บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 คุ้นตา

เมืองหลินอู่ แคว้นชิงอัน...

“ท่านโหว กองกำลังสอดแนมยืนยันที่อยู่ของกลุ่มกบฏซานหูได้แล้วขอรับ” ลู่เฟย รองแม่ทัพใต้บัญชา หรือองครักษ์ฝ่ายซ้ายเอ่ยรายงานผู้เป็นนายด้วยความรีบร้อน โดยมีเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นบนใบหน้าเป็นเครื่องยืนยัน

“...”

บุรุษในชุดอาภรณ์แม่ทัพสีดำเอนกายราบไปกับกิ่งไม้ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมหน้าผาสูงชัน ผ้าแพรคลุมไหล่สีเข้มพลิ้วไหวไปตามกระแสลมที่พัดพา ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉยเหมือนทุกครั้งในยามที่ต้องรับมือกับกลุ่มกบฏที่เข้ามารุกรานแดนใต้ในทิศทักษิณของเขา

ฝ่ามือหนายังคงหยิบถุงหอมสีฟ้าเก่าคร่ำครึขึ้นมาแล้วจ้องมองมันด้วยสายตาที่เหม่อลอย บนถุงหอมยังคงมีลวดลายพู่กันของดอกเหมยที่บิดเบี้ยวไปมาราวกับผู้ที่มอบให้เพิ่งจะฝึกวาดได้ไม่นาน

ทว่าร่องรอยของการใช้งานทำให้มันดูเก่าและเกรอะกรังไปบ้างตามกาลเวลา แต่ในความเก่าของมันกลับซ่อนความทรงจำที่ไม่เคยเลือนหายไปจากหัวใจของเขา

ความคิดของแม่ทัพหนุ่มล่องลอยไปไกล ไม่ต่างจากสายลมที่พัดผ่านต้นไม้ใหญ่ แต่ในขณะที่เขากำลังจมดิ่งอยู่กับความคิดนั้น เสียงของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาก็ดังขึ้นอีกครั้งอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

"ทะ...ท่านโหว ได้ข่าวของกลุ่มกบฏซานหูแล้วขอรับ"

เสียงของทหารใต้บังคับบัญชาค้อมกายลงด้วยความเรียบง่าย ก่อนจะแจ้งแก่เขาอีกครั้ง เสียงนั้นทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์แล้วกลับมาสู่ความเป็นจริงที่เขาจะต้องเผชิญ

เขาพยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปิดเผยความรู้สึกใด ๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย

"เตรียมกำลังพล คัดคนที่มีฝีมือไปเพียงสิบคนก็พอ ส่วนทหารที่เหลืออีกร้อยนายให้รอสัญญาณจากข้า..."

เขาเอ่ยสั่งกับลู่เฟย โดยไม่ต้องเอ่ยถามว่าที่กบดานของคนเหล่านั้นอยู่ที่ใด ด้วยเพราะรู้ดีอยู่แล้ว เขารอคอยเวลาที่จะต้องสืบหาที่มาให้แน่ชัดก็เท่านั้น ก่อนจะก้าวขึ้นรถม้าเพื่อทำตามแผนที่วางเอาไว้

ภายในรถม้าที่เต็มไปด้วยความเงียบสงัด การปราบปรามกลุ่มกบฏซานหูที่เข้ามาค้ากามในชิงอันเป็นเรื่องสำคัญที่เขาจะต้องจัดการ แต่ทว่าจิตใจของเขายังคงรู้สึกหนักหน่วง เมื่อนึกถึงผู้เป็นเจ้าของถุงหอม

หลังจากที่เก็บถุงหอมสีฟ้าเอาไว้ในเสื้อด้านใน เขาก็เริ่มจัดการถอดชุดเกราะแม่ทัพออก เพื่อเปลี่ยนเป็นอาภรณ์คุณชายจอมเสเพล ก่อนจะสวมหมวกกุ้ยเล้ย [1] โดยที่มีผ้าโปร่งแสงสีขาวบางเบาปกคลุมใบหน้าของเขาเอาไว้ เพื่อไม่ให้ผู้คนในชิงอันจดจำได้

ไป๋เจิ้งหยาง หรือ ชิงอันโหว แม่ทัพแห่งแดนใต้ที่ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นท่านโหวตั้งแต่วัยเยาว์ ด้วยคุณูปการออกศึก ยกทัพช่วงชิงดินแดนแคว้นชิงอันร่วมกับผู้เป็นพี่ชายที่มีศักดิ์เป็นถึงเยี่ยนกั๋วกง ก่อนจะรวบรวมแคว้นเยี่ยนและชิงอันเป็นหนึ่งเดียวกัน จนกลายเป็นแคว้นเยี่ยนชิงอันที่ยิ่งใหญ่

หลังจากนั้นรถม้าหรูหรา ไม่มีตราประทับส่วนตัวหรือธงแห่งกองทัพ ก็เคลื่อนตัวออกจากหน้าผาสูงชันมุ่งตรงไปยังเรือนร้อยบุปผา หอนางโลมที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นชิงอัน สถานที่ที่เต็มไปด้วยเสียงดนตรีและสตรีโฉมงามมากมาย อีกทั้งยังเป็นสถานที่ปรนนิบัติกามให้แก่บรรดาขุนนาง คหบดีจอมราคะ หรือแม้แต่เหล่าคุณชายตระกูลดี

เสียงเกือกม้ายังคงคงกระทบกับพื้นดินจนเกิดเสียงดัง ในระหว่างเดินทาง เขารู้สึกถึงบรรยากาศที่ตึงเครียดด้านหน้า แต่ทว่าใบหน้าที่เรียบนิ่งของเขากลับไร้ความวิตกกังวลใด ๆ การจัดการกลุ่มกบฏยังคงเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลบหลีก

รถม้าจอดสนิทอยู่ด้านหน้าเรือนร้อยบุปผา ไป๋เจิ้งหยางก้าวเท้าลงจากรถม้าด้วยท่วงท่าสง่างาม ผ้าคลุมหน้าที่บางเบาพลิ้วไหวไปตามสายลมจนเปิดออกเพียงเล็กน้อย เรียกสายตาของสตรีที่อยู่ในบริเวณนั้นให้จับจ้องมายังเขาด้วยความสนใจ ก่อนที่ลู่เฟย เป็นฝ่ายเดินนำเข้าไปด้านในหอนางโลม

“เชิญคุณชายขอรับ” ลู่เฟยเอ่ยด้วยเสียงเบา

ทันทีที่สองเท้าเหยียบเข้ามาด้านในหอนางโลม ก็มีสตรีวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะเป็นมามา หรือแม่เล้าของเรือนร้อยบุปผาเข้ามาให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ใบหน้าที่แต้มชาดหนาสีเข้มยิ้มร่ารับแขกด้วยความเป็นกันเอง

“คุณชาย วันนี้เรือนร้อยบุปผามีประมูลนางโลม...ที่ยังบริสุทธิ์นะเจ้าคะ ได้โปรดรออีกเพียงอึดใจเดียว” นางเอ่ยบอก ก่อนจะกระซิบกระซาบกับเขา เพื่อบอกคุณสมบัติของนางโลมที่จะถูกนำตัวขึ้นประมูลราคาในค่ำคืนนี้

“...”

เขาไม่ตอบสิ่งใดออกไปเพียงแต่พยักหน้าช้า ๆ ให้กับลู่เฟย เขาจ่ายเงินซื้อที่นั่งดี ๆ ด้านหน้าของลานประมูล นั่นก็เพื่อให้สามารถมองเห็นบรรยากาศของเรือนร้อยบุปผาได้อย่างชัดเจนในทุกซอกทุกมุม

ห้องที่เขาได้รับเป็นผนังไม้ไผ่สานบาง ๆ กั้นเอาไว้ เบื้องหน้ามีผ้าม่านโปร่งแสงบางเบาปิดลงมาเพียงเท่านั้น ด้านในหอคณิกาแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่นั่งรอการประมูลด้วยใจจดจ่อ

พวกเขาดื่มสุราและสนทนากันถึงรูปลักษณ์ของสตรีกันอย่างอรรถรส เสียงดนตรีดังเคล้าคลออย่างรื่นหูจากนักสังคีตที่ล้วนแล้วแต่เป็นสตรีนุ่งน้อยห่มน้อย

เสี่ยวเอ้อร์ของร้านนำสุราร้อน พร้อมกับอาหารอีกสองสามอย่างมาจัดวางลงบนโต๊ะ องครักษ์ของเขารินสุราลงจอกแล้วยื่นมันให้กับเขาด้วยความเอาใจ ฝ่ามือหยาบหยิบจอกสุรามาจากเขา ก่อนจะกระดกรวดเดียวจนหมดจอก สร้างความแปลกใจให้แก่องครักษ์ข้างกายไม่น้อย

ทุกครั้งที่ท่านโหวของเขาต้องออกปรามปรามกบฏหรือแม้กระทั่งออกทัพจับศึก เขาก็ไม่เคยเห็นผู้เป็นนายดื่มสุรามาก่อน อีกทั้งยามนี้แววตาที่เฉียบคม มั่นคง กลับแผงด้วยอารมณ์หม่นเศร้าจนดูแปลกไป

แม้จะเกิดความสงสัย แต่เขาก็ไม่อาจใจกล้าเอ่ยถามออกไป จึงได้แต่ปล่อยให้ผู้บังคับบัญชาของตัวเองดื่มสุราให้เพลิดเพลินใจ

แปะ แปะ

“เรือนร้อยบุปผาขอเชิญทุกท่านพบกับแม่นางน้อยจางหลี สตรีโฉมงามที่จะถูกประมูลในค่ำคืนนี้ บุรุษใดที่จ่ายเงินมากที่สุดจะได้นางไปครอบครอง แต่ถ้าหากติดใจจนอยากจะไถ่ถอนตัวนางไปเป็นอนุ หรือสตรีอุ่นเตียง ก็จะต้องจ่ายในราคาที่สูงกว่านั้น...”

เสียงของมามาประกาศดังลั่นไปทั่วทั้งหอคณิกา สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับบรรดาบุรุษมากมาย ที่รอคอยสตรีร่างอรชรด้วยความตื่นเต้น

ไป๋เจิ้งหยาง กระดกสุราร้อนลงคอ เขาเพียงปรายดวงตาที่ไร้อารมณ์มองไปยังลานประมูลเพื่อดูความเคลื่อนไหว แต่ทว่าดวงตาคมประดุจดวงตาเหยี่ยวของเขากลับกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย ฝ่ามือที่ถือจอกสุราชะงักค้าง จับจ้องไปยังสตรีที่ถูกลากออกมาด้วยความตกตะลึง

ร่างบอบบางในอาภรณ์บางเบาสามารถมองเห็นสัดส่วนได้อย่างชัดเจน นางเริ่มฟ้อนระบำอยู่กลางลานประมูลด้วยความอ่อนโยน 

ในทุก ๆ การเคลื่อนไหวของนางมีความสง่างาม ราวกับกิ่งก้านดอกเหมยที่ปลิวไหวไปตามสายลม มือเรียวบางที่ยกขึ้นเหนือศีรษะนั้นอ่อนช้อยงดงาม

ใบหน้าได้รูปของนางนั้นหวานหยดราวกับเทพธิดา คิ้วโก่งดั่งเกาทัณฑ์ จมูกตั้งชันเชิดรั้น ริมฝีปากบางยามนี้แต่งแต้มชาดแดงจนดูเร่าร้อน และเต็มไปด้วยความงดงาม

ทว่าดวงตากลมโตที่เปล่งประกายของนาง ช่างคุ้นตาของเขาเสียยิ่งนัก ไป๋เจิ้งหยาง จ้องมองไปยังสตรีที่กำลังฟ้อนระบำด้วยความพินิจ และไตร่ตรอง นัยน์ตาของเขาสะท้อนแสงไฟที่ประดับประดาอยู่ในหอนางโลมสั่นวูบไหว

“ข้าไม่เคยเห็นนางโลมที่งดงามเช่นนางมาก่อน...”

