรงหากมีผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง

ท่ามกลางความเงียบงัน ไป๋เจิ้งหยางปลดผ้าคลุมสีแดงเพลิงของเขาออกก่อนจะโยนมันลงบนศีรษะของจ้าวจางหลี จนทำให้นางไม่สามารถมองเห็นทางที่อยู่เบื้องหน้าได้ เพราะอาชาของนางยังไม่ได้หยุดย่ำฝีเท้าต่อหน้าของเขา

ผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่ตกลงบนศีรษะของจ้าวจางหลี มันบดบังดวงตาจนมองไม่เห็นเส้นทางที่อยู่เบื้องหน้า อีกทั้งนางยังสูญเสียการทรงตัว ฝ่ามือเล็กที่มีริ้วแดงจากการบาดของบังเหียนปล่อยมือออกในทันที ร่างของนางจึงหงายหลังลงมาจากอาชาพร้อมกับผ้าคลุมไหล่ของเขา

อั่ก

นางย่นใบหน้าเข้าหากันจนยับยู่ ก่อนจะใช้ฝ่ามือดึงผ้าคลุมไหล่ที่ปกปิดศีรษะของนางออกด้วยความไม่พอใจ แม่ทัพผู้นี้ร้ายกาจเสียยิ่งนัก นางลูบคลึงก้นกบของตัวเองด้วยความเจ็บปวด

"ซุ่มซ่าม" เสียงของไป๋เจิ้งหยางดังขึ้นอย่างไร้ความรู้สึก

ความรู้สึกของนางเต็มไปด้วยความอับอายและขุ่นเคืองในใจ แต่ก็ไม่อาจแสดงออกมาได้ เพราะสถานะในตอนนี้ของนางจำต้องพึ่งพาเขาอยู่ นางไม่สามารถตอบโต้การกระทำของไป๋เจิ้งหยางได้ จึงได้แต่ก้มหน้าลงและยอมรับชะตากรรมของตนเอง มีเพียงเสียงใสที่สบถออกมาเบา ๆ

“มารดาเถอะ!”

“เจ้าว่าอะไรนะ” เขาตวัดสายตาที่เฉียบคมมายังนาง แม่ทัพเช่นเขามีประสาทการได้ยินที่ดี จึงได้แต่ถามย้ำออกไปเพียงเท่านั้น

“ปะ...เปล่าเจ้าค่ะ” นางก้มหน้าก้มตาตอบ โดยที่ตัวเองยังคงนั่งอยู่บนพื้นที่แห้งแล้ง

“เห็นทีเจ้าคงยังไม่คุ้นเคยกับอาชา เพราะฉะนั้นวันนี้ที่นอนของเจ้าคือคอกม้า อ่อ อย่าลืมทำความสะอาด และแปรงขนให้พวกมันด้วยเล่า” เขาจ้องมองใบหน้าของนาง และเอ่ยปากสั่งราวกับลืมไปสิ้นแล้วว่านางเป็นเพียงสตรีตัวเล็ก ๆ หาใช่ทหารม้าที่อยู่ใต้บัญชาของเขา

“ท่านโหว ท่านให้ข้ามาเป็นแม่ครัวมิใช่หรือ” นางเอ่ยทัดทานด้วยความไม่ยอม

“หากเจ้าไม่ฝึกทำงานตั้งแต่รากหญ้า เจ้าจะรู้จักกองทัพของข้าได้อย่างไรกัน ลู่เฟย พานางไปยังคอกม้า!” สิ้นเสียงคำสั่งเขาก็เดินเข้าไปยังด้านในกระโจมที่พักของตัวเอง โดยที่ไม่ได้สนใจนางอีกต่อไป

“หนอย เจ้าคนเลือดเย็น!” นางได้แต่ขบเคี้ยวฟันด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเดินตามลู่เฟยออกไปด้วยสีหน้าที่เหนื่อยล้า

ด้านในกระโจมของผู้บังคับบัญชากองทัพ...

“ท่านโหว ท่านจะให้สตรีผู้นั้นอยู่ที่คอกม้าจริง ๆ หรือขอรับ”

ลู่หานองครักษ์อีกคนของเขาเอ่ยถามขึ้น หลังจากที่เขาเดินตามชิงอันโหวเข้ามายังด้านในกระโจม

“ไม่ยักรู้ว่าเจ้าอ่อนโยนต่อสตรีถึงเพียงนี้ เช่นนั้นเอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เจ้าไปอยู่ที่คอกม้าแทนนาง แล้วให้นางมาอยู่แทนเจ้า”

ใบหน้าที่เรียบเฉยของผู้เป็นนายปรากฏรอยยิ้มที่ทำให้เขารู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาจนแทบจะลืมหายใจ

“มะ...ไม่ดีกว่าขอรับ”

“จับตาดูนางเอาไว้ให้ดี ต่อให้นางจะเป็นสตรี แต่ก็เป็นสตรีที่มาจากหอนางโลม บางทีนางอาจจะเป็นสายของกบฏซานหูก็ได้ ข้าไม่ไว้ใจนาง...”

ดวงตายาวรีของเขาหรี่ลงด้วยความไม่มั่นใจ ไม่ว่านางจะเป็นหนึ่งในแผนการที่ซานหูวางเอาไว้หรือไม่ เขาก็ไม่อาจนิ่งดูดาย เพราะชีวิตมากมายของราษฎร์ล้วนแล้วแต่อยู่ภายในมือของเขา

ยามนี้แคว้นซานหูเริ่มคิดการใหญ่ด้วยการก่อบกฏ แต่พวกเขาใช้วิธีที่สกปรกด้วยการแฝงกายเร้นลับเข้ามาในแคว้นชิงอัน เพื่อสอดแนมกองทัพของเขา

“ขอรับ”

เมื่อลู่หาน องครักษ์คนสนิทเดินออกไป เขาก็จัดการถอดชุดเกราะออก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นอาภรณ์สีดำสนิท โดยที่ดวงตายังคงเหม่อลอยนึกถึงแต่ดวงตาที่ดูคลับคล้ายคลับคลาของสตรีผู้นั้น ด้วยความรู้สึกที่สั่นไหว

“เจ้าคือจ้าวจางหลี หาใช่เฟิ่งจางหลีของข้าเสียหน่อย”
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel