บทที่ 3 ดวงตาคู่นั้น
ไป๋เจิ้งหยางเดินออกจากหอนางโลมด้วยท่าทางที่องอาจ ยามนี้ใบหน้าของเขาหาได้มีหมวกสานปิดบังตัวตนอีกต่อไป ชายอาภรณ์ของเขาสะบัดไหวไปกับแรงลมที่พัดบางเบา ไปพร้อมกับการก้าวเท้าขึ้นรถม้าด้วยความรวดเร็ว และกระฉับกระเฉง
สถานการณ์ภายในหอนางโลมยังคงเต็มไปด้วยด้วยความวุ่นวาย บรรดาแขกมากมายต่างพากันหนีตายด้วยความตกใจ ส่วนกลุ่มกบฏซานหูบางส่วนที่ไหวตัวทันต่างพากันหลบหนี บางส่วนดึงดันที่จะสู้รบจนเหลือไว้แต่เพียงร่างที่ไร้ลมหายใจ กบฏซานหูเหล่านี้เป็นเพียงแค่กลุ่มย่อยที่เข้ามาเอารัดเอาเปรียบชาวบ้านแคว้นชิงอัน ส่วนตัวการใหญ่ยังคงเป็นเรื่องที่เขาต้องตามสืบต่อไป
“นั่น...ชิงอันโหวมิใช่หรือ...การที่เขาปรากฏกายเช่นนี้ เห็นทีเรือนร้อยบุปผาคงจะสิ้นซากก็คราวนี้”
การประมูลในยามค่ำคืนนี้จบลงพร้อมกับเสียงซุบซิบของผู้คนมากมายที่ยืนมองเขาอยู่ห่าง ๆ ด้วยสายตาที่ชื่นชม เจือปนกับความหวาดกลัว โดยที่เขาไม่รู้สึกสะทกสะท้านต่อสายตาเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย เมื่อภารกิจจบสิ้นก็ถึงเวลาที่เขาจะเดินทางกลับไปยังกองบัญชาการของตัวเอง
เวลาล่วงเลยผ่านมานานหลายปี เขากลายเป็นผู้ที่ถูกกล่าวขานว่าโหดร้ายและไร้ความปรานี ถ้อยคำเหล่านั้นหาได้ทำให้เขารู้สึกสั่นคลอน ร่างสูงสง่าก้าวเท้าขึ้นไปยังรถม้าด้วยความรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงกระซิบและความวุ่นวาย ชาวชิงอันต่างรู้ดีว่าแม่ทัพเช่นเขาไม่เคยยอมให้ผู้ใดรอดพ้นจากการกระทำผิดไปได้
ไป๋เจิ้งหยางเข้าไปด้านในรถม้าด้วยความสงบ ก่อนจะถอดเสื้อคลุมตัวนอกแล้ววางเอาไว้ข้างกาย เขานั่งลงบนที่นั่งด้วยท่าทางที่มั่นคง แต่ปลายนิ้วมือของเขายังคงขยับเคาะไปตามจังหวะของความคิดที่กำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ภายในหัว
พลทหารนายหนึ่งเป็นฝ่ายบังคับรถม้าทันทีที่เขาขึ้นไปยังตู้โดยสาร ลู่เฟยยังคงจัดการเก็บกวาดความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ทว่าเมื่อรถม้าเริ่มเคลื่อนที่ เขากลับรู้สึกได้ถึงแรงบางอย่างโอบรอบเอวของเขาเอาไว้จากทางด้านหลัง เป็นความอบอุ่นของมนุษย์ กลิ่นหอมอ่อน ๆ เป็นของสตรีอย่างแน่นอน
ฟึ่บ
อึก
ด้วยความตกใจเมื่อมีสิ่งหนึ่งเข้าประชิดกาย ตามสัญชาตญาณของนักรบที่จำต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลา เขาจึงออกแรงเพื่อปกป้องตัวเองออกไปอย่างลืมตัว ฝ่ามือหยาบหนากอบกำที่รอบคอของคนผู้นั้นด้วยความรวดเร็วและความรุนแรงราวกับต้องการให้กระดูกคอสลายเป็นผุยผงไปในชั่วพริบตา
แต่ทว่าเมื่อมองเห็นสายตาของสตรีที่อยู่เบื้องหน้า เขาก็ตะลึงค้างไป เพราะดวงตาคู่นั้นจับจ้องมายังเขาด้วยท่าทีที่ไร้ความหวาดกลัว อีกทั้งยังเป็นสายตาที่เขาคุ้นเคยจนใจเจ็บขึ้นมา และรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับคนที่เขารู้จักเป็นอย่างดี
ฝ่ามือใหญ่ของเขาค่อย ๆ คลายออกจากรอบคอของนางด้วยความระมัดระวัง ราวกับกลัวว่าจะเผลอไผลทำร้ายนางด้วยความไม่ตั้งใจ ดวงตาของนางงดงามราวกับดวงดาวที่ส่องสว่างในยามค่ำคืน แต่สิ่งที่เขามองเห็นนอกเหนือจากนั้นก็คือความทรมานจากการไม่เป็นตัวของตัวเอง
ร่างอรชรที่อยู่ในอาภรณ์บางเบาพยายามจะลูบไล้ลวนลามเขาด้วยสายตาที่เย้ายวน ฝ่ามือเล็กแตะไปตามเนื้อตัวของเขาจนขนลุกชัน การกระทำของนางช่างสวนทางกับแววตาเสียยิ่งนัก
“ท่าน...ช่วยข้าที”
จ้าวจางหลี พยายามที่จะฝืนร่างกายที่ร้อนรุ่มของตัวเองเอาไว้ ยามนี้ฤทธิ์ยาร้อนรักกำลังไหลเวียนไปทั่วร่างกาย เส้นเลือดของนางร้อนผ่าวราวกับจะปริแตกในอีกไม่ช้า
ดวงตาที่พร่ามัวมองเห็นบุรุษเบื้องหน้าด้วยความเลือนราง ทว่าเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและสีของอาภรณ์ทำให้นางพอที่จะจดจำได้ว่าเขาคือคุณชายที่ประมูลนางด้วยราคาที่สูงที่สุด
นางยื่นฝ่ามือที่สั่นไหวเข้าไปประคองใบหน้าของเขาเอาไว้ มันช่างเลือนรางเสียจนไม่รู้เลยว่าบุรุษที่นางโอบกอดมีหน้าตาเช่นไร
แต่สัมผัสที่ฝ่ามือทำให้นางรับรู้ว่าบุรุษผู้นี้มีใบหน้าที่คมคาย จากแนวสันกรามที่นูนออกมา
ร่างเล็กกระโจนเข้าโอบกอดเขาด้วยความแน่นเหนียว อีกทั้งฝ่ามือของนางยังคงประคองใบหน้าของเขาเอาไว้ด้วยดวงตาที่หยาดเยิ้ม
ริมฝีปากเล็กสั่นระริกราวกับทรมานจากฤทธิ์ยาที่กัดกินจิตใจ
ดวงตาคู่งามที่สั่นไหว มีประกายอยู่ในดวงตา มันทำให้เขาตัวชาในทุกครั้งที่ได้จ้องมอง ‘ช่างเหมือนกันเสียยิ่งนัก’ แต่สตรีผู้นี้คือจ้าวจางหลี หาใช่เฟิ่งจางหลีที่เขาหลงรัก เพียงแค่ชื่อที่เหมือนกันทำให้เขาใจสั่นได้ถึงเพียงนี้เลยเชียวหรือ คำถามมากมายเริ่มผุดเข้ามาในความคิด
เขาหลับตาลงชั่วขณะ เพื่อดึงสติสัมปชัญญะกลับมา แต่ทว่าเมื่อหลับตากลับเห็นแต่ภาพที่สตรีผู้นี้กำลังร่ายรำด้วยความอ่อนช้อย
“หึ” เขาแค่นยิ้มให้กับตัวเอง ก่อนจะรวบข้อมือของนางเอาไว้ด้วยกัน แล้วกดเสียงลึกเพื่อบอกกับนาง
"ยามนี้ชีวิตเป็นของเจ้า ออกไปจากตัวข้าได้แล้ว"
เขาบอกกับนางด้วยน้ำเสียงเย็นชา หลังจากพยายามดึงสติอยู่นาน ว่านางไม่ใช่อาหลีของเขา อาหลีของเขาได้ตายจากไปนานแล้ว
“ชะ...ช่วยข้าที”
ยาร้อนรักกำลังเล่นงานนางจนร่างกายรู้สึกปวดร้าว ใบหน้าหวานมีเหงื่อร้อนขึ้นผุดพรายเต็มกรอบหน้า ลมหายใจหอบถี่ราวกับเหน็ดเหนื่อยมานานหลายชั่วยาม นางพยายามที่จะรุกล้ำเขาอย่างไร้ความเกรงกลัว
“...”
แต่ไม่มีเสียงตอบกลับไปยังนางแต่อย่างใด ท่ามกลางความเงียบที่เกิดขึ้น ไป๋เจิ้งหยางใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง กบฏซานหูนั้นมีมากมายหลายกลุ่ม สตรีผู้นี้อาจจะเป็นหนึ่งในแผนการที่ถูกส่งมาเพื่อใกล้ชิดกับเขาก็เป็นได้ แต่เหตุใดกันเล่าที่นำพาให้เขาซื้อนางออกมาเป็นตัวภาระ หากนางคิดไม่ซื่อแล้วแคว้นชิงอันของเขาจะเป็นเยี่ยงไร
รถม้าเคลื่อนตัวออกไปด้วยความรวดเร็ว เสียงของล้อที่กระทบลงบนพื้นถนนอันขรุขระนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ลึกลับและซับซ้อน
รถม้าจอดสนิทบริเวณเนินเขา ก่อนจะแกะมือไม้ที่แน่นหนึบของนางออก แล้วก้าวเท้าลงจากรถม้า โดยมีสตรีจากหอนางโลมติดตามมาด้วย ใบหน้าของนางแดงซ่าน ร่างกายบอบบางสั่นสะท้านด้วยความทรมาน
“ไปตามทางของเจ้าเถอะ ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่เจ้าช่วยข้าปราบกบฏ” เขายื่นหนังสือที่ประทับลายนิ้วมือของนายท่านแห่งเรือนร้อยบุปผาให้แก่นาง เพื่อเป็นการบอกลา แต่ทว่า
“ขะ...ข้าไม่มีบ้านให้กลับ”
ร่างสูงที่กำลังเดินไปยังเนินสูง เพื่อปลดอาชาที่ผูกเอาไว้ชะงักนิ่ง ในมือของเขากำสัญญาทาสเอาไว้แน่น เมื่อได้ยินที่นางเอ่ยบอก แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยสิ่งใด นางก็เอ่ยวาจาออกมาอย่างน่าสงสาร
“ข้าไม่มีบ้านอีกแล้ว คนที่มีพระคุณต่อข้า ขายข้าราวกับข้าเป็นเพียงสัตว์เดียรัจฉานที่ไร้หัวใจ...”
ฟึ่บ
หลังจากนั้นร่างอรชรของนางทรุดลงไปบนพื้นด้วยความรวดเร็ว ลมหายใจของนางฟืดฟาดอย่างแรง เหงื่อมากมายไหลอาบใบหน้าและลำตัวจนเปียกชื้น ริมฝีปากสีสดซีดขาวอย่างน่ากลัว เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาจึงรีบเข้าไปประคองร่างเล็กของนางเอาไว้
“ลู่หมิง ไปรับท่านหมอมาที แล้วไปเจอกับข้าที่ลำธารด้านล่าง”
“ขอรับท่านโหว”
เขาเอ่ยสั่งองครักษ์อีกคน ก่อนจะเหวี่ยงร่างบอบบางขึ้นบนหลังอาชาอย่างไร้ความปรานี พร้อมกับทะยานตัวขึ้นบนหลังอาชาแล้วกระตุกบังเหียนให้มันวิ่งโลดออกไปยังเบื้องหน้าด้วยความว่องไว
ไอที่ร้อนผ่าวไหลออกมาจากร่างกายของนางจนเขาสัมผัสได้ ศีรษะและลำตัวของนางพาดขวางไปกับลำตัวของอาชา ใบหน้าเรียบเฉยปรายดวงตามามองนางด้วยความสงบ และไร้ท่าทีตกอกตกใจ
‘อย่าตายบนหลังอาชาของข้าก็พอ!’ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาก็เตะท้องม้าอย่างแรงไปพร้อม ๆ กับการกระตุกบังเหียน ดวงตาคู่คมมองตรงไปยังเบื้องหน้าด้วยความเฉียบคม มุ่งตรงสู่ลำธารที่ไหลเย็น