“นางงามเช่นนี้ เห็นทีคืนนี้ข้าต้องทุ่มหมดตัว”

“ใบหน้าของนางคุ้นตายิ่งนัก นั่นไม่ใช่ จ้าวจางหลี ลูกเลี้ยงของอาจ้าวหรอกรึ”

“อาจ้าว คนขายปลาในตลาดน่ะหรือ ได้ข่าวว่าเขาติดการพนัน หรือว่าตระกูลจ้าวจะขายนางให้กับเรือนร้อยบุปผาเสียแล้ว”

เสียงของบุรุษวิพากษ์วิจารณ์สตรีที่ฟ้อนรำกันอย่างสนุกปาก บ้างอยากลิ้มลองความหวานจากกายของนาง บ้างก็อยากจะซื้อตัวของนางไปเป็นอนุ

สตรีผู้นั้นดูเหมือนจะไม่สนใจสิ่งใดเลยนอกจากการฟ้อนระบำ ทุกการเคลื่อนไหวของนางพลิ้วไหวราวกับเป็นศิลปะที่หลอมรวมกับเสียงดนตรีที่บรรเลงได้อย่างลงตัว

ไป๋เจิ้งหยางรู้สึกเหมือนกับว่าทุกอย่างรอบกายของเขากำลังหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ยิ่งเมื่อยามจับจ้องเข้าไปในดวงตาของสตรีผู้นั้น 

เขาก็รู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในหัวใจอย่างฉับพลัน

ทว่าดวงตาคู่งามของนางทำให้เขามองเห็นอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ด้านในนั้น จังหวะการกระพริบตาของนางก็ดูแปลกไป อีกทั้งยังเลื่อนลอยราวกับตกอยู่ในภวังค์

หรือว่านางจะถูกวางยาปลุกกำหนัดเข้าเสียแล้ว ว่ากันว่าสตรีที่ไม่เต็มใจจะถูกบังคับให้ดื่มยาเช่นนี้ หากนางไม่ยอมเสียตัว นางก็จะธาตุแตกจนตาย

ดวงตาคมเข้มหลุบลง เมื่อเกิดความรู้สึกที่ไม่อาจเข้าใจได้ขึ้นมา เขามายังสถานที่แห่งนี้ เพื่อปราบปรามกลุ่มกบฏเพียงเท่านั้น ไม่ได้มาเพื่อประมูลนางโลม แต่ทว่าดวงตาที่แสนคุ้นเคยคู่นั้นกลับทำให้จิตใจของเขาสะท้อนเรื่องราว นำพากลับไปสู่อดีตที่เจ็บปวด

เขาส่ายศีรษะเบา ๆ เพื่อดึงสติให้กลับคืนสู่ความเป็นจริง เขาสั่งตัวเองให้นิ่งสงบ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยคำถามมากมายที่ต้องการคำตอบ

"นางคือผู้ใดกัน..." เสียงของเขาดังขึ้นมา

“ท่านโหว...เอ่อ คุณชายสนใจนางโลมผู้นั้นหรือขอรับ”

ลู่เฟย ตาลุกวาว เมื่อเห็นท่าทีสนอกสนใจของผู้เป็นนาย ก่อนจะทำใจกล้าแล้วเอ่ยถามออกไป

“หุบปาก แล้วไปสืบมาว่าสตรีผู้นั้นเป็นใคร มาจากที่ใด” เขาตวัดสายตาไปยังองครักษ์คู่ใจ แล้วเอ่ยสั่งเขาด้วยน้ำเสียงที่เยียบเย็น

“ขะ...ขอรับ”

การฟ้อนระบำของนางยังคงดำเนินไปอย่างงดงาม สายตาของเขาสบกับดวงตาของสตรีผู้นั้นในบางจังหวะ หัวใจของเขากลับรู้สึกถึงความร้อนแรงที่น่าประหลาด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าการจะเข้าถึงตัวการใหญ่ของกลุ่มกบฏซานหูที่ค้ากามมีเพียงวิธีเดียว นั่นคือประมูลตัวนาง รวมถึงการซื้อตัวนางออกไปจากหอนางโลมแห่งนี้เพียงเท่านั้น

[1] หมวกกุ้ยเล้ย คือหมวกไม้ไผ่สาน
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel