บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 ซื้อตัว

ลู่เฟยกลับเข้ามาด้านในห้องส่วนตัวด้วยความรีบร้อน ดวงตาของเขาทอประกายขึ้นเล็กน้อย หลังจากที่ออกไปสืบหาข้อมูลของนางโลมผู้นั้น ท่านโหวของเขายังคงร่ำสุราด้วยท่าทางสงบนิ่ง ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาดั่งเช่นเคย เขาจำต้องปรับท่าทีให้สุขุมและรายงานออกไปตามที่ได้สืบมา

"คุณชาย ข้าสืบมาแล้วขอรับ" ลู่เฟยกระซิบเสียงเบา

ไป๋เจิ้งหยางยังคงไม่ละสายตาไปจากจอกสุราที่เขากำลังยกดื่มอีกครั้ง เขายังคงนั่งอยู่ในท่าทางที่สง่างาม แผ่นหลังตั้งตรง ใบหน้าคมคายยังคงไร้รอยยิ้ม แต่ทว่าดูผ่อนคลายราวกับไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนใจ

"ว่ามา" เสียงของเขาดูแผ่วเบา แต่กลับแฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม

“นางโลมผู้นั้นชื่อว่า จ้าวจางหลี เป็นบุตรบุญธรรมของพ่อค้าขายปลาในตลาด ที่ชาวบ้านมักจะเรียกกันว่า อาจ้าวขอรับ อาจ้าวผู้นี้ติดสุรา และการพนัน เขาจึงขายนางให้แก่เรือนร้อยบุปผาขอรับ”

ลู่เฟยยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะเริ่มรายงานในสิ่งที่เขาออกไปถามไถ่ที่มาของสตรีนามว่าจ้าวจางหลี จากบรรดาบุรุษในเรือนร้อยบุปผาแห่งนี้

ไป๋เจิ้งหยางชะงักไปครู่หนึ่ง แต่อย่างไรเขาก็ยังคงสงบนิ่ง ใบหน้าของเขายังคงไร้อารมณ์ ก่อนที่เขาจะวางจอกสุราลงแล้วเอ่ยคำถามด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความอยากรู้

"นางเต็มใจอย่างนั้นหรือ"

ลู่เฟยคลี่ยิ้มเล็กน้อย เมื่อท่านโหวของเขามีท่าทีสนใจแม่นางน้อยผู้นั้นขึ้นมาจริง ๆ

"นางไม่เต็มใจขอรับ นางถูกล่อลวงมาขาย รู้ตัวอีกทีนางก็ดื่มยามอมเมาเข้าไปแล้ว อาจ้าวผู้นั้นไม่แยแสนาง อีกทั้งยังไม่ฟังคำ

ทัดทานของผู้เป็นภรรยา และยังคงดื้อดึงขายนางให้แก่เรือนร้อยบุปผาด้วยเงินตราไม่กี่ตำลึง”

"มีพิรุธใดอีกหรือไม่" ไป๋เจิ้งหยางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามต่อไปเพื่อหาช่องโหว่ ที่กลุ่มกบฏอาจซุกซ่อนเอาไว้

"อาจ้าวผู้นั้น มีท่าทีสนิทสนมกับมามาของเรือนร้อยบุปผาด้วยขอรับ" ลู่เฟยกล่าวต่อ

เขาพยักหน้าตอบรับช้า ๆ แล้ววางจอกสุราในมือที่เพิ่งจะยกดื่มเมื่อครู่ลง เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่ามีความสัมพันธ์ที่ซ่อนเร้น หรือไม่ก็เป็นซานหูการละคร ที่ทำให้พวกเขาตายใจว่ากลุ่มกบฏไร้การเคลื่อนไหวที่ไม่น่าไว้วางใจ

"บางทีสตรีผู้นั้น อาจจะเป็นคนของซานหูก็ได้" ใบหน้าที่ไร้อารมณ์มีรอยยิ้มผุดขึ้นบริเวณมุมปากจาง ๆ

“กลุ่มกบฏซานหูกลุ่มนี้อาจเป็นเพียงกลุ่มย่อยที่มีไว้หลอกลวงทางการ การประมูลนี้มีเพียงต้องเป็นผู้ชนะเท่านั้นถึงจะได้เข้าพบนายใหญ่ของเรือนร้อยบุปผาแห่งนี้ ทำเช่นไรดีขอรับคุณชาย” ลู่เฟยมีความกังวลขึ้นบนใบหน้า

"ทำสีหน้ากระไรของเจ้า อยู่ข้างกายของข้ามานาน ยังคิดไม่ได้อีกหรือ...” เขาแค่นยิ้มออกมา ทำให้บุรุษที่ยืนฟังถึงกับหน้าซีดขึ้นมา เมื่อถูกท่านโหวเอ่ยตำหนิ

“เป็นข้าที่โง่เขลา คาดเดาความคิดของคุณชายไม่ออก ข้าขออภัยขอรับ" เขารีบค้อมกายประสานมือด้วยความนอบน้อม

"กลับไปกองทัพชิงอันเมื่อใด เจ้าก็จงไปรับโทษด้วยกฎของกองทัพเสีย"

“เข้าใจแล้วขอรับ” เมื่อนึกถึงกฎของกองทัพชิงอัน ลู่เฟยก็รู้สึกเย็นที่บริเวณสันหลังขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

"หากต้องการพบกับนายใหญ่ของเรือนร้อยบุปผา เจ้าก็แค่ประมูลนางด้วยทองคำหนึ่งหีบ หรือมากกว่านั้น"

ไป๋เจิ้งหยางยิ้มเล็กน้อยอย่างนึกขำ กับความลนลานของผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ก่อนจะชี้ทางสว่างให้แก่เขา

“ขอรับ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”

“อืม”

น้ำเสียงของเขายังคงเรียบเฉยไม่มีความตื่นเต้นใด ชิงอันโหวนั่งจิบสุราต่อไปด้วยความใจเย็น และเต็มไปด้วยกลยุทธ์มากมายที่จะปราบปรามคนเหล่านั้น แต่สำหรับสตรีผู้นั้น หากนางเป็นคนของกลุ่มกบฏซานหูก็นับว่าโชคร้าย แต่หากนางไม่ใช่ก็จะเป็นคนที่โชคดีได้หลุดพ้นจากชีวิตที่นางสงสาร

“ค่าตัวนาง ข้าให้ห้าตำลึง”

“ข้าให้ร้อยตำลึง”

“ข้าให้ห้าร้อยตำลึง”

เสียงของเหล่าบุรุษมากราคะดังระงมไปทั่วทั้งหอนางโลม ภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีขาวผ่อง มีเพียงริมฝีปากหยักที่เหยียดยิ้มบริเวณมุมปากให้กับบุรุษเฒ่า และคุณชายเสเพลเหล่านั้นด้วยความดูแคลน

เมื่อคิดว่าโฉมงามต้องไปอยู่ใต้ร่างอ้วนท้วนของพวกเขา หัวใจของไป๋เจิ้งหยางก็เต้นเป็นจังหวะที่แปลกไป ทั้ง ๆ ที่หัวใจของเขานั้นเงียบสงบมานานหลายสิบปี 'นี่ข้าเป็นอะไรไปเล่า'

เมื่อความคิดของตัวเองเริ่มออกนอกเส้นทาง ฝ่ามือใหญ่ก็หยิบสุราร้อนลงคอไปหลายจอก ฤทธิ์ของสุราแรงหาได้ทำให้สีหน้าที่เคร่งขรึมของเขาเปลี่ยนไปแต่อย่างใด ท่าทางของเขายังคงสง่างามดังเช่นเดิม จนกระทั่งเสียงของลู่เฟยดังขึ้น แข่งกับเสียงของบุรุษเหล่านั้น

“คุณชายของข้าให้ทองคำหนึ่งหีบ”

หลังจากที่องครักษ์ของเขาเอ่ยขึ้น เสียงที่ดังวุ่นวายก็เงียบลงในทันที ก่อนที่ทุกสายตาจะสาดส่งมายังบุรุษรูปงามที่สวมหมวกสาน โดยมีผ้าบางปิดบังใบหน้า นั่งอยู่ทางด้านหลังของเขา

“คหบดีที่ใดกันรึ ถึงได้ใจกล้าซื้อนางด้วยทองคำ”

“ข้าไม่ยอม ข้าอยากได้สตรีผู้นั้นมาเป็นอนุ”

บุรุษแก่หงำผู้หนึ่งเอ่ยทัดทานด้วยความขัดใจ ก่อนที่เขาจะตะโกนส่งเสียงออกมาท่ามกลางความเงียบงันอีกครั้ง

“ทองคำหรือ ข้าให้สองหีบ!” ชายแก่ยืดอกด้วยท่าทีที่เหนือกว่า

“คุณชายของข้า...” ยังไม่ทันที่ลู่เฟยจะเอ่ยต่อ เขากลับเป็นฝ่ายโพล่งออกไป

ร่างสูงสง่าเหยียดกายลุกจากที่นั่ง พลางกระพือพัดเล่มงามภายในมือด้วยท่าทางของบุรุษจอมเสเพล เขาเดินออกไปยังเบื้องหน้าในตำแหน่งที่มามาแห่งหอนางโลมยืนอยู่ ดวงตาคมมองผ่านผ้าบางไปยังสตรีโฉมงามที่กำลังร่ายรำด้วยความขาดสติเบื้องหลังอย่างไม่วางตา

“หนึ่งพันตำลึง กับทองคำสามหีบ มีผู้ใดให้มากกว่าข้าอีกหรือไม่!” เสียงที่น่าเกรงขามของเขาทำให้ผู้คนในบริเวณนั้นเงียบกริบ บุรุษหลายต่อหลายคนจ้องมองเขาด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ไม่มีผู้ใดบ้าบิ่นจนถึงขั้นจ่ายเงินและทองคำมากมายเพื่อซื้อตัวทาสแห่งหอนางโลม เพราะเงินทองมูลค่าเพียงนั้นสามารถสู่ขอฮูหยินตระกูลดีได้หลายคนเลยทีเดียว

“คุณชาย นางโลมผู้นี้เป็นของท่าน แต่สัญญาทาสของนางยังอยู่ หากคุณชายอยากซื้อสัญญาทาสของนาง เห็นทีคงต้องตามข้าไปพบนายใหญ่ของเรือนร้อยบุปผาด้วยตัวเองแล้วเจ้าค่ะ” มามาบอกกับเขาด้วยรอยยิ้มที่ดูสยดสยอง ก่อนที่นางจะพยักหน้าให้ผู้ดูแลมาพาตัว นางโลมที่เขาซื้อตัวออกไป

“นำทางข้าไป แล้วนำตัวสตรีผู้นั้นไปส่งที่รถม้าของข้า”

เขาเอ่ยสั่งมามาผู้นั้นด้วยเสียงเรียบ ก่อนที่นางจะสั่งการต่อไป แล้วผายมือเชื้อเชิญให้เขาเดินตามไปยังชั้นบนของหอนางโลม

ลู่เฟยถูกตรวจค้นร่างกายเพื่อตรวจสอบดูว่าเขาพกพาอาวุธติดกายหรือไม่ ทางเดินของชั้นบนเต็มไปด้วยความมืดมิดและดูวังเวง 

มามาผลักบานประตูออกด้วยความเคยชิน ทว่าเมื่อภาพเบื้องหน้าตกกระทบสู่สายตาทำให้เขาต้องย่นใบหน้าด้วยความสะอิดสะเอียน

บุรุษร่างใหญ่กำลังเปลือยกายร้อนรักกับสาวน้อยราวสี่ถึงห้าคน ก่อนที่บุรุษผู้นั้นจะเปลี่ยนอารมณ์ในทันทีที่เห็นว่าพวกเขาเดินเข้ามา

“ขออภัยคุณชาย ที่ข้าดูไม่เรียบร้อยนิดหน่อย”

เขาลุกขึ้นแล้วโบกมือไล่สตรีเหล่านั้นให้ออกไป แล้วเดินไปยังเชิงเทียนเพื่อจุดโคมไฟให้บรรยากาศภายในห้องเกิดความสว่าง

“ข้าต้องจ่ายอีกเท่าใด ถึงจะไถ่ถอนสัญญาทาสของนาง” เขาเอ่ยถามออกไปอย่างไม่รีรอ

“คุณชาย ใจร้อนเหลือเกินนะขอรับ เดิมทีสตรีผู้นั้น เป็นสหายของข้าที่ฝากฝังมา ข้าแค่อยากประมูลความบริสุทธิ์ของนาง แล้วหลังจากนั้นก็ว่าจะลิ้มลองนางเสียหน่อย” ชายผู้นั้นเลียริมฝีปากด้วยท่าทางกักขฬะ ลู่เฟยที่ทนดูไม่ไหวก้าวเท้าออกไปทางด้านหน้า ทว่าเขากลับใช้พัดกันเอาไว้เสียก่อน

“ข้าต้องการพาตัวนางไป” ไป๋เจิ้งหยางกระพือพัดในมือเป็นจังหวะ ในขณะที่ดวงตากวาดมองไปรอบกายด้วยความสำรวจ

“คุณชาย คืนนี้ท่านค้างแรมที่เรือนร้อยบุปผาของข้า แล้วเชยชมความบริสุทธิ์ของนางให้เพียงพอเสียก่อนดีหรือไม่ ของดี ๆ แบบนี้ ข้ายังหาเงินจากตัวของนางได้อีกมาก...”

พลั่ก

บุรุษผู้นั้นล้มลงไปกองกับพื้น เมื่อไป๋เจิ้งหยางฟาดฝ่ามือลงไปบนสันคอที่หนานุ่มของเขา กรามได้รูปกัดฟันกรอดหลังจากที่นิ่งฟังนายใหญ่ของหอนางโลมเอ่ยวาจาเหยียดหยามสตรีอยู่นาน

“ใครก็ได้ ช่วยด้วย ช่วยข้า...”

อั่ก โอ๊ยยยย

เสียงโอดโอยดังขึ้น เมื่อชิงอันโหววางฝ่าเท้าลงไปบนใบหน้าของชายร่างท้วม พร้อมกับออกแรงขยี้ปลายเท้าบริเวณใบหน้าของชายผู้นั้นจนยับย่น ก่อนที่เขาจะถอดหมวกสานออกอย่างช้า ๆ แล้วแสยะยิ้มให้กับคนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าด้วยความโหดเหี้ยม และเลือดเย็น

“กบฏซานหูเช่นเจ้า กล้าต่อกรกับข้าหรือ...” ดวงตาของเขามองสบตากับอีกฝ่ายด้วยความเชือดเฉือน และหาได้มีความปรานีปรากฏอยู่ในแววตาของเขาเลยแม้แต่น้อย

“ทะ...ท่านโหว ไว้ชีวิตข้าด้วย ท่านอยากพาตัวนางไปก็พาไปได้เลยขอรับ”

ดวงตาของคนผู้นั้นเหลือกลานจนแทบจะถลนออกมาจากเบ้า เมื่อเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของอีกฝ่าย ร่างของเขาสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว จนมีของเหลวสีใสไหลออกมาจากเป้ากางเกงเจิ่งนองอยู่บนพื้น มันทำให้เขารู้สึกอยากจะอาเจียนออกมาจนต้องเบนใบหน้าหนี

“ฆ่า...”

น้ำเสียงที่เย็นเยียบจับขั้วหัวใจของชิงอันโหว ทำให้ร่างท้วมของนายท่านแห่งเรือนร้อยบุปผาออกแรงดิ้นเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ในทันทีที่เขาพยักหน้าให้กับลู่เฟย องครักษ์คู่ใจก็คว้าตะเกียบที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วตวัดเข้าลำคอของนายท่านผู้นั้นด้วยความเหี้ยมโหด

อ๊าก

โลหิตพุ่งทะยานออกมาจากลำคอพร้อมกับเสียงที่ร้องโหยหวนดังไปทั่วทั้งหอนางโลม จนเกิดความวุ่นวายอลหม่าน ก่อนที่พลทหารที่ซุ่มสังเกตการณ์จะกรูกันเข้ามาจับกุมกบฏซานหูกลุ่มนี้

ทันทีที่ร่างนั้นแน่นิ่งไป ไป๋เจิ้งหยางดึงดาบอ่อนที่พันอยู่รอบเอวออกมา ก่อนจะตวัดปลายดาบไปยังข้อมือของคนผู้นั้นจนขาดกระเด็น ฝ่ามือหยาบปาดโลหิตที่กระเซ็นเข้าใบหน้าด้วยแววตาดุดัน แล้วเอ่ยสั่งให้ลู่เฟยเป็นฝ่ายจัดการต่อ

“จับทุกคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไปคุมขัง อ่อ เอานิ้วของคนผู้นี้ไปประทับตราลงบนหนังสือทาสของนางด้วย”

“ขอรับ ท่านโหว”
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